ตอนที่ 50
ตอนที่ 50
เมื่อชายผู้ถือดาบใหญ่ได้ยินคำพูดของซูฮยอน เขาก็อดตกใจไม่ได้
เพราะฝ่ายตรงข้ามรู้ด้วยว่ากลยุทธ์ที่พวกเขาใช้ ยังไม่สมบูรณ์ดี....
ดูเหมือนผู้ก่อการร้ายจะมีความรู้เกี่ยวกับการต่อสู้เป็นอย่างดี แค่มองแวบเดียวก็สามารถระบุได้ทันทีว่ากลยุทธ์มีข้อบกพร่องอยู่...
ชายผู้ถือดาบใหญ่หรี่ตาแล้วมองไปทางซูฮยอน
“มันเป็นใครกันแน่? มันเป็นศัตรูกับพวกเราจริงๆเหรอ ทำไมพวกเราถึงไม่มีใครบาดเจ็บเลยสักคน?”
เขาเองก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจตั้งแต่มาเหยียบสมรภูมิแต่แรก เพราะผู้ก่อการร้ายตรงหน้า ไม่มีจิตสังหารเลยสักนิด ซึ่งมันเป็นเรื่องที่แปลกมากๆ
นับตั้งแต่เขาเป็นผู้ตื่นขึ้นมา ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ที่เขาเจอเรื่องอะไรแบบนี้...
ที่ทำให้เขามีคิดแบบนี้ เป็นเพราะเขาสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่ไม่อยากต่อสู้ ซึ่งมันถูกปล่อยออกมาจากผู้ก่อการร้าย
“ยิ่งไปกว่านั้น...”
ชายผู้ถือดาบใหญ่ก้มหน้าลงไปมองหน้าอกของตนเอง ที่พึ่งโดนดาบของซูฮยอนตัดชุดเกราะจนขาด
ถ้าซูฮยอนตั้งใจฆ่าเขา ร่างกายของเขาคงแยกออกจากกันไปนานแล้ว...
“เขาสามารถฆ่าฉันได้ง่ายๆ แต่เขากับไม่ทำ?”
คังซึงชอลชายผู้ถือดาบใหญ่หวนนึกถึงคำพูดของผู้อำนวยการ..
“ผู้ก่อการร้ายที่กำลังก่อเหตุอาละวาดอยู่มีชื่อว่าคิมซูฮยอน มันเป็นสมาชิกของกิดล์ดัมพ์ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความโหดเหี้ยมอำมหิต ฉะนั้นหน้าที่เธอ จงฆ่ามันทิ้งซะ เพื่อช่วยให้โลกพ้นมลทิน”
นั้นคือคำสั่งที่คังซึงชอลได้รับมา...
“ตกลงคิมซูฮยอนเป็นคนยังไงกัน เขาเป็นคนที่มีฝืมือร้ายกาจตามข่าวลือจริงๆ หรือเขาก็เป็นแค่ปลิงที่โชคดีกว่าผู้ตื่นขึ้นคนอื่นกันแน่นะ?”
คังซึงชอลค่อนข้างมั่นใจว่า ถ้าเขาต่อสู้กับซูฮยอนอีกหน่อย เขาอาจพิสูจน์ความสงสัยในใจได้
“ก่อนอื่นตามข่าวลือที่เล่ากันมา บอกว่าเขาคืออัจฉริยะสินะ แล้วเขาพยายามทำอะไรกันแน่?”
