บทที่ 2 ถ้ามีพัดลมก็คงจะดี
"ร้อน! ร้อนมาก!"
ทันใดนั้นเสียงบ่นก็ดังก้องไปทั่วห้องทำให้เกิดเสียงสะท้อนทันที
“ใช่ทำไมมันร้อนจัง ร้อนจะตายแล้ว”
“ใช่ฉันอยากถอดเสื้อนี่ออกจริงๆ!”
“ยี้! เรมยัยผู้หญิงงี่เง่า!”
“ เชเวลล่าเธอยังคิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิงอยู่หรือเปล่า”
… ...
เมื่อได้ยินคำบ่นของเพื่อนร่วมงานซูยี่ก็เงยหน้าขึ้นมอง เขาเช็ดเหงื่อที่ไหลออกมาด้วยแขนเสื้อ
มันค่อนข้างร้อน
โดยไม่รู้ตัวเขาทำงานที่ หอคอยเวทมนตร์คามิลล่า เป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้ว
ตอนนี้เป็นช่วงต้นเดือนกรกฎาคมและอยู่ในช่วงกลางฤดูร้อนดังนั้นโดยธรรมชาติอากาศจึงร้อนมาก
ในช่วงเดือนนี้เขาทำงานแปลก ๆ ในห้องปฏิบัติการวิจัยเวทมนตร์ภายใต้จอมเวทย์คามิลล่า(เปลี่ยนจากนักเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่เป็นจอมเวทย์ครับ) เขาไม่ได้มีส่วนร่วมในงานวิจัยเวทย์มนตร์เลย
ซูยี่ ไม่แปลกใจกับเรื่องนี้ สำหรับคนอย่างเขาที่มีประสบการณ์การทำงานมาหลายปี ที่นี่เขายังถือว่าเป็นคนใหม่ ต้องทำงานพื้นฐานอย่างช้าๆก่อนที่เขาจะได้รับงานที่ดีขึ้นอย่างช้าๆ
ไม่ต้องพูดถึงพลังเวทย์ของเขาไม่ได้โดดเด่นเลยในหมู่เพื่อนร่วมงานของเขาและเรื่องของการสัมภาษณ์ของเขาก็แพร่กระจายไปแล้ว ตอนนี้คนอื่น ๆ ต่างมองว่าเขาเป็นคนที่ คุณหนูสเตล ปล่อยผ่านประตูหลังดังนั้นจึงมีเพื่อนร่วมงานบางคนที่ดูถูกเขา
“เพื่อนคนนี้เป็นเพราะเขาดูดีนิดหน่อย คุณหนูสเตลเลยรู้สึกดีด้วยหรือปล่าว”
ซูยี่ ทำได้เพียงแค่เผยรอยยิ้มที่ขมขื่นในเรื่องนี้ ตั้งแต่เห็นสเตล ในการสัมภาษณ์วันนั้นเขาก็ไม่ได้เจอเธอเป็นครั้งที่สองเลยตลอดทั้งเดือนนี้ เขารู้จากการพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานว่าสเตล เป็นหลานสาวของ จอมเวทย์คามิลล่า แต่เขาไม่รู้เรื่องอื่นใดเกี่ยวกับเธอพระเจ้าเท่านั้นจึงรู้ว่าข่าวลือนี้แพร่กระจายไปได้อย่างไร
แน่นอนว่าเขารู้ว่าข่าวลือพวกนั้นไม่มีมูลเลย
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้อธิบายให้พวกเขาฟังและมุ่งเน้นไปที่การทำงานหนักเท่านั้นในขณะเดียวกันก็เพิ่มระดับความรู้เวทมนตร์ด้วยการสังเกตการทดลองของเพื่อนร่วมงาน
ความสามารถของ ซูยี่ นั้นค่อนข้างดีแม้ว่าเขาจะเพียงแค่สังเกตจากด้านข้าง แต่ระดับความรู้ทางด้านเวทมนตร์ของเขาก็เพิ่มขึ้นไม่น้อยในเดือนเดียว
ท้ายที่สุดแล้วความรู้ระดับจอมเวทย์คามิลล่า ไม่ใช่สิ่งที่ครูของโรงเรียนเซนไกเซอร์ ู่สามารถเปรียบเทียบได้ แม้ว่าจะเป็นการทดลองที่เขาจัดเตรียมไว้เพียงเล็กน้อย แต่ระดับของมันก็สูงกว่าที่ ซูยี่ เรียนในโรงเรียนเซนไกเซอร์มาก
