ตอนที่ 50: คำมั่นสัญญาของเพื่อนสมัยเด็ก
“แบบนี้ไม่ได้แล้ว, ไม่ดีสุดๆ........!”
มันผ่านมาได้สองสามวันแล้วหลังจากที่พวกเราเอาชนะมังกรทะเล
หลังจากที่พวกเขาติดต่อมาหาฉัน, ฉันก็ล่องเรือจากรอนดิเน่ไปที่ท่าของอัลบราโทร
อย่างไรก็ตาม, ฉันมีเรื่องบางอย่างที่รู้สึกกังวลใจสุดๆ
“เราลืมบอกเรื่องสำคัญแบบนี้กับหมอนั่นได้ยังไงกันนะ.......!”
ใช่แล้ว, ฉันลืมบอกเรื่องบางอย่างกับลีโอ
มันคือเรื่องที่ว่าเอวาตกหลุมรักเขา
ตอนนั้นมันมีปัญหาที่ต้องจัดการเยอะเกินไปฉันก็เลยลืมเรื่องส่วนตัวแบบนี้ไปซะสนิท
ถึงอย่างนั้นก็เถอะเขาคือลีโอนะเพราะฉะนั้นเขาน่าจะพอจัดการอะไรได้บ้างแต่นี่เป็นเรื่องของความรักระหว่างชายกับหญิง นี่อาจจะเป็นปัญหามากกว่าที่ฉันคิดก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้น, เอวาก็เป็นเจ้าหญิงด้วย
เห็นได้ชัดว่าลิเวียธานปรากฎตัวขึ้นหลังจากที่กองเรือของรอนดิเน่มาถึงท่าได้ไม่นาน ซึ่งนี่ก็หมายความว่าลีโอกับเอวาไม่ได้มีโอกาสพูดคุยกันในตอนนั้น อย่างไรก็ตาม, จนถึงตอนนี้มันผ่านมาได้สองสามวันแล้ว
จากนิสัยส่วนตัวของเอวานั้น, มันไม่มีทางหรอกที่เธอจะยังไม่รุก
“หวังว่าหมอนั่นจะหาวิธีรับมือได้นะ........”
ด้วยความคิดนี้, ฉันก็ลงมาที่ท่าของราชรัฐอัลบราโทร และเนื่องจากกำหนดเอาไว้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่ฉันมาที่นี่, ฉันก็เลยแกล้งแสดงเหมือนกับว่าฉันกำลังสนใจไปทั่ว
หลังจากนั้น, ลีโอก็เดินเข้ามาให้การต้อนรับเขา
และข้างๆเขา,
“เอิ่มม?”
เอวากำลังพูดคุยกับลีโออย่างสนุกสนาน
อะไรเนี่ย? เกิดอะไรขึ้นที่นี่?
ทำไมสองคนนี้ถึงดูเข้ากันได้ดีแบบนี้หล่ะ? ได้ยังไงกัน?
หรือว่าจะเป็นไอ้นั่น? ลีโอคิดว่าผู้หญิงมักจะชอบตามติดเขาเป็นปกติอยู่แล้วรึเปล่า?
ถ้าฉันตีความว่าลีโอสามารถตอบรับการรุกของเอวาได้อย่างเป็นธรรมชาติคงไม่ผิดใช่ไหม? เจ้าหมอนี่คิดว่ามันเป็นเรื่องปกติแค่เพราะตัวเองหล่อใช่ไหม?
ในขณะที่ฉันกำลังสั่นสะพรึงกับไหวพริบของน้องชาย, เอวาก็เข้ามาทักทายฉัน
“เป็นเกียรติที่ได้พบค่ะ, องค์ชายอาร์โนลด์ ข้าคือเจ้าหญิงลำดับหนึ่งของอัลบราโทร, เอวาเจริน่า เดอ อัลบราโทรค่ะ พ่อของข้ากำลังยุ่งอยู่ข้าก็เลยมาให้การต้อนรับท่านแทนเขา ถ้าไม่สะดวกจะเรียกข้าว่าเอวาเฉยๆก็ได้ค่ะ”
“อ้ะ, อ่า, ยินดีที่ได้รู้จักนะ......”
