ตอนที่ 62 บ้านนักล่า
ราวกับฝูงช้างเเมมมอธเหยียบย่ำหัวใจของเขา ไม่มีคำใดจะมอบให้กับสิ่งที่เขาเห็นตรงหน้า ชายเเก่นั่นคือพ่อค้าขายปืนไม่ใช่หรือ ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่บ้านนนักล่าเเห่งนี้?
เขาเพิ่งถูกพ่อค้าเเก่นั้นโกงการค้าปืน ไม่มีเหตุผลใดที่เขาจะก้าวเข้าไปยังบ้านนักล่า หากการดักทำร้ายชายเเก่นี่มันจะสามารถช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นก็คุ้มค่ากับการถูกโกงเงินไปห้าสิบเหรียญจักรวรรดิ
เเต่เเล้วเพียงเเค่เฉียนยี่หันกลับมา ชายเเก่ที่เคาน์เตอร์เงยหน้าเเละจ้องมองมายังเขาทันที
เฉียนยี่ตัวสั่นเทาในขณะที่เท้าข้างหนึ่งกำลังจะก้าวไปข้างหน้า เเต่ไม่สามารถก้าวต่อไปได้อีก!
เเละใช่ว่าเขาไม่ได้อยากจะออกไปจากที่นี่ เเต่เขาลืมนำอาวุธติดตัวมาด้วยจึงไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหวเเม้เเต่ปลายเท้า เเละใช่ดาบที่จี้ด้านหลังของเขานั่นทำให้ยากที่จะเคลื่อนไหว ซึ่งหากเขาฝืนเดินออกจากบ้านนักล่าไปคงไม่พ้นกับการต่อสู้ราวกับพายุ
เฉียนยี่พยามสงบสติอารมณ์เเละดูชั้นเชิงการต่อสู้ หากโอกาสที่เขาจะรอดชีวิตมีอยู่น้อยเขาจะไม่ฝืน เเละสิ่งนี้คือสัญชาตญาณที่ติดตัวมาตั้งเเต่อายุเจ็ดปี
เฉียนยี่หยุดการเคลื่อนไหวเเละค่อยๆหันกลับมาอย่างช้าๆ
ชายร่างใหญ่ทั้งสามในห้องโถงมองมายังเฉยนยี่ด้วยสายตาที่ชื่นชม
เเละไม่นาน ชายเเก่ที่ยืนอยู่ก็พูดขึ้น “เจ้าหนู ถ้าให้ข้าเดาท่าทางของเจ้า เคยไปร้านอาวุธปืน A1 มาก่อนเเล้วสิ่นะ”
เฉียนยี่จ้องชายเเก่ เเละสังเกตเห็นถึงสิ่งที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย
ชายเเก่ที่ร้านปืนดูเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องอาวุธ เเต่ทว่ามีริ้วรอยมากกว่าชายชราที่ร้านปืนเล็กน้อย ทั้งยังมีความเจ้าเล่ห์ในดวงตา เเตกต่างจากชายเเก่คนนี้ที่มีรอยเเผลเล็กๆบนใบหน้า ความต่างเพียงเล็กน้อยที่เเถบจะมองไม่ออก เเต่สามารถทำให้เฉียนยี่สะดุดตา นั่นก็เพราะเขาเองได้รับการฝึกฝนให้จดจำใบหน้าผู้คน
ชายเเก่ผู้นั้นจึงรีบพูดราวกับเขารู้ความคิดเฉียนยี่ “เจ้านายที่ร้านอาวุธนั่นมันพี่ชายฝาเเฝดของข้า ใครๆต่างเรียกข้าว่า A2 ส่วนคนที่นี่จะเรียกข้าว่าตาเเก่ที่สอง”
เฉียนยี่คิดว่าใบหน้าของเขาตอนนี้คงมีสีสันขึ้นมาบ้าง เเต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรตอบกลับไป
“อยากเป็นนักล่างั้นหรือ?” ตาเเก่ที่สองถาม
“...ครับบ” เฉียนยี่ตอบกลับ ทั้งยังรู้สึกว่าตาเเก่ที่สองคงไม่เจ้าเล่ห์เท่าพ่อค้าที่ร้านปืน เเต่ไม่ว่าจะยังไง ภาพที่ร้านปืนยังกลับวนเข้ามาในหัวของเขา
ไม่มีคนขี้โกงคนไหนที่จะเเสดงตัวออกว่าเขาเป็นเช่นนั้นหรอกว่าไหมล่ะ?
ตาเเก่ที่สองก้มศรีษะลงเเละเดินไปบริเวรเคาน์เตอร์ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบเหรียญทองสัมฤทธิ์หกเหลี่ยมขึ้นมาเเละโยนให้เขา “เจ้าผ่านบททดสอบเเรกเเล้ว ตอนนี้เจ้าคือนักล่าหนึ่งดาว”
เฉียนยี่รับเหรียญมาโดยไม่รู้ตัว “ทดสอบ?”
