บทที่ 10 กุญแจลับ
บทที่ 10 กุญแจลับ
เสียงกรีดร้องที่ได้ยินเกือบทำให้เย่จงหมิงร้องตะโกนด่า
เดซิเบลของเสียงนี้สูงมาก สูงกว่าเสียงกรีดร้องของมู่ซินเฟยที่เคยได้ยินในชั้นใต้ดินเสียอีก
ในค่ำคืนที่ซอมบี้ออกอาละวาด การทำเสียงแบบนี้มันไม่ต่างอะไรกับการร้องเรียกซอมบี้ให้มาฆ่าตัวเองเลย
ถึงแม้ว่าเย่จงหมิงจะมาเพื่อฆ่าซอมบี้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถบดขยี้พวกมันได้อย่างอิสระ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องขีดจำกัดทางกายภาพของผู้วิวัฒนาการในระดับที่ยังไม่สูงมาก แค่บอกว่ายังไม่มีภูมิคุ้มกันไวรัสซอมบี้ ก็เพียงพอทำให้เย่จงหมิงต้องระวังตัวอย่างมากแล้ว
มันคงเป็นเรื่องอัปยศที่สุดในประวัติศาสตร์ของคนที่ได้เกิดใหม่ ที่ต้องมาตายหลังจากเกิดใหม่ได้ไม่ถึงวัน
ดังนั้นเย่จงหมิงไม่สนใจว่าใครเป็นผู้ทำเสียงกรีดร้องที่ค่อนข้างสูงนี้ เขารีบม้วนตัวไปอีกฝั่งของสนามหญ้าทันที จากนั้นก็กระโดดข้ามผนังพุ่มไม้ที่สูงประมาณครึ่งร่างมนุษย์ออกไปอีกฝั่งของทางเดิน
“ช่วยฉันด้วย!”
เสียงกระหืดกระหอบของผู้หญิงดังมาจากทางด้านหลัง มันควรจะเป็นเสียงของคนที่กรีดร้องเมื่อกี้
สิบปีของวันโลกาวินาศในชีวิตก่อน ทำให้ใจของเย่จงหมิงแข็งเหมือนเหล็ก หัวใจของเขาไม่สั่นไหว เมื่อได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ เขามองไปรอบๆ แล้วพบว่าซอมบี้กำลังตามเสียงกรีดร้องมา เขาเลือกวิ่งไปในทิศทางที่ไม่มีซอมบี้ผ่าน เพื่อแอบซ่อนตัว
แต่เย่จงหมิงไม่คาดคิดว่า เสียงนั้นจะไม่หายไป รอฉันก่อน ช่วยฉันด้วย อย่าหนีฉันสิ คำพูดเหล่านั้นยังคงหลั่งไหลมาจากทางด้านหลัง
ถ้าที่นี่เป็นสถานที่ว่างเปล่า เย่จงหมิงสามารถใช้ความเร็วของตนเองกำจัดคนที่อยู่ด้านหลัง แต่ที่นี่เป็นตึก มีเสาค้ำอาคารขนาดใหญ่ บวกกับคนที่อยู่ด้านหลังไม่ว่ามีอุปสรรคอะไรก็ไม่ยอมเปลี่ยนทิศทาง แน่นอนว่าระยะห่างระหว่างพวกเขากว้างขึ้นทุกขณะ แต่ก็ยังไม่ได้ถูกทิ้งห่าง
ผลที่ได้ก็คือ คนที่อยู่ด้านหลังชักนำซอมบี้เข้ามาเรื่อยๆ พวกมันมุ่งหน้ามาในทิศทางของคนทั้งคู่ ประมาณคร่าวๆ ได้ 60-70 ตัว!
ซอมบี้มากมายขนาดนี้ ต่อให้พวกมันหยุดยืนอยู่นิ่งๆ ก็ต้องใช้เวลาพักใหญ่ในการจัดการ นอกจากนี้ยังต้องระวังตัวไม่ให้พวกมันกัดหรือข่วนโดนเนื้อ ซึ่งเย่จงหมิงก็ไม่มีความมั่นใจเหมือนกัน
บ้าชิป! เย่จงหมิงรู้ว่าถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป เขาอาจออกไปจากที่นี่ไม่ได้ หลังจากสบถด่าอย่างรุนแรง เขาก็รีบตัดสินใจ
เขาหันกลับอย่างรวดเร็ว วิ่งไปหาเจ้าของเสียงนั้น เย่จงหมิงเห็นผู้หญิงผมยาวแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ทันสมัยมาก แต่ตอนนี้มันฉีกขาดกระรุ่งกระริ่งราวกับผ้าขี้ริ้ว
“หุบปากถ้ายังไม่อยากตาย!”