“ข้าเองก็ดีใจที่ท่านพี่มาถึงที่นี่ได้อย่างปลอดภัย ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับท่านพี่เยอะเลยแหล่ะแต่ว่าท่านพี่อยากจะพักผ่อนก่อนรึเปล่า?”
“ก็ดีเหมือนกัน.....ข้ากำลังรู้สึกตกใจนิดหน่อย.....”
พอพูดจบ, ฉันก็มุ่งหน้าไปยังรถม้าที่พวกเขาเตรียมเอาไว้ให้
เห็นได้ชัดเลยว่า, เอวากับลีโอนั้นมีเรื่องบางอย่างที่ต้องทำหลังจากนี้และออกไปที่ไหนซักแห่ง
อา, น่าเศร้าชะมัด
“น้องชายของเราเสียความบริสุทธิซะแล้ว......”
“องค์ชายกำลังพูดเรื่องอะไรหรอครับ?”
“อ้าว, มาร์คเองหรอ ได้ยินข้าด้วยหรอเนี่ย......ลีโอกลายเป็นเสือผู้หญิงซะแล้วสิ.....”
“ข้าก็ไม่รู้หรอกนะว่าท่านสรุปไปแบบนั้นได้ยังไงแต่ถ้าข้าจำไม่ผิด, องค์ชายเองไม่ใช่หรอครับที่เป็นคนทำให้องค์หญิงเอวาตกหลุมรักเขา?”
“หืมม? เจ้าสังเกตเห็นด้วยหรอ?”
“ไม่ว่าใครก็มองออกทั้งนั้นแหล่ะครับ เธอมาถามพวกอัศวินเกี่ยวกับเรื่องของท่านและสีหน้าของเธอก็แสดงอาการของเด็กสาวที่กำลังตกหลุมรักซะขนาดนั้น”
“เข้าใจหล่ะ มันคงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายจริงๆแหล่ะนะ”
แบบนี้ก็แสดงว่า,
ฉันจ้องไปที่มาร์คด้วยสีหน้าจริงจัง
“ครับ ข้าเป็นคนบอกองค์ชายลีโอนาร์ดเอง”
“โอ้, เจ้าก็มีความสามารถไม่เบาเลยนะเนี่ย?”
“นี่ท่านคิดว่าข้าเป็นคนไร้ความสามารถหรอครับ?”
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก งั้นหรอ, เข้าใจหล่ะ, เข้าใจหล่ะ เจ้าช่วยข้าเอาไว้จริงๆ.....นี่มันช่วยทำให้ข้าโล่งใจสุดๆ”
“ข้าเองก็ดีใจที่สามารถช่วยท่านได้ครับ แต่เรื่องถัดจากนี้เป็นเรื่องที่ข้าไม่สามารถทำอะไรได้เพราะฉะนั้นข้าจึงรู้สึกดีใจที่สามารถช่วยผ่อนคลายความเครียดขององค์ชายได้ด้วยเรื่องนี้”
พอพูดจบ, มาร์คก็เปิดประตูรถม้า
ข้างในนั้นมีเอลน่าที่กำลังทำหน้าหงุดหงิดอยู่
เป็นเวลาพักนึง, ที่ฉันเริ่มคิดอยากจะหนีแต่เนื่องจากไม่มีโอกาสที่ฉันจะหนีจากเธอได้ถ้าไม่ใช่เวทย์เคลื่อนย้ายฉันจึงยอมถอดใจ
“....มาร์ค ตอนนี้ข้ามีเรื่องให้กังวลกว่าเดิมแล้วหล่ะ”
“เรื่องอะไรหรอครับ?”