“ใช่เมื่อตอนที่ฉันไปรายงานตัวที่ห้องจอมเวทย์ ในห้องนั้นมันเย็นมากเลย ทำไมเป็นแบบนั้นละ”
คนที่พูดคือ เรม ที่ถูกเรียกว่าคนงี่เง่า หลังจากผ่านการทดสอบขอการรับรองจากสมาคมนักเวทย์เขาได้รับการจัดอันดับให้เป็นนักเวทย์ระดับห้าโดยถูกจัดให้เป็นอันดับสามในบรรดาสิบเจ็ดคนในห้องปฏิบัติการวิจัยรวมถึงซูยี่ เขาเป็นคนเปิดเผยมากและเป็นคนที่มีชีวิตอยู่ในห้องปฏิบัติการวิจัย
“งี่เง่าน่าห้องจอมเวทย์นั้นมีรูปแบบน้ำแข็งขนาดใหญ่ แน่นอนว่ามันจะต้องเย็นอยู่แล้ว”
คนที่ตอบกลับมาคือเวลล่าที่เรมเคยบ่น เธอเป็นนักเวทย์ระดับสี่ซึ่งอ่อนแอกว่าเรม เธอมีบุคลิกที่จริงจังและชอบที่จะตำหนิเรมตามปกติ แต่คนส่วนใหญ่จะเห็นว่าเธอปฏิบัติกับเรมค่อนข้างพิเศษ พวกเขาถูกคนอื่น้พูดถึงอย่างลับๆ
“โอ้? แล้วทำไมเราถึงมี้รูปแบบน้ำแข็งขนาดใหญ่ในห้องปฏิบัติการณ์ของเราบ้างไม่ได้ละ”
“นี่ไงฉันถึกเรียกเธอว่าคนงี่เงา! เพียงแค่จะวางรูปแบบน้ำแข็งขนาดใหญ่ก็มีราคากว่า 30เหรียญทองแล้วไม่ต้องพูดถึงว่ามันต้องใช้ผลึกเวทย์ระดับสูงสิบอันในการทำงานในแต่ละวันซึ่งต้องใช้เหรียญทองถึงห้าเหรียญ ซึ่งในแต่ละเดือนต้องใช้ถึงหนึ่งร้อยห้าสิบเหรียญทอง ฉันถามหน่อยว่าเธอได้รับเงินเท่าไหร่ในแต่ละเดือน” เวลล่าตอบอย่างรวดเร็ว
“นี่… .. ฮาฮา……” เรมหัวเราะแห้ง ๆ และไม่กล้าตอบ
ซูยี่รู้ดีว่าแม้ว่าเงินเดือนต่อเดือนของ เรม จะสูง แต่ก็ไม่เกินสามสิบเหรียญทอง ด้วยเงินแค่นี้ไม่ต้องพูดถึงการให้มันทำงานในแต่ละวันเลย แค่การวางรูปแบบน้ำแข็งก็ไม่พอแล้ว
ในหอคอยเวทมนตร์คามิลล่ามีเพียงแค่ห้องของงจอมเวทย์คามิลล่าเท่านั้นที่สามารถวางรูปแบบน้ำแข็งขนาดใหญ่ได้
“ จริงๆแล้วฉันโชคเคยได้ไปเยี่ยมชมหอคอยเวทมนตร์ของจอมเวทย์ไอเซนเคล ที่นั่นมีการวางรูปแบบน้ำแข็งขนาดใหญ่ในแต่ละห้อง แล้วในห้องของพวกเขาก็มีไวแดงวางไว้ด้วย....” เสียงที่ค่อนข้างขี้อายพูดขึ้น
เสียงนี้เป็นของคนที่อายุใกล้เคียงกับซูยี่ และเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดในห้องทดลองเซราช เนื่องจากเธอถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มคนสุดท้ายในห้องทดลองก่อนที่ซูยี่จะมาถึงและเธอมีบุคลิกที่อ่อนแอเธอจึงค่อนข้างขี้อายตลอดเวลา
“จอมเวทย์ไอเซนเคล? นี่เป็นหนึ่งในจอมเวทย์่ที่ร่ำรวยที่สุดในอาณาจักรลัมปุรีของเราไม่ใช่หรือ สถานการณ์ของพวกเขาดีกว่าของเรา บอกฉันทีว่าทำไมทั้งคู่ถึงเป็นจอมเวทย์ แต่ จอมเวทย์ไอเซนเคลกลับมีเงินมากกว่าในขณะที่คามิลล่าที่เคารพนับถือของเราไม่มีเงินมากพอที่จะวางรูปแบบน้ำแข็งให้พวกเรา”
เรมถอนหายใจยาว ๆ แต่เธอก็พบว่าไม่มีใครสนใจเธอเลย เธอมองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงงและพบว่าทุกคนทำท่าทางว่าไม่อยากพูดกับเธอ