เย่จงหมิงไม่สุภาพกับคนที่เกือบจะเป็นสาเหตุทำให้เขาตาย เขากระโดดเข้าไปตบปากของเธอเพื่อให้เงียบเสียง แล้วลากเธอไปทางอื่น
โชคดีที่ซอมบี้ยังอยู่ในระดับที่ 1 เคลื่อนไหวได้ไม่เร็วนัก ส่วนเย่จงหมิงเป็นผู้วิวัฒนาการระดับ 1 ดาว เขาแบกผู้หญิงราวกับไร้กระดูกออกวิ่ง หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งคู่ก็หลบพ้นฝูงซอมบี้ที่ติดตามมา และเข้าไปในอาคารที่ประตูเปิดอยู่
หลังจากปิดประตูรักษาความปลอดภัย เย่จงหมิงก็มองออกไปด้านนอก ไม่ใช่ซอมบี้ทุกตัวที่ตามมา แต่ก็ยังมีมากกว่า 20 ตัว ที่เดินวนไปมารอบๆ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะออกไปได้ในเวลาอันสั้น
“ขอบ… ขอบคุณ”
ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เสียงของผู้หญิงคนนี้ดีมาก ตอนนี้ถือว่าปลอดภัยชั่วคราว เย่จงหมิงจึงมีเวลามองเธอ เขาพบว่าผู้หญิงคนนี้สวยมากอย่างน่าประหลาดใจ และผิวของเธอก็ดูดีมากด้วย แต่ดวงตายังเต็มไปด้วยความกลัวและความสับสน และ… แก้มข้างหนึ่งบวมเล็กน้อยและมีเลือดออกที่มุมปาก
แม้ว่าจะไม่ได้ใช้แรงอะไร แต่การถูกตบโดยผู้วิวัฒนาการระดับ 1 ดาว มันก็เจ็บมากเหมือนกัน…
“ผมแค่ไม่อยากให้คุณถูกฆ่า”
เย่จงหมิงพูดกับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงเย็นชา เขาถือมีดเริ่มเดินไปตามทางเดินอย่างระมัดระวัง ท่ามกลางแสงสลัวๆ มีเสียงเคี้ยวดังมาจากทางบันได
ผู้หญิงคนนี้เป็นคนธรรมดา เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะได้ยินเสียง เมื่อเห็นเย่จงหมิงเดินถอยหลัง เธอก็เดินตาม เมื่อเพื่อนที่อยู่ด้านหลังไม่ให้ความรู้สึกน่าเชื่อถือ เย่จงหมิงจึงรู้สึกไม่ค่อยดี แล้วเขาก็หันกลับไปเตือนว่า “ตามผมมา ห้ามส่งเสียง ไม่งั้นผมจะฆ่าคุณ”
หญิงสาวตกใจมากกับท่าทางน่ากลัวของเย่จงหมิง เธอรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
การได้เห็นผู้คนกลายเป็นซอมบี้ ได้เห็นเลือดและซากศพ ได้เห็นแขนขาที่กระจัดกระจาย มันทำให้หญิงสาวที่งดงามทรงคุณค่ามากราวกับเทพธิดาในสายตาเพศตรงข้าม กลายเป็นผู้หญิงเชื่องๆ ที่เชื่อฟังอย่างมาก
แม้ว่าจะเป็นคนที่ตบหน้าเธอก็ตาม
เย่จงหมิงค่อยๆเดินมาถึงหน้าประตูบันได เมื่อมองผ่านกระจกบนประตูเข้าไปด้านใน ก็พบเท้าเปล่าเปลือยคู่หนึ่ง กำลังเคลื่อนไหวอยู่อย่างผิดปกติ อีกทั้งยังมีเลือดเปรอะนองอยู่บนพื้น แต่เลือดนั่นจับตัวแข็งจนเป็นสีดำ