“ฟังข้าให้ดีๆแล้วจงตกใจซะ ตอนนี้ชีวิตของข้ากำลังตกอยู่ในอันตราย”
“ก็ปกตินี่ครับ ถ้าชีวิตขององค์ชายตกอยู่ในอันตรายข้าก็จะช่วยเหลือท่านอีกครั้งเพราะฉะนั้นวางใจได้ครับ”
“มันแปลกไม่ใช่รึไงที่เจ้ามองว่าเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องปกติ!? ยิ่งไปกว่านั้น, ถ้าเกิดข้าถูกฆ่าตายในทันทีเจ้าก็คงช่วยไม่ได้ไม่ใช่หรอ!?”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เธอจะค่อยเป็นค่อยไปกับท่าน”
พอพูดจบ, มาร์คก็ผลักหลังของฉัน
และโดยที่ไม่สามารถต่อต้านได้, ฉันก็ถูกผลักเข้ามาข้างในรถม้าและถูกทิ้งเอาไว้ให้อยู่กับเอลน่า
“......ง, ไง........”
“.........”
เอลน่ายังคงเงียบอยู่
ดูเหมือนว่าเธอจะโกรธจริงๆสินะ
ฉันรู้ว่าทำไม มันน่าจะเป็นเพราะฉันไปบอกซิลเวอร์เกี่ยวกับจุดอ่อนของเธอ
ในขณะที่ถูกจ้องเงียบๆแบบนี้, ฉันก็นั่งลงข้างหน้าเธอด้วยความรู้สึกอึดอัด
จากสิ่งที่ฉันเห็น, ดูเหมือนว่าจะมีบาเรียป้องกันเสียงอยู่รอบตัวพวกเราด้วย บาเรียนี้มักจะถูกนำมาใช้ในตอนที่ต้องการพูดคุยเรื่องส่วนตัว
ในขณะที่ฉันกำลังคิดว่านี่ต้องเป็นการพูดคุยที่ยาวนานแน่ๆ, เอลน่าก็ปริปากพูด
“มีอะไรจะพูดรึเปล่า?”
“อ่า เอ่ออ, เจ้าได้รับบาดเจ็บรึเปล่า?”
“!? มะ, ไม่มีทางที่ข้าจะได้รับบาดเจ็บอยู่แล้ว! นี่เจ้าคิดว่าข้าเป็นใครกัน!?”
เอลน่าตะโกนด้วยสีหน้าขุ่นเคืองเล็กน้อย, และดูเหมือน่วาเธอจะคิดไม่ถึงว่าฉันจะตอบแบบนี้เธอจึงพึมพำออกมา
“อยากจะบ้าตายจริงๆ.....”
“แม้แต่เจ้าก็บาดเจ็บได้เหมือนกันไม่ใช่รึไง? แน่นอนว่า, โอกาสมันน้อยมากๆถ้าเจ้าต่อสู้กับคนธรรมดาแต่ครั้งนี้สนามต่อสู้หลักมันอยู่ในทะเลไม่ใช่หรอ? เพราะแบบนี้แหล่ะข้าถึงเป็นห่วง ข้าอาจจะยุ่มย่ามไปหน่อยแต่ข้าก็ขอให้ซิลเวอร์ช่วยดูแลเจ้า ถ้าเจ้าไม่ชอบแบบนั้นข้าก็ขอโทษด้วยแล้วกัน ขอโทษนะ, แต่คนๆเดียวที่จะเป็นห่วงเจ้าก็มีแค่ข้าเท่านั้น, ถูกไหม? เจ้าเป็นเพื่อนสมัยเด็กคนสำคัญเพราะฉะนั้นอย่างน้อยก็ขอให้ข้าได้เป็นห่วงเจ้าเถอะ”
“....อะไรกันเล่า.....แบบนี้ไม่ยุติธรรมเลย.....ถ้าตอนนี้ข้าโกรธเจ้า, มันก็ดูเหมือนข้าทำตัวขี้โมโหไม่ใช่หรอ”
“ไม่หรอก, เจ้าก็ขี้โมโหอยู่แล้วไม่ใช่หรอ หลังจากที่ผ่านมาถึงขนาดนี้เจ้าจะมาพูดอะไรอีก”
“อัล~? ถ้าเจ้าพูดอะไรไม่เข้าเรื่องเจ้าจะโดนตัดลิ้นนะรู้ไหม~?”