เธอเห็นเพียงแค่เวลล่าจ้องมองมาที่เธอและส่งสัญญาณมาทางเธอด้วยสายตา
เรมเข้าใจทันทีและรู้ว่าตัวเองพูดมากเกินไปแล้ว เธอลดศีรษะลงอย่างรวดเร็วและไม่กล้าพูดอะไรอีก
ซูยี่ที่ได้เห็นทุกอย่างจากด้านข้างก็ยิ้มขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
คำถามของเรมทำให้เขานึกถึงอาจารย์ของเขาได้เมื่อเขายังเป็นนักศึกษาปริญญาโท คนที่เก่งกว่าสามารถคิดหัวข้อวิจัยได้มากกว่าดังนั้นพวกเขาจึงได้รับมากกว่า คนที่ด้อยกว่าย่อมมีรายได้ที่น้อยกว่า
แน่นอนว่ามีความแตกต่างในอาจารย์ที่ได้รับมากกว่า บางคนจะแบ่งปันรางวัลกับนักเรียนในสังกัดเพื่อให้ทุกคนมีความสุข
นอกจากนี้ยังมีอาจารย์บางคนที่เห็นแกตัว และไม่แบ่งปันกับนักเรียนที่ร่วมกันทำวิจัย ส่งผลให้มีการร้องเรียนในบางครั้ง
แล้วจอมเวทย์คามิลล่าล่ะ เป็นคนแบบใหน?
ซูยี่ไม่มีคุณสมบัติที่จะได้พบกับจอมเวทย์คามิลล่า ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถตัดสินใจได้
“แต่พูดตรงๆ การวางรูปแบบน้ำแข็งขนาดใหญ่นั้นก็ดี อย่างน้อยมันก็ไม่ร้อนขนาดนี้” ซูยี่ ดึงเสื้อด้านหน้าของเขาไปมาและพยายามทำให้ตัวเองเย็นลงเล็กน้อย
แม้ว่าเขาจะสามารถวงรูปแบบน้ำแข็งขนากเล็กไว้ที่เสื้อผ้าของเขาได้ในช่วงฤดูร้อนได้ แต่มันก็ต้องใช้พลังเวทย์จำนวนมากเพื่อให้มันทำงาน ด้วยพลังเวทย์ในปัจจุบันของเขาเขาสามารถกระตุ้นให้มันทำงานได้น้อยกว่าครึ่งชั่วโมงและจะต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูพลังกลับมามากกว่าสามชั่วโมง มันเป็นการได้ไม่คุ้มเสีย
สิ่งที่สำคัญกว่าคือการทำงานในห้องปฏิบัติการหมายความว่าเขาต้องใช้พลังเวท์ย์้ตลอดเวลา ดังนั้นแม้แต่นักเวทย์ระดับห้าอย่างเรมเขาก็ไม่กล้าเสียพลังเวทย์ไปอย่างเปล่าประโยชน์
ซูยี่มองขึ้นไปที่ผนังห้องทดลองตามปกติและเห็นว่ามันว่างเปล่า จะมีร่องรอยของเครื่องปรับอากาศได้อย่างไร?
“โลกที่ล้าหลังนี่… ..” ซูยี่ทำได้เพียงส่ายหัวและถอนหายใจ“อย่างน้อยถ้ามีพัดลมก็ยังดี”
เมื่อนึกถึงพัดลมก็มีบางอย่างผุดขึ้นมาในใจของ ซูยี่ เหมือนเขาคิดอะไรขึ้นมาได้
หลังจากมึนงงอยู่พักหนึ่งซูยี่ก็ตบขาของเขา
“โง่อะไรอย่างนี้! ถ้าไม่มีทำไมฉันไม่ทำมันขึ้นมาเองละ”
เสียง "แปะ" จากการที่ซูยี่ตบขาของเขาทำให้คนที่ทำงานอยู่รอบ ๆ หันมามองประหลาดใจ พวกเขาพบว่าคนที่ทำงานเงียบ ๆ ด้วยตัวเองมาตลอดจู่ๆก็มีสีหน้ามีความสุขขึ้นมา
“เพื่อนคนนี้บ้าไปแล้วเหรอ”
ซูยี่จะสนใจการจ้องมองของพวกเขาได้อย่างไรเขาจดจ่ออยู่กับความคิดที่เพิ่งผุดขึ้นมาในใจของเขา
ถูกต้องจู่ๆเขาก็คิดจะทำพัดลมของตัวเองขึ้นมา!