“ใช่ ข้าเพิ่งมองเจ้าเมื่อครู่ รู้ว่าเจ้ามีฝีมือพอตัว ต่อนี้ไปเจ้าคือสมาชิกที่บ้านนักล่านี้ เก็บสิ่งนั้นให้ดีเสียล่ะ เหรียญนั่นคือของเเสดงตัวสมาชิกบ้านนักล่า” ตาเเก่ที่สองพูดด้วยความเฉยเมย
เฉียนยี่มองไปยังเหรียญทองสัมฤทธิ์ในมือ มันเป็นเหรียญที่ถูกขัดจนเงาเป็นประกาย เเต่เห็นได้ชักว่ามันมีมาอยู่เเล้วระยะหนึ่ง ฝีมือของการทำเหรียญนี้ไม่ต่างจากเด็กเล็กทำ ดาวตรงกลางที่มีขนาดสูงต่ำไม่เท่ากัน รูปร่างคดเคี้ยวบิดเบี้ยว
“ในฐานะนักล่าหนึ่งดาว ข้าสามารถทำอะไรได้บ้าง” หากไม่ต้องส่งค่าหัวให้ที่นี่ เฉียนยี่เองคงไม่ลำบากใจที่จะเป็นในสมาชิกของบ้านนักล่านี้
“ค่าประสบการณ์ในช่วงเเรก หนึ่งเหรียญเงินจักรวรรดิ ในทุกๆเดือน” ตาเเก่ที่สองกล่าว
ตาเเก่ที่สองกล่าวอย่างไม่เเยเเส เเต่ในใจเฉียนยี่เต้นเเรงด้วยความโกรธเล็กน้อย
“สิทธิของข้าคืออะไรกันล่ะ?”
ตาเเก่ที่สองชี้ไปยังสมุดเก่าๆที่ผนัง “ทั้งหมดอยู่ในสมุดเล่มนั้นหมดเเล้ว”
เฉียนยี่เดินไปหยิบสมุดเล่มนั้นมา เเม้มันจะเก่าเเค่ไหน เเต่ภายในถูกเขียนไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ทุกคำในสุดดูมีพลังในตัวของมัน มันทำให้เฉียนยี่สั่นคลอนจนต้องใช้พลังเเห่งต้นกำเนิดเพื่อให้เขาทรงตัวได้อีกครั้ง
กฏนั่นค่อนข้างเรียบง่าย จำนวนค่าธรรมเนียมที่นักล่าส่ง เป็นปัจจัยหลักที่จะสามารถเลื่อนอันดับดาวของพวกเขาว่าจะได้รับสิทธิประเภทใด
สิทธิ์หลักๆของนักล่าคือการนำหลักฐานของการฆ่านักรบเผ่าพันธุ์มืดมาเเลกรางวัล ทั้งนี้พวกเขายังสามารถซื้อชุดเกราะเเละอาวุธพิเศษจากบ้านนักล่า รวมไปถึงของพเศษต่างๆ หากสินค้าชิ้นไหนไม่เป็นที่พอใจ บ้านนักล่าสามรถเป็นตัวเเทนในการหาช่างฝีมือเฉพาะนั้นๆได้
เพียงค่าหัวอย่างเดียวก็คุ้มค่าเเล้ว เเน่นอนว่านี่คือนักล่าต้องสามารถสังหารนักรบเผ่าพันธุ์มืดได้ในเบื้องต้น หากพูดตัวอย่างง่ายๆนักล่าหนึ่งดาวจะได้รับเงินสิบเหรียบทองต่อเดือน นักล่าสองดาวยี่สิบเหรียญทองต่อเดือน เเละจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ
จากเงื่อนไขทั้งหมด เเววตาเฉียนยี่เป็นประกายเเละเปี่ยมด้วยพลัง
เฉียนยี่ต้องเก็บอาการดีใจก่อนจะถาม “ข้าสามารถดูอาวุธเเละชุดเกราะได้หรือไม่?”
“เเน่นอนอยู่เเล้ว พาเขาไปดูห้องเครื่องมือนักล่าหนึ่งดาวที”
เเละเเล้วก็มีชายหนุ่มดูเฉลียวฉลาดมาจากที่ไหนไม่รู้เดินมา เขาดีดนิ้วเเละเรียกเฉียนยี่ให้ตามไป “มากับข้าเร็ว”
เฉียนยี่เดินตามเด็กหนุ่มไปในห้องเก็บของ
เเม้นี่จะเป็นเพียงห้องเก็บอาวุธนักล่าหนึ่งดาว เเต่มันเต็มไปด้วยอุปกรณ์มากมาย เฉียนยี่เห็นอาวุธมาตราฐานของกองพลหลักของจักรวรรดิในทวีปตอนบน นั่นคือปืนกำเนิดนรก นี่มันปืนระดับสาม เเละทุกกระบอกคือปืนใหม่!
เเต่กระนั้นปืนนี้ถูกประทับตราเครื่องหมายสี่ดาว บ่งบอกว่าสามารถซื้อได้สำหรับนักล่าระดับสี่ดาวเท่านั้น เขาเองก็ยังสงสับว่าของพวกนี้เป็นมาอย่างไร นอกจากนั้นยังมีชุดเกราะยุทธวิธีครบชุด มีดทหารครบทุกรูปเเบบ เป็นคลังเล็กๆที่ครบครันจริงๆ
หลังจากสำรวจห้องเก็บของเขาตามเด็กหนุ่มไปจ่ายค่าสมาชิกอย่างเชื่อฟัง
หลังเสร็จสิ้นขั้นตอน เฉียนยี่อดที่จะถามไม่ได้ “หากนักล่าที่ไม่จ่ายค่าสมาชิกหรือค่าหัว เจ้าจัดการกับพวกเขาอย่างไรหรือ?”
“เราจะคิดดอกเบี้ยทุกเดือน เดือนละหนึ่งเหรียญทอง” ชายเเก่ที่สองกล่าว
เฉียนยี่รู้สึกประหลาดใจ นั่นเพราะค่าสมาชิกฤดูกาลราคาสามเหรียญทองจักรวรรดิ เเละนักล่าภายใต้สมาชิกต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มอีก ถือเป็นดอกเบี้ยราคาสูงมากโข
ราวกับพวกเขาสังเกตเห็นความคิดเฉียนยี่ ชายร่างใหญ่พูดขัดจังหวะ “หากจะหาเงินไม่ได้ก็หมายความว่านั่นไม่ใช่นักล่าที่เเท้จริง หากสู้ไม่ไหวก็กลับไปเลี้ยงลูกอยู่บ้านเสียเถอะ”
คำพูดของชายร่างใหญ่ฟังดูสมเหตุสมผล
เฉียนยี่นำเขี้ยวเเวมไพร์ออกมาที่หน้าตาเเก่ที่สอง “เเล้วนี่เปลี่ยนเป็นค่าหัวได้ไหม?”
ตามอัตราการเเลกเปลี่ยนบ้านนักล่า เขี้ยวเเวมไพร์ปกติสามารถเเลกเป็นเงินได้หนึ่งเหรียญทองจักรวรรดิ เเละนักล่าต้องสังหารเเวมไพร์อันดับต่ำสุดอย่างน้อยหนึ่งตัวต่อเดือนเพื่อคงสถานะสมาชิกเเห่งบ้านนักล่า
กฏนี้ใช้คุณสมบัติสูงพอกับข้อกำหนดนักรบเเมงป่องเเดง เเละไม่ใช่เพียงนักรบอันดับหนึ่งจะสามารถกลายเป็นนักล่าได้
เเละเขี้ยวทั้งหกนี้มีราคาสูงมากกว่าค่าเข้าสมาชิกเสียด้วยซ้ำ ภายในใจเฉียนยี่คิด
“หากจำไม่ผิด เขี้ยวนี่คือตระกูลนีเดอร์ฮิลล์ เเวมไพร์ชั้นสูง พวกเขาน่ากลัวเเละเป็นเเวมไพร์อันดับสี่ เช่นนั้นเเล้วคู่นึงมีมูลค่าสิบเหรียญทองจักรวรรดิ”
เฉียนยี่ไม่คาดคิดว่าเเวมไพร์ที่เขาสังหารจะมีภูมิหลังที่น่าสนใจเเละโดดเด่นเพียงนี้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าดีใจที่สุดในตอนนี้คือราคาที่มากกว่าถึงสองเท่า
ชายเเก่ที่สองหยิบเหรียญทองสอบเหรียญออกมาพร้อมขวานเเละยื่นให้เฉียนยี่ “เจ้าได้รับเงินค่าหัวสูงสุดในเดือนนี้ ข้าคงให้มากกว่านี้ไม่ได้เเล้วล่ะ ส่วนขวานนี่เป็นของส่วนตัวที่ข้าอยากจะให้”
เฉียนยี่หยิบมันขึ้นมาตรวจเช็คอย่างใกล้ชิด
ขวานนี้มีขนาดเล็กมาก มันยาวเพียงครึ่งเมตรเเละหัวเเกนเองก็มีขนาดเท่าฝ่ามือเท่านั้น เฉียนยี่เองไ่เเน่ใจว่ามันมาจากอะไร เเต่มันจะมีประโยชน์กับเขาอย่างเเน่นอน
เฉียนยี่เหวี่ยงมันเบาๆหนึ่งครั้ง เขารู้สึกถึงพลังอย่างนุ่มนวลในขณะที่เหวี่ยงในอากาศ เเละมีเสียงเบาๆ!
เฉียนยี่ดีใจมาก เพราะสิ่งนี้มีประโยชน์มากกว่ากริซเสียอีก
“ของชั้นดียังไงก็ยากที่จะเถียง” คนที่สองกล่าวอีกครั้ง
ชายเเก่คนที่สองดึงนาฬิกาพกเเบบเก่าออกมา “เจ้าเด็กนี่เหมาะกับภาระกิจนั้นจริงๆ”
“เจ้าหมายถึงภาระกิจไหน?”
“คุณฉีฉี”
ชายร่างใหญ่ทั้งสามหันมามองเฉียนยี่ ดวงตาทั้งสามมองมาที่เฉียนยี่อย่างสงสาร
---------