“ครับคุณผู้หญิง.....ข้าจะไม่พูดอะไรไม่เข้าเรื่องอีกแล้วครับ......”
เอลน่าดึงดาบออกมาเล็กน้อยแล้วขู่ฉันด้วยรอยยิ้ม
อำนาจการขู่ของเธอนั้นเหมือนกับมังกรคำรามเลย, ใครก็ตามที่จิตอ่อนคงจะหมดสติไปอย่างแน่นอนถ้าพวกเขาต้องมาเผชิญหน้ากับเอลน่าในสภาพนี้
อย่างไรก็ตาม, ตรงข้ามกับฉันที่กำลังหวาดกลัวอยู่, เอลน่ากลับมีรอยยิ้มที่สดใสอยู่บนหน้า นี่มันอะไรกันเธอหน้าบึ้งมาตลอดตั้งแต่ตอนที่ฉันขึ้นรถม้ามาแท้ๆ
ตอนนี้เธอดูเหมือนกำลังอารมณ์ดีอยู่เลย
“เอาเถอะช่างมันแล้วกัน ข้าจะปล่อยวางเรื่องที่เจ้าบอกนักผจญภัยสวมหน้ากากนั่นเกี่ยวกับจุดอ่อนของข้า แต่รู้รึเปล่าว่าข้าไม่ได้หงุดหงิดเรื่องนั้นหรอก? เจ้ารู้ไหมว่าข้าอยากจะพูดอะไร?”
พอพูดจบ, เอลน่าก็จ้องตรงมาที่ฉัน
เธออาจจะขู่ฉันมาจนถึงตอนนี้แต่ฉันกลับรู้สึกเหมือนกับว่าเธอกำลังขุ่นเคืองอยู่ อย่างไรก็ตาม, ตอนนี้มันต่างออกไปแล้ว
ด้วยการรับความหงุดหงิดและสายตาที่ไม่ค่อยพอใจของเธอ, ฉันก็ถอนหายใจออกมา
“ซิลเวอร์บอกเจ้าไปแค่ไหน?”
“เขาบอกว่าเจ้ากับเขาเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกัน และเนื่องจากเจ้ายอมบอกเขาเกี่ยวกับจุดอ่อนของข้า, ก็แสดงว่าเจ้าต้องไว้ใจเขาในระดับนึงใช่ไหม? นี่พวกเจ้ากำลังวางแผนทำอะไรกันอยู่?”
“.....ข้าต้องพูดจริงๆหรอ?”
“ใช่, ต้องพูด ถ้าเจ้าไม่ยอมพูดข้าจะโยนเจ้าออกจากรถม้าคันนี้”
“งั้นหรอ......แบบนั้นก็คงช่วยไม่ได้หล่ะนะ......ข้ากับซิลเวอร์มีเป้าหมายเดียวกันนั่นก็คือการทำให้ลีโอได้เป็นจักรพรรดิและพวกเราก็กำลังเคลื่อนไหวอยู่หลังฉากเพื่อเป้าหมายนี้”
“หลังฉากหรอ.......?”