แน่นอนว่าในโลกนี้ไม่มีไฟฟ้า แต่มีบางอย่างที่สามารถทดแทนได้และมันก็ดีกว่ามากด้วย
ซูยี่จัดระเบียบความคิดในใจอย่างรวดเร็วและดึงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาทันที
ในฐานะคนที่มุ่งเน้นไปที่วิศวกรรมเครื่องกลแม้ว่าซูนี่ จะไม่เชี่ยวชาญด้านการผลิต แต่เขาก็หลงใหลในอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรกลตั้งแต่เขายังเด็ก ดังนั้นเขาจึงมีความเข้าใจอย่างชัดเจนเกี่ยวกับโครงสร้างและหลักการของพัดลม
การเพิ่มความรู้ด้านวิศวกรรมเครื่องกลเฉพาะทางของเขาทำให้ซูยี่ ทำพิมพ์เขียวสำหรับการสร้างพัดลมได้อย่างรวดเร็ว
หลังจากตรวจสอบแล้วซูยี่ก็ตั้งมั่นในใจ
หากเขาต้องการสริางพัดลมในโลกนี้สิ่งแรกที่ต้องมีคือแหล่งพลังงาน
ในโลกนี้ไม่มีไฟฟ้า แต่เขาสามารถทดแทนได้ด้วยรูปแบบเวทมนตร์นี่คือสิ่งที่ซูยี่ เรียนรู้จากโรงเรียน เซนไกเซอร์ ตลอดเวลาโดยไม่หยุดพัก
เปียโนจำลองที่เขาหยิบออกมาในระหว่างการสัมภาษณ์อาจถือได้ว่าเป็นศูนย์รวมของงานวิจัยของเขา
โครงสร้างของพัดลมนั้นง่ายมากสำหรับวิศวกรเครื่องกลระดับสูงเช่นเขาและการเปลี่ยนแหล่งพลังงานด้วยรูปแบบเวทย์มนตร์ ก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา ซูยี่ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเขาก็วาดรูปแบบเวทมนตร์สำเร็จ
รูปแบบเวทมนตร์นี้เป็นรูปแบบเวทย์ลมระดับต่ำ มันสามารถจำลองเวทย์ลมระดับต่ำและสร้างลมหมุนได้
ตอนนี้ซูยี่ จำเป็นต้องรวมรูปแบบเวทมนตร์นี้เข้ากับโครงสร้างของพัดลมเพื่อสร้างพัดลมขึ้นมา
แน่นอนซูยี่ยังคงมีปัญหามากมายที่ต้องแก้ไข
ตัวอย่างเช่นลมของรูปแบบเวทมนตร์ ต้องเร็วแค่ไหนจึงจะทำให้ใบพัดของพัดลมหมุนได้
หรือตัวอย่างเช่นถ้ารูปแบบเวทมนตร์ถูกวางไว้ในพัดลมและสามารถใช้งานได้มันจะส่งผลต่อรูปร่างของพัดลมหรือไม่?
หรือตัวอย่างเช่นหากใช้ผลึกเวทมนตร์ เป็นแหล่งพลังงานของรูปแบบเวทมนตร์จะต้องมีระดับใดจึงจะมั่นใจได้ว่าจะใช้งานได้?
หรือตัวอย่าง… ...
เมื่อเขาคิดถึงปัญหามากขึ้นซูยี่ก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้น
ในช่วงเวลานั้นมันเหมือนกับว่าเขาได้ย้อนเวลากลับไปบนโลก
เมื่อใดก็ตามที่สถานวิจัยของเขาประสบปัญหาที่ยากลำบากซูยี่ก็จะรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
เขาเป็นคนบ้าการค้นคว้า ไม่ว่าจะเป็นการค้นคว้าหรือแก้ปัญหามันก็สนุกกว่าความบันเทิงทุกรูปแบบ
ถึงเวลาเลิกงานในพริบตาแล้วเพื่อนร่วมงานของเขาจึงเริ่มจากไป
ซูยี่ยังคงทำงานของเขาต่อ เพื่อนร่วมงานของเขาไม่แปลกใจกับเรื่องนี้อยู่แล้ว
ในช่วงเดือนนี้ซูยี่ทำงานล่วงเวลาเกือบทุกวัน
เพื่อนร่วมงานของเขาชื่นชมซูยี่จริงๆสำหรับความคิดแบบนี้
เพียง แต่พวกเขาไม่รู้ว่าคราวนี้เขาไม่ได้แค่ค้นคว้าเกี่ยวกับเวทมนตร์เท่านั้น