เขาค่อยๆ ผลักประตูออกไป อาจเป็นเพราะชุมชนนี้เป็นชุมชนที่มีคุณภาพสูงมาก ประตูบันไดจึงถูกดูแลรักษาเป็นอย่างดี ไม่มีเสียงเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย เย่จงหมิงบีบตัวผ่านประตูไป ทันใดนั้นเขาก็เห็นซอมบี้ในชุดสูทกำลังคุกเข่ากัดกินเลือดเนื้อของร่างนั้นอยู่ ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยเลือดสีม่วง
เย่จงหมิงก็ไม่สุภาพเหมือนกัน เขากระโดดตวัดมีดตัดหัวซอมบี้ทิ้งทันที การกระทำนี้ทำให้ผู้หญิงที่ติดตามเขามาส่งเสียงกรีดร้อง แต่เมื่อเธอมองเห็นเย่จงหมิงกำลังจ้องหน้าเธออยู่ เธอจึงรีบร้อนเอามือตะปบปิดปากตัวเอง กลืนกินเสียงกรีดร้องของตัวเองลงคอไป
เย่จงหมิงฮัมในลำคอเสียงเย็น ไม่สนใจผู้หญิงที่ยืนอยู่ด้านหลังอีกต่อไป เขาขุดผลึกวิเศษออกจากหน้าผากซอมบี้ จากนั้นก็มองซากศพที่ถูกซอมบี้กิน แล้วเขาก็พบรูขนาดใหญ่ที่ด้านหลังหัว ด้านในกลวงเปล่า นั่นคือเหตุผลที่ศพนี้ไม่ได้กลายเป็นซอมบี้
แต่มันก็ทำให้เย่จงหมิงต้องขมวดคิ้ว
โดยปกติ ในตอนนี้ซอมบี้ยังไม่ได้พัฒนาสติปัญญา ความต้อง การเลือดเนื้อของมันเป็นเพียงสัญชาตญาณเท่านั้น เมื่อเทียบกับกะโหลกแข็งๆ แล้ว พวกมันชอบเปิดหน้าท้องนุ่มๆ กินอวัยวะภายในสดๆ อุ่นๆมากกว่า
แต่สมองของศพหายไป ใครทำ? ซอมบี้? หรือพวกกลายพันธุ์?
สรุปแล้วอาจไม่ใช่ทั้งคู่ เขาเกรงว่ามันอาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ที่มีวิวัฒนาการระดับสูงเล็กน้อย
เดิมทีเย่จงหมิงคิดว่าหลังจากได้เกิดใหม่การพัฒนาของเขาจะราบรื่นไม่ติดขัด แต่ตอนนี้เขาต้องหยุดความคิดนั้นลง
เมื่อลุกขึ้นยืน เย่จงหมิงก็พบตู้ดับเพลิงที่ติดอยู่ตรงผนังด้านข้าง เขาเปิดมันแล้วเอาขวานดับเพลิงมาเหน็บไว้ที่หลัง แม้ว่ามีดเดินป่าจะมีคุณภาพดี แต่หลังจากการต่อสู้มากมาย และโดนแมลงกลายพันธุ์กัดอีกเล็กน้อย ตอนนี้มันจึงมีร่องรอยของความเสียหาย เขาต้องหาอาวุธสำรอง
เขามองขึ้นไปข้างบน ที่นั่นมีเสียงคำรามอันเป็นเอกลักษณ์ของซอมบี้ แต่ไม่เห็นเงาของมัน เย่จงหมิงตัดสินใจเคลียร์ซอมบี้ในชั้นนี้ก่อน แล้วค่อยวางแผนต่อไป
ในขณะนั้นเอง หน้าต่างด้านหลังของชั้นหนึ่งก็สว่างขึ้น เย่จงหมิงหันกลับไปมองอย่างไม่รู้ตัวและจับจ้องแสงที่วาบขึ้นบนท้องฟ้า หลังจากมันบินอยู่สักพักก็ตกลงในที่ไกลๆ
เมื่อได้เห็นรัศมีสีน้ำนม ใจของเย่จงหมิงก็กระโดดโลดเต้นอย่างบ้าคลั่ง
เพราะเขาจำแสงนั่นได้
มันคือกุญแจลับ!