“ใช่, มันก็เหมือนการเคลื่อนไหวอย่างหลบๆซ่อนๆที่เจ้าเกลียดนั่นแหล่ะ ข้าใช้สถานะของตัวเองในฐานะราชวงศ์ในขณะที่เขาใช้สถานะของตัวเองในฐานะนักผจญภัยแรงค์ SS ในบางโอกาสพวกเราจะใช้มันเพื่อเพิ่มพันธมิตรของพวกเราโดยทำให้เหมือนกับว่าการเจอพวกเรานั้นเป็นเรื่องบังเอิญ พวกเราได้ตัวดยุคไคลเนลต์มาก็ด้วยวิธีนี้เหมือนกัน”
เอลน่ารู้ว่าฉันพยายามทำให้ลีโอได้เป็นจักรพรรดิอยู่
แน่นอน, เธอรู้ว่าพวกเรากำลังต่อสู้กับขุมอำนาจอีกสามกลุ่มที่เหลือด้วย
อย่างไรก็ตาม, เธอคิดว่าฉันแค่ทำหน้าที่เหมือนผู้ช่วยของลีโอ
นอกจากเรื่องนั้น, เอลน่าคงไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าฉันกำลังเคลื่อนไหวอยู่หลังฉากด้วยความช่วยเหลือของนักผจญแรงค์ SS ตอนนี้, เอลน่าถึงกับพูดไม่ออก
“ข้าได้ติดต่อกับซิลเวอร์ในตอนที่แวมไพร์โจมตีพวกเราที่ฝั่งตะวันออกด้วย ครั้งนี้ก็เหมือนกัน เขากำลังเคลื่อนไหวเพื่อสนับสนุนลีโออยู่ แต่ถ้าลีโอติดต่อกับซิลเวอร์โดยตรงมันจะดูเด่นเกินไปหน่อย ดังนั้นบทบาทของข้าก็คือการปกปิดความสัมพันธ์นี้”
“.....ลีโอรู้เรื่องนี้รึเปล่า?”
“ข้าบอกเขาไปแล้วแต่เขาไม่ได้รู้เรื่องการเคลื่อนไหวหลังฉากที่พวกเราทำ อันที่จริงครั้งนี้ซิลเวอร์อยู่ทางใต้มาตั้งแต่แรกแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น, ข้าก็ขอให้เขากลับไปที่เมืองหลวงของจักรวรรดิเพื่อใช้เรื่องนี้เป็นข้อได้เปรียบของพวกเราในสงครามผู้สืบทอด เขาทำการติดต่อกับฟีเน่และหยุดอีกสามคนที่เหลือไม่ให้เอากองทัพจักรวรรดิเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือพูดอีกนัยนึงก็คือ, ข้าให้ความสำคัญกับสงครามผู้สืบทอดมาก่อนประชาชนมากมายที่ต้องเสียสละชีวิตของตัวเองในครั้งนี้”
“.....เจ้าทำแบบนี้ก็เพื่อเอาชีวิตรอดใช่ไหม? นี่เจ้า.....คิดจริงๆหรอว่าพวกพี่ๆของเจ้าจะฆ่าเจ้ากับลีโอจริงๆ?”
