ตอนที่ 1 ชีวิตที่พลิกผัน
一胎二宝:亿万首席爱妻入骨
หนึ่งกำเนิดสองสมบัติ : รักแสนหวานของมหาเศรษฐี
ตอนที่ 1 ชีวิตที่พลิกผัน
“ฉันไม่ใช่ขโมย”
เด็กหญิงวัย 9 ขวบในสถานสงเคราะห์แห่งหนึ่ง เธอมีดวงตาสีแดง กลมโต และเปล่งประกายสวยงาม แต่ร่างกายดูอ่อนแอเนื่องจากขาดสารอาหาร เด็กหญิงวัย 9 ขวบคนนี้ต้องเผชิญกับความสงสัยของทุกคน
เมื่อทุกคนมองด้วยความดูหมิ่นและเกลียดชัง เธอก็รู้สึกผิดขึ้นมา “หยกนั่น....มัน...คือ...ของฉัน! ฉันไม่ใช่ขโมย! นั่นคือสิ่งที่แม่ทิ้งไว้ให้กับฉัน”
“แล้วเธอคิดว่าฉันขโมยของของเธอเหรอ?!” ยืนอยู่ตรงข้ามเธอคือเด็กหญิงคนหนึ่งที่อายุไร่เรี่ยกับเธอ เธอเอียงหัวมองเด็กหญิงคนนั้นอย่างใจเย็นและยิ้มให้อย่างไร้เดียงสา
เมื่อเทียบกับเธอแล้ว เด็กหญิงคนนั้นดูอ่อนหวานและสง่างามเช่นเดียวกับเจ้าหญิงชั้นสูงองค์น้อยๆที่ได้รับความรักจากทุกคน
ทันทีที่เด็กหญิงคนนั้นพูดจบ เพื่อนๆที่อยู่รอบๆก็ลุกขึ้นมาปกป้องเด็กหญิงคนนั้นทันที “เธอโกหกชัดๆ! คนโกหก! โหรวเอ่อจะขโมยของของเธอได้ไง”
“ใช่ๆ จะเป็นไปได้ไง โหรวเอ่อจะเป็นขโมยได้ยังไง เธอขโมยของของโหรวเอ่อชัดๆ”
เมื่อต้องเผชิญกับคำประนามและคำถามทั้งหมด เธอจะอธิบายยังไงก็ไม่พ้นข้อกล่าวหา เธอรู้สึกเสียใจมากจึงขยี้ตาด้วยความเศร้าและร้องไห้ออกมา
“นั่นจี้หยกของฉันจริงๆ! คืนให้ฉันเถอะนะ...”
โหรวเอ่อเหลือบมองเธออย่างมีชัยและหันกลับไปพูดกับทุกคนว่า “ทุกคนเห็นชัดเจนหรือยัง! ว่าเสี่ยวชือขโมย ต่อไปห้ามเล่นกับเสี่ยวชือ คนขี้ขโมย! คนนิสัยไม่ดี!”
เพื่อนๆหลายคนหยักหน้า “อื้ม อื้ม! พวกเราเชื่อที่องค์หญิงโหรวเอ่อพูด ต่อไปไม่ต้องไปสนใจเธอ เธอคือขี้ขโมย”
“ยัยขี้ขโมย! คนนิสัยไม่ดี! ขโมยของของโหรวเอ่อ หน้าไม่อาย!”
ทุกคนต่างหัวเราะเยาะ เธอกลั้นน้ำตายืนพิงกำแพงอยู่คนเดียวขณะจ้องไปที่ด้านหลังของคนอื่นๆและแอบกำหมัดแน่น
***
ชายชุดสูทสีดำเรียงแถวกันอยู่ด้านนอกห้องทำงานของผู้อำนวยการ
ชายชราอายุประมาณ 50 กว่าปีนั่งอยู่บนโซฟาด้วยท่าทางเคร่งขรึม แต่กลับดูจิตใจดี ทั้งเสื้อคอจีนบนตัวเขาที่ทำให้ดูน่านับถือและภายใต้คิ้วของเขาที่บอกอารมณ์ที่คมชัด
แม้เขาจะอายุมากแต่รูปร่างหน้าตายังคงดูเด็ก จากใบหน้าอันหล่อเหลาที่ใครๆก็สามารถจินตนาการได้ถึงความหล่อเหลาและโรแมนติกในตอนที่เขายังเป็นวัยรุ่น
ผู้อำนวยการนำเอกสารกองหนึ่งมาให้ชายคนนั้นและยื่นมันให้ด้วยความเคารพ
“คุณมู่ครับ นี่คือเด็กที่เข้ามาสถานสงเคราะห์เมื่อปีที่แล้ว ข้อมูลทั้งหมดอยู่ในนี้ ดูได้เลยครับ”
ชายคนนั้นยื่นมือไปหยิบเอกสาร ดูไปได้บางส่วน เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ผู้ช่วยที่อยู่ข้างๆเหลือบเห็นใบหน้าของเขา เขาเงยหน้าพร้อมทั้งพูดกับผู้อำนวยการว่า
“เด็กผู้หญิงอายุประมาณ 8-9 ขวบคนนั้น... ขอโทษนะ เด็กที่เข้ามาในสถานสงเคราะห์ปีที่แล้ว มีกี่คนที่อยู่ในวัยนี้ ?”