เพื่อในข้อสงสัยคลายออก สิ่งที่เขาทำได้มีแค่สิ่งเดียวเท่านั้น
“ดูเหมือนฉันต้องจริงจังขึ้นอีกหน่อยซะแล้ว”คังซึงชอลคิด
คังซึงชอลหยิบดาบขึ้นมาอีกครั้งเพื่อเตรียมโจมตี...บอกตามตรงที่เขาโจมตีซูฮยอนออกไปก่อนหน้านี้อย่างเร่งรีบ เป็นเพราะนิสัยเสียของเขา ที่ทะนงตนเกินไป จนลืมวิเคราะห์คู่ต่อสู้
“ยุบหนอ พองหนอ”
“ฟู่”
คังซึงชอลทำสมาธิเพื่อปรับอารมณ์ หลังจากถอนหายใจออกมาสมองก็โล่งขึ้น
วุป วุป
เมื่อคังซึงชอลรู้แจ้งถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของศัตรู ทำเขาไม่สามารถออมมือได้อีกต่อไป เขาตัดสินใจถ่ายเทพลังเวทย์ทั้งหมดลงไปในดาบของตัวเอง
“ได้เวลาเริ่มใหม่แล้วสินะ”
ฟรึ่บ
ทันทีที่คังซึงชอลเริ่มเคลื่อนที่ โซ่ที่เคยหายไปก็กลับมาโจมตีซูฮยอนอีกครั้ง
“เห้...พวกเขาหายเหนื่อยแล้วหรือไง”ซูฮยอนคิด
เมื่อโซ่เริ่มถึงตัว ทำให้ซูฮยอนต้องกระโดดหลบอีกครั้ง....แต่เขาก็หลบได้ไม่นาน เพราะโซ่เริ่มปิดกั้นทางหนีของเขาไปทีละนิด ดังนั้นซูฮยอนจึงตัดสินใจเหวี่ยงดาบไปด้านหน้าเพื่อตัดโซ่ที่ขวางทางทิ้ง
หลังจากโซ่ได้สัมผัสกับความคมของดาบแกรมมันก็ขาดออกจากกัน.....
“ในตายสิ...ไม่ว่าจะเห็นสักกี่ครั้ง การเคลื่อนไหวของมัน โครตสุดเลยหว่ะ”
หลังคังซึงชอลโจมตีซูฮยอนไปหลายระลอก เขาก็ตัดสินใจหยุดลงอย่างกะทันหันแล้วใช้สายตาที่แหลมคมมองไปทางซูฮยอน
ทั้งเขาและเพื่อนร่วมสมาชิกทุกคน ต่างคิดว่าฝึกฝนกลยุทธ์ได้อย่างเชี่ยวชาญแล้วแท้ๆ
ไม่ว่าจะในหอคอยแห่งการทดสอบหรือในโลกจริง กลยุทธ์ของพวกเขาก็ใช้ได้ผลเป็นอย่างดี
แต่เมื่อมาเจอการเคลื่อนไหวที่พริ้วไหวของซูฮยอน กลยุทธ์ของพวกเขากลับไร้ค่า
“เขามีพรสวรรค์จริงๆงั้นเหรอ..หรือเขาได้รับการฝึกฝนมาจากปรมาจารย์กันแน่”
เพื่อเช็คให้แน่ใจอีกครั้ง คังซึงชอลจึงตัดสินใจโจมตีใส่ซูฮยอนอีกครั้ง
หลังจากที่ซูฮยอนตัดโซ่ทั้งหมดทิ้งไป ทำให้เขาไม่ทันระวังคังซึงชอลที่โจมตีที่เผลอ
ทำให้ดาบแกรมแล้วดาบใหญ่ เข้าปะทะกัน
ตูม
ด้วยพลังของเวทย์ระดับ 6 ทำให้สภาพอากาศรอบๆเกิดการเปลี่ยนแปลง ประดุจโลกมนุษย์ถึงคราวอวสาน
สิ่งที่คังซึงชอลภาคภูมิใจมากที่สุดของพละกำลังของเขา...
ด้วยแรงแขนที่มหาศาลบวกกับดาบที่ใหญ่โตทำในร่างกายของซูฮยอนรับแรงกระแทกกับไปเยอะพอสมควร ซึ่งมันเป็นตัวการันตีได้เลยว่าแรงของคังซึงชอลมันมากขนาดไหน
แม้แต่คังซึงชอลเองก็หวังในการโจมตีครั้งนี้ของเขาสามารถสร้างรอยแผลเล็กในกับซูฮยอนได้สักนิด แต่ว่า...
เคร่ง เคร่ง
ดาบของเขากลับถูกดาบของซูฮยอนหยุดเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย...
“เป็นไปไม่ได้.”
คังซึงชอลนึกไม่ถึงจริงๆว่าซูฮยอนจะหยุดดาบของเขาได้ เขาอุส่าหาช่องว่างที่คิดว่าฝ่ายตรงข้ามไม่น่าจะตั้งตัวได้ทันแล้วแท้ๆ....
“อย่าบอกนะว่าเขามีแรงมากว่าฉันงั้นเหรอ”
สเตตัสโดยรวมของคังซึงชอล เน้นไปทางความแข็งแกร่ง....ในบรรดาที่เขาเคยปะมือด้วยมีแค่แรงค์ S เท่านั้น ที่สามารถเอาชนะเขาได้
แต่ชายตรงหน้ากลับมีความแข็งแกร่งมากกว่าเขา ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้น..
“หรือเป็นเพราะดาบเล่มนั้นกัน”คังซึงชอลพูดข้อสงสัยออกมา
เมื่อได้ยินคำพูดพึมพำของคังซึงชอล.....ซูฮยอนก็หัวเราะออกมาเบาๆก่อนถามกลับไป
“อะไรกัน นายอยากได้เหรอ”ซูฮยอนถาม
“ถ้าตอบตามจริง ก็ใช่ ฉันอยากได้มัน”
“งั้น ถ้านายเอาชนะฉันได้ ดาบเล่มนี้ฉันยกให้ก็ได้นะ”
“อ่า...ไม่เป็นไร ขอบคุณสำหรับความหวังดี ถือซะว่าเรื่องเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็แล้วกัน”คังซึงชอลตอบกลับไป
‘เอาชนะเขางั้นเหรอ จะบ้าหรือไง มีแต่ไอ้โง่เท่านั้นแหละที่เชื่อว่าจะเอาชนะสัตว์ประหลาดตรงหน้าได้’
ถึงแม้คังซึงชอลจะต่อสู้กับซูฮยอนได้ไม่นาน แต่เขาก็รู้แจ้งถึงความแข็งแกร่งของซูฮยอนอย่างขึ้นใจ
ถ้าไม่นับรวมคิมดูอุย....คังซึงชอลเป็น ‘ผู้ตื่นขึ้น’ แรงค์ A เพียงคนเดียวที่ได้มีโอกาสต่อกรกับซูฮยอน
‘ผู้ตื่นขึ้น’ ที่เหลืออีก 9 คน ล้วนอยู่แรงค์ B ทั้งสิน ถ้าพวกเขารวมพลังกัน พวกเขาสามารถจัดการดันเจี้ยนระดับสีเหลืองได้เหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก…
แต่เมื่อพวกเขาร่วมมือกันโจมตีซูฮยอน พวกเขากลับไม่สามารถสัมผัสซูฮยอนได้ แม้แต่เส้นผมยังไม่เคยได้เชยชม
คังซึงชอลเชื่อว่า ถ้าจัดอันดับความแข็งแกร่งของแรงค์ A ซูฮยอนจะต้องติดท๊อปสิบแน่ๆ
“ถ้าอยากจับเขาให้อยู่หมัด พวกเราต้องมีคนมากกว่านี้ ถ้ากำลังพลของเรามีน้อยแบบนี้ต่อไป ต่อในฟ้าสางก็ไม่มีทางจับตัวเขา”
คังซึงชอลกระโดดถอยหลังไป 2-3 ก้าว เพื่อเว้นระยะห่างกับซูฮยอน
เขาหันหน้าไปมองด้านหลัง ซึ่งเขาได้ยินสมาชิกในทีมคุยกันว่ากำลังเสริมจวนจะถึงแล้ว...
ต้องขอขอบคุณผู้อำนวยการที่อนุมัติคำข้อร้องได้อย่างรวดเร็ว ทำให้กำลังเสริมมาถึงในจุดเกิดเหตุได้เร็วกว่าปกติ
“กำลังเสริมมีเยอะกว่าที่คิดอีกแฮะ”
กำลังเสริมที่มาส่วนใหญ่ไม่สังกัดอยู่ในกิลด์เป็นหลักเป็นแหล่ง ทำให้พวกเขาไม่ต้องไปโจมตีดันเจี้ยนระดับสีเขียวที่กำลังระบาดอยู่ตอนนี้...
แต่เนื่องจากอำนาจของผู้อำนวยการ เลยทำให้มีกิลด์ใหญ่มาแจมด้วยประปราย..
‘ผู้ตื่นขึ้น’ที่มาใหม่ส่วนใหญ่ล้วนอยู่แรงค์ B C D……..
ซูฮยอนคิดไม่ถึงจริงๆว่ากำลังเสริมที่มา จะเยอะขนาดนี้ ตอนแรกมันยังมี 50 กว่าคนอยู่เลย แต่ผ่านไปแปปเดี๋ยว พวกเขากลับมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเกินกว่า 100 คน
เมื่อซูฮยอนลองสังเกตดูดีๆ เขาก็เห็นถึงกิลด์ที่ดูคุ้นตามาด้วย
“กิดล์เทพสงครามงั้นเหรอ..”
กิลด์อื่นๆซูฮยอนก็พอรู้จัก แต่ถ้าวัดกันเรื่องความดัง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในหมู่กิลด์ที่มาวันนี้ กิลด์เทพสงครามโด่งดังมากที่สุด
แต่ทำไมกิลด์เทพสงครามถึงมาอยู่ที่นี่ได้ พวกเขาไม่ได้ไปโจมตีดันเจี้ยนสีเขียวงั้นเหรอ....
ในขณะที่ซูฮยอนกำลังสำรวจ ‘ผู้ตื่นขึ้น’ ที่อยู่ด้านหน้า เขาก็เจอเข้ากับคนคุ้นเคย มันไม่ใช่ใครอื่น เขาคนนั้นก็คือ ฮักจุน นั้นเอง
“ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี้ได้?”
ตามความเข้าใจของซูฮยอน ฮักจุนควรไปโจมตีดันเจี้ยนระดับสีเขียวสิถึงจะถูก?
มันเป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายของซูฮยอนไปไกลจริงๆ ดูเหมือนกาลเวลาในอนาคตจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปแล้วสินะ
“เวลาตอนนี้คือ 21.30 น.”
ซูฮยอนยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาเพื่อตรวจสอบเวลา เวลาที่ผ่านมา มันสูบความแข็งแกร่งของซูอยอนไปเยอะมากๆ
แต่โชคดีที่ซูฮยอนยังมีพลังเวทย์เหลืออยู่เป็นพลังสำรอง...
“ว่าไง พ่อวายร้าย ยังอยากสู้กับพวกเราต่อหรือป่าว”คังซึงชอลพูดอย่างดูหมิ่น
“หึ...ทำเป็นอวดดี ถ้าฉันเอาจริง พวกแกตายไปนานแล้ว”ซูฮยอนตอบกลับ
พั่บ พั่บ
หลังจากคังซึงชอลได้จ้องมองไปที่ดวงตาของซูฮยอนที่ดูราวมัจจุราช
อยู่ๆคังซึงชอลก็รู้สึกว่าศีรษะของเขาหลุดออกจากบ่าไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ...
“อะไรกันความรู้สึกแบบนี้”
ความกดดันของพลังเวทย์ที่ปล่อยออกมา มันไม่สมควรมีอยู่ในร่างกายของ แรงค์ A
ถึงแม้ที่ผ่านมาคังซึงชอลจะคิดว่าซูฮยอนเก่งกว่าแรงค์ A ทั่วไป เพราะสกิลและทักษะดาบที่เขาครอบครองมันอยู่ในจุดที่สมบูรณ์แบบ จนหาจุดติชมไม่ได้
“ไม่มีทาง...อย่าบอกนะว่าเขาอยู่ แรงค์ S.”
คังซึงชอลส่ายหัวแล้วไล่ความคิดที่ไร้สาระออกไป มันไม่มีทางเป็นไปได้ที่ซูฮยอนจะอยู่แรงค์ S เพราะเขาปีนหอคอยได้ไม่ถึง 10 ปีเลยด้วยซ้ำ...
แค่ซูฮยอนก้าวมาแรงค์ A เขาก็ทำใจเชื่อไม่ลงอยู่แล้ว ถ้าซูฮยอนอยู่แรงค์ S จริงๆ เขาคงอกแตกตายอย่างไม่ต้องสงสัย
ที่สำคัญในบรรดาผู้ตื่นขึ้นทั้งหมดในเกาหลี มีคนอยู่แรงค์ S แค่ 5 คนเท่านั้น ซึ่งพวกเขาทั้ง 5 ต่างเป็นหัวหน้ากิลด์ 3 คน และที่เหลือก็เป็น ‘ผู้ตื่นขึ้น’ ที่เป็นเหมือนทหารรับจ้าง
ถ้าคุณก้าวเข้าสู้แรงค์ S เมื่อไหร่ แค่คุณคนเดียวก็มีอำนาจเทียบเท่ากับกิลด์ใหญ่ๆหนึ่งกิลด์เลยที่เดียว
ฉะนั้นไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่าแรงค์ S มันมีอำนาจมากแค่ไหน..
สายตาของซูฮยอนเลิกให้ความสนใจคังซึงชอล แล้วหันไปมองกำลังเสริมที่มาใหม่ จนเขาหันไปเจอกับ ฮักจุน ตัวแทนจากกิลด์เทพสงคราม
“เหลือเวลาอีก 30 นาที”ซูฮยอนคิด
เมื่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า หมู่เมฆที่ลอยอยู่เต็มท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้ม..
ซึ่งมันคือปรากฏการณ์ที่ซูฮยอนเคยเห็นในอดีต
ในเมืองที่ซูฮยอนยืนอยู่ตอนนี้เหลือผู้คนอยู่แค่ 130 คนเท่านั้น แต่กลับไม่มีใครสังเกตเห็นปรากฏการณ์ดังกล่าวเลย
“งั้น...ตอนนี้ฉันก็ทำให้แค่สนุกกับการโจมตีต่อไปสินะ”ซูฮยอนพูดออกมา
ฟิ้ว ฟิ้ว
ตูม ตูม
ดาบแล้วหอกจำนวนนับไม่ถ้วนต่างบินไปทางซูฮยอนอีกครั้ง...
ซูฮยอนยกดาบแกรมขึ้นมาแล้วทำการบดขยี้ดาบและหอกทิ้ง..
ตอนนี้ซูอยอนพยายามไม่ใช้พลังเปลวเพลิงของตัวเอง เพื่อรักษาพลังเวทย์เอาไว้จะได้มีไผ่ตายสำรองเอาไว้ใช้ยามฉุกเฉิน
หลังจากผ่านการประมือไปได้สักพัก ซูฮยอนรู้สึกเหมือนกับว่ากำลัง ต่อสู้อยู่กับ มังกรไฮดรา ในเกม RPG อยู่อย่างไงอย่างงั้น
ที่ซูฮยอนรู้สึกแบบนี้เพราะตอนนี้ เขากำลังโดนคนมากกว่าร้อยคนรุมสกรัมอยู่
เมื่อเห็นว่าตัวเองเริ่มพลาดท่า ซูฮยอนจึงใช้สายตาที่เยือกเย็นมองไปทางกลุ่ม ‘ผู้ตื่นขึ้น’ ที่กำลังใช้การโจมตีที่ตัวเองถนัดออกมา....
****************
“พี่ชาย พี่ไม่คิดว่ามันมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลมั่งเหรอ”ฮักจุนเดินเข้ามายืนอยู่ข้างคิมดูอุยแล้วถามออกมา
“นายหมายถึงอะไร?”คิมดูอุยถาม
“ผมหมายถึงการต่อสู้ของพวกเขา ดูพวกเขาไม่ได้อยากฆ่าศัตรูเลยนะ ที่สำคัญดูเหมือนพวกเขากำลังสนุกอยู่กับการต่อสู้ด้วยนี้สิ”
“คงเป็นเพราะฝ่ายตรงข้ามไม่มีจิตสังหารละมั่ง”
“พี่ชายกำลังจะบอกว่าผม พวกเขาไม่อยากต่อสู้กันอีกแล้วสินะ”
“ที่จริงนายก็รู้อยู่แล้วไม่ใช้เหรอ ไม่เห็นต้องมาถามฉันเลย...ว่าแต่เราสองคน เคยเจอกันมาก่อนหรือป่าว”คิมดูอุยถาม
“ผมไม่เคยเจอพี่ชายตัวเป็นๆนะ แต่ผมเคยเห็นพี่ชายผ่านทีวีมาก่อน...พี่ชายคงได้รับคำสั่งในมาจับตัวคิมซูฮยอนสินะ แต่ทำไมพี่ชายถึงยืนเฉยไม่ทำอะไรเลยล่ะครับ”ฮักจุนถาม
“อ่า..ฉันก็แค่เบื่อ เลยอยากนั่งดูเฉยๆเท่านั้นเอง ถ้าผู้อำนวยการอยากทำโทษทางวินัย เดี่ยวเขาก็ทำเองแหละ”
“พี่ชายคิดอย่างงั้นจริงๆเหรอ?”
“อืม..ไม่รู้สิ แต่ว่า..”
คิมดูอุยค่อยเงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้า ซึ่งหมู่เมฆเริ่มเกิดการเปลี่ยนสีอีกครั้ง ตอนแรกเป็นสีม่วง แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นสีเขียวเป็นที่เรียบร้อย
“ฉันว่าเหตุการณ์ที่เขาสันนิษฐานไว้ก่อนหน้า คงจะเกิดขึ้นจริงๆ”
“หืม?”
“ลองมองขึ้นไปบนฟ้าสิ”
หลังจากฮักจุนได้ยินคำพูดของคิมดูอุย เขาก็เงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าด้วยเช่นกัน
“มาดูกันว่าภัยพิบัติจะเกิดขึ้นต่อจากนี้หรือไม่”