Dual Cultivation บทที่ 470: ร่ำร้องในใจ (ฟรี)
Dual Cultivation บทที่ 470: ร่ำร้องในใจ
หลังจากที่ออกจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไปกับเซียวลี่(เซียวหรง*)แล้ว ซูหยางก็ออกเดินทางไปยังนิกายดอกบัวเพลิง แต่ทว่าก่อนที่จะไปถึงนิกายดอกบัวเพลิง เขาก็หยุดอยู่ที่หนึ่งบริเวณรอยต่อของภาคใต้ชั่วขณะ
(ผู้แปล: * ขอเปลี่ยนชื่อแมวจอมภูต เซียวลี่ เป็น เซียวหรง นะครับ)
“มีกลิ่นเลือดมนุษย์รุนแรงที่นี่ นายท่าน” เซียวหรงเตือนเขาขณะที่พวกเขาเข้าไปในถ้ำมืด
ซูหยางไม่ได้มีปฏิกิริยากับคำพูดของเธอและเพียงแค่เข้าไปต่อภายในถ้ำ
สองสามอึดใจจากนั้น เขาก็สามารถเห็นทางเข้าข้างกับประตูที่แตกหักใกล้ๆ
ที่แห่งนี้เคยเป็นรังลับของกลุ่มโจรป่าชื่อดัง โจรภูผาแดง แต่หลังจากที่ซูหยางช่วยเหลือศิษย์รุ่นเยาว์แล้วเขาก็ตรงเข้ามาฆ่าโจรป่าทุกคนที่อยู่ในรังลับนี้ ทำให้เกิดทะเลเลือดขนาดเล็กภายในนี้ อีกทั้งยังช่วยเหลือผู้ถูกคุมขังภายในนี้ด้วย
ครั้นเมื่อพวกเขาเข้าไปถึงทางเข้าของรังลับ พวกเขาก็พบกับพื้นที่เกิดจากเลือดแห้งที่หนาหลายนิ้ว และตรงกลางของพื้นเลือดท่วมนี้ก็ดูเหมือนจะมีพืชสีแดงเลือดงอกอยู่ที่นั่น
“หากเป็นเช่นนี้ต่อไป มันก็ควรจะเติบโตเต็มที่พร้อมเก็บเกี่ยวภายในสี่เดือน” ซูหยางพึมพัมกับตัวเอง ก่อนที่จะผนึกปากทางเข้าด้วยค่ายกลซ่อนเร้น ซ่อนทางเข้ารังลับนี้จากสายตา
และถึงแม้จะมีคนที่มีความสามารถเห็นทะลุค่ายกลซ่อนเร้นของเขา คนเหล่านั้นก็ย่อมไม่สามารถที่จะเข้าไปได้โดยไม่ทำลายค่ายกล ซึ่งเป็นสิ่งที่คนในโลกนี้ยากที่จะเข้าใจกระทั่งพื้นผิวของค่ายกล ไม่อาจจะทำได้
“ข้ากินมันได้ไหม นายท่าน” เซียวหรงพลันถามเขา เมื่อต้นกล้ากำลังปลดปล่อยพลังวิญญาณมหาศาล แม้ว่ามันจะไม่ได้มีปราณไร้ลักษณ์มากเท่าไหร่พอที่จะให้ประโยชน์กับพลังการฝึกปรือของเธอในปัจจุบันแม้แต่น้อย มันก็ยังเหมาะที่จะเป็นของขบเคี้ยวชั้นดีสำหรับเธอ
“เจ้ากินไม่ได้” เขาส่ายหน้าและกล่าวต่อว่า “นั่นเป็นโสมเลือดอสูร ดอกไม้หายากที่จะเพียงเติบโตในเลือดทั้งยังต้องการจำนวนมหาศาลในการเติบโต และข้าก็ต้องการมันเพื่อรักษาใครบางคน”
เป็นอย่างที่กล่าว ต้นกล้านี้กำลังจะเติบโตเป็นโสมเลือดอสูรครั้นเมื่อมันเติบโตเต็มที่ ซึ่งเป็นส่วนผสมที่จำเป็นในการรักษาอาการของซีซิงฟาง แน่นอนว่าเขาไม่ได้วางแผนในเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นและการเติบโตของมันก็เป็นเพียงแค่เหตุบังเอิญ
“ข้ายังโชคดี ข้ามิจำเป็นต้องหาพวกโจรป่าเพื่อฆ่าล้างบางมาปลูกมันอีกต่อไปในตอนนี้” ซูหยางคิดในใจ
ถ้าโสมเลือดอสูรไม่ปรากฏขึ้นที่นี่ เขาก็ต้องวางแผนที่จะตามหาพวกโจรป่าเพื่อที่จะฆ่าและสร้างบ่อเลือดด้วยตนเอง ในเมื่อนั่นเป็นวิธีเดียวที่จะได้โสมเลือดอสูร
หลังจากที่ยืนยันว่าโสมเลือดอสูรกำลังเติบโต ซูหยางก็เดินทางไปยังนิกายดอกบัวเพลิง
“หือ”
ครั้นเมื่อเขาไปถึงนิกายดอกบัวเพลิง ซูหยางก็ใช้สัมผัสวิญญาณของตนเองค้นหาหวังชูเหรินในนิกาย แต่ทว่าเขาไม่สามารถที่จะรับรู้ถึงตัวตนของเธอได้ นั่นหมายความว่าเธอไม่ได้อยู่ในนิกาย
ดังนั้นเขาจึงไปหาผู้นำนิกายของนิกายดอกบัวเพลิงเพื่อดูว่าเธอไปที่ไหน
“ผ-ผู้นำนิกาย ท่านมีแขก”
ครั้นเมื่อผู้อาวุโสนิกายตรงเข้าไปหาโหวเยินเจียด้วยท่าทีเร่งรีบ
โหวเยินเจียซึ่งตอนนี้กำลังฝึกเหล่าศิษย์อยู่มองดูผู้อาวุโสพร้อมกับขมวดคิ้วและพูดด้วยเสียงโกรธว่า “เจ้าลืมไปแล้วรึว่าห้ามคนมากวนข้าในระหว่างที่ข้ากำลังฝึกศิษย์อยู่ มิว่าจะเร่งด่วนปานใด นอกจากว่านิกายกำลังตกอยู่ในความเสี่ยง ผู้อาวุโสนิกายก็สามารถรับมือได้ และเจ้ากล้าที่จะกวนข้าเพียงเพราะว่าแขกคนหนึ่งเท่านั้นนะรึ หรือว่าเจ้าเบื่อที่จะเป็