ผู้อำนวยการนึกและรีบตอบกลับว่า “รอสักครู่นะครับ”
ชายคนนั้นยังดูเอกสารต่อไป และสายตาของเขาก็จับจ้องไปที่ภาพครอบครัวภาพหนึ่ง เขายื่นมือไปชี้ทันที
“ฉันขอเจอเด็กผู้หญิงคนนี้”
ผู้อำนวยการรู้สึกตกใจก่อนจะพยักหน้า “ได้ครับ ผมจะเตรียมการให้เธอมาพบคุณตอนนี้”
โหรวเอ่อยืนอยู่ตรงหน้าชายคนนั้นอย่างเชื่อฟัง เธอยืนมือไขว้หลังและยืดอกพร้อมทั้งยิ้มและพูดว่า
“สวัสดีค่ะคุณตา หนูชื่อโหรวเอ่อค่ะ”
ชายคนนั้นจ้องมองไปที่โหรวเอ่ออย่างเหม่อลอย และมองใบหน้าของโหรวเอ่ออย่างช้าๆ ดวงตาของเขาก็ค่อยๆหรี่ลงขณะที่มองโหรวเอ่อด้วยความมืดมนและหมองเศร้า
โหรวเอ่อเลิกคิ้วขึ้นอย่างอยากรู้อยากเห็น เธอรู้สึกว่าคุณตาคนนี้ดุมาก เธอดูกลัวกับการแสดงออกที่พิถีพิถันของเขา จึงอดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปสองก้าว แต่เขารีบกวักมือเรียก
"มา ให้ตาดูให้ดีๆสิ!"
"... อืม" โหรวเอ่อก้าวไปข้างหน้าสองก้าวอย่างลังเล เขาจับไหล่ของเธอเบา ๆ และสังเกตใกล้ๆ แม้จะอายุเท่าๆกัน แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าทั้งรูปร่างและหน้าตาของเธอไม่ได้คล้ายกับคน ๆ นั้นเลย
สายตาของเขาค่อยๆลดลงและก้มลงไปที่จี้หยกที่อยู่ระหว่างกระดูกไหปลาร้าของเธอ เขาแตะจี้หยกนั้นและถามด้วยเสียงทุ้ม "จี้หยกนี้ ... "
โหรวเอ่อตกใจและพูดด้วยรอยยิ้มว่า "จี้หยกนี้แม่ของหนูให้ไว้ค่ะ"
สายตาเขาหรี่ลงเล็กน้อย ผู้ช่วยของเขาจึงรีบหยิบจี้หยกอีกอันออกมาจากกระเป๋าเอกสารและส่งให้ทันที
จี้หยกทั้งสองชิ้นถูกใส่เข้าด้วยกันอย่างใกล้ชิด
มือของเขาสั่นเล็กน้อย ผู้ช่วยเห็นดังนั้นก็เข้าใจดี จึงเดินไปหาผู้อำนวยการและกระซิบบางคำ จากนั้นก็หยิบเช็คที่เขียนราคาจำนวนมากจากกระเป๋าเอกสารยื่นให้กับผู้อำนวยการ ผู้อำนวยการจึงรับไว้ด้วยรอยยิ้ม
ทางเข้าสถานสงเคราะห์มีรถสีดำคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง
เด็กหญิงปีนขึ้นไปบนรั้วเหล็กสีดำด้วยสีหน้าโดดเดี่ยว เธอมองดูโหรวเอ่อตามหลังกลุ่มชายชุดสูทและเข้าไปในรถเบนท์ลีย์จากระยะไกลด้วยสายตาว่างเปล่า
ในขณะที่ประตูรถปิด โหรวเอ่อมองไปยังทิศทางของเธออย่างเฉยเมย ทั้งคู่สบตากันโดยไม่ได้ตั้งใจ โหรวเอ่อยิ้มอย่างมีชัย แล้วหน้าต่างรถก็ค่อยๆปิดขึ้นและออกรถไป
...ชีวิตของเด็กหญิงทั้งคู่พลิกผันไปอย่างไม่คาดคิด