นี่คือการยืนยันครั้งสุดท้ายของเอลน่า
ฉันเคยบอกเรื่องนี้กับเอลน่าไปแล้วแต่มันก็ยังมีความสงสัยอยู่ในใจเธอ เกี่ยวกับความจริงที่ว่าฉันเกือบถูกลอบสังหารนั้น, มันยังมีความสงสัยอยู่ในใจเธอที่ทำให้เธอคิดว่ามันไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นเอาชีวิตของฉัน เธอคิดว่าบางทีมันอาจจะเป็นแค่การทำเพื่อขู่ฉันก็ได้
อย่างน้อยที่สุดนี่ก็คือความคิดของเธอในตอนที่เธออยู่กับพวกเรา หรือพูดอีกนัยนึงก็คือ, มันไม่มีเรื่องแบบนั้นในตอนที่มงกุฎราชกุมารยังมีชีวิตอยู่
เอริคตั้งใจทำงานเคียงคู่กับมงกุฎราชกุมาร, เขาไม่ได้เป็นพี่ชายที่จะพิจารณาเรื่องการฆ่าใครได้ กอร์ดอนเป็นคนที่ซื่อสัตย์, นักรบที่ซื่อตรง และซานดร้าเองก็พยายามอย่างหนักในฐานะนักเวทย์
ใช่แล้ว ตอนนั้นมีแต่ความสงบสุข
อย่างไรก็ตาม, บัลลังก์ก็ว่างลงในตอนที่มงกุฎราชกุมารตาย ความทะเยอทะยานของทั้งสามคนที่ถูกปิดกั้นเอาไว้ด้วยฝาครอบขนาดใหญ่ที่มีชื่อว่ามงกุฎราชกุมารได้เอ่อล้นออกมา
หลังจากหลายปีของการต่อสู้กันเอง, พวกเขาทุกคนก็สูญเสียความใจดีของตัวเองไป
ฉันสามารถยืนยันได้เลย
“พวกเขาจะฆ่าทั้งข้าแล้วก็ลีโออย่างแน่นอน รวมถึงทุกคนที่อยู่รอบตัวพวกเราด้วย....นี่คือสาเหตุที่ไม่ว่าจะต้องทำอะไร, ข้าก็จะทำให้ลีโอได้เป็นจักรพรรดิ ข้าบอกเจ้าไปตั้งแต่ตอนงานเทศกาลแล้วไม่ใช่หรอ? อย่าเอาตัวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เจ้าเกือบจะข้ามเส้นกั้นที่อันตรายมาแล้วนะ ถ้าเจ้าช่วยพวกเรามากไปกว่านี้อีกบ้านแอมส์เบิร์กก็จะถูกพวกเขามองเป็นศัตรูด้วย เจ้าจะโอเคกับเรื่องนั้นจริงๆหรอ?”
“.....บ้านแอมส์เบิร์กจะไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองไม่ได้......ข้าถูกสอนมาตั้งแต่ยังเด็กว่าพวกเรามีชีวิตอยู่ในฐานะดาบเท่านั้น”
“ใช่แล้ว คิดแบบนั้นฉลาดที่สุด ไม่ว่ายังไง, บ้านผู้กล้าหาญก็แข็งแกร่งเกินไป”
“แต่.....ข้าตัดสินใจแล้วแหล่ะ, อัล นี่คือสิ่งที่ข้าตัดสินใจว่าจะไม่ยอมละทิ้งมาตั้งนานแล้ว”
“ตัดสินใจอะไร?”
เอลน่าสูดหายใจเข้าลึกๆ
ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าเธอกำลังจะพูดเรื่องที่ฟังดูอุกอาจออกมา
แต่ฉันไม่สามารถห้ามเธอได้
ฉันไม่เคยห้ามเธอได้มาตั้งนานแล้ว
“ข้าจะไม่ทิ้งอัล ข้าสาบานในเรื่องนี้มาตั้งแต่ยังเด็กแล้ว ข้าจะไม่มีวันทำลายคำมั่นนี้ต่อให้ข้าต้องเป็นปฏิปักษ์กับองค์จักรพรรดิก็ตาม ถ้าเจ้าอยากให้ลีโอนั่งบนบัลลังก์จริงๆข้าก็จะขอร่วมมือกับเจ้าด้วย ถ้าเจ้ายอมทำทุกอย่างข้าเองก็จะยอมเหมือนกัน ถ้าตระกูลของข้าเข้ามาขัดขวาง, ข้าก็ไม่หวั่นที่จะต้องทิ้งนามสกุลของตัวเองไป สำหรับข้าแล้วคำมั่นสัญญานี้สำคัญเกินกว่าสิ่งอื่นใดทั้งนั้น”
“....เจ้าหมดคุณสมบัติในฐานะอัศวินหลวงแล้วนะรู้รึเปล่า ต่อให้เจ้าไม่ได้เป็นนายหญิงแห่งบ้านผู้กล้าหาญแล้วเจ้าก็จะไม่เป็นไรจริงๆหน่ะหรอ?”
“ข้าค่อนข้างดื้อนะ เจ้าก็น่าจะรู้นี่?”
“ก็รู้อยู่หรอก.....เอาจริงๆ, ข้าก็รู้สึกขอบคุณอยู่ที่เจ้ายอมร่วมมือกับพวกเราถึงขนาดนี้แต่ข้าอยากให้เจ้าอยู่สงบๆต่อไปอีกสักพัก ถ้าบ้านผู้กล้าหาญแสดงตัวว่าอยู่ฝั่งเราอย่างเปิดเผย, ขุมอำนาจของเราก็จะจบลงที่การกลายเป็นขุมอำนาจที่โดดเด่นที่สุด และถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆอีกสามฝ่ายที่เหลือจะต้องโจมตีพวกเราจนสุดตัวอย่างแน่นอน”
“ไอ้นั่นข้าก็พอเข้าใจอยู่หรอก ข้าจะร่วมมือกับเจ้าในขณะที่คอยระวังไม่ให้ถูกจับได้ก็แล้วกัน”
“สำหรับเจ้าคงไม่ไหวหรอกมั้ง”
“อย่าทำเหมือนกับข้าเป็นคนโง่นะ! ข้าสามารถทำได้ดีเลยหล่ะรู้เอาไว้ด้วย!”
พอพูดจบ, เอลน่าก็ยืดอกขึ้น
ไม่ว่าฉันจะมองยังไง, มันก็ดูไม่น่าเชื่อเลย
แต่ช่างมันเถอะ
เอลน่าคือดาบ, มันขึ้นอยู่กับว่าคนที่ถือครองเธอนั้นใช้งานเธอได้ดีแค่ไหน
“เอาหล่ะ! ในที่สุดก็รู้สึกโล่งซักที! ถ้าในเมื่อตัดสินใจแล้วก็มาพยายามให้เต็มที่แล้วกันนะ”
“ข้าพึ่งบอกให้เจ้าอยู่สงบๆเองนะ.......”
“กระตือรือร้นซักหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกหน่า อ้ะ, ใช่แล้ว ในเมื่อข้าร่วมมือกับเจ้าแล้วเจ้าก็ห้ามมีความลับกับข้านะโอเคไหม เจ้าไม่มีอะไรปกปิดข้าแล้วใช่รึเปล่า? ถ้ามีก็พูดออกมาให้หมดซะตั้งแต่ตอนนี้แล้วข้าจะยอมยกโทษให้”
“อืมม....อ้ะจริงด้วย ข้าเคยเอาไข่มุกให้เจ้าในตอนที่ได้เป็นอัศวินหลวงใช่ไหม?”
“ก็ใช่อยู่หรอก, เจ้าตามหาไปทั่วทุกที่เพื่อซื้อมันมาให้ข้าใช่ไหม?”
“อันที่จริง, เพราะมันดูวุ่นวายข้าก็เลยให้ลีโอไปซื้อมันให้ข้—ห เหวอออ!?”
“เลวที่สุด!”
พอถูกต่อยเข้าที่ท้อง, ฉันนอนหมดสภาพอยู่ข้างในรถม้า
ไหนบอกว่าจะยกโทษให้ไง.........
ฉันพูดคำพวกนั้นออกมาไม่ได้
ในขณะที่กำลังแสดงใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด, ฉันก็รู้สึกโล่งอกที่สามารถปกปิดส่วนที่สำคัญจากเธอได้
ฉันสามารถปกปิดความจริงที่ว่าซิลเวอร์กับฉันเป็นคนๆเดียวกันเอาไว้ได้และได้เธอมาร่วมมือด้วยอย่างเต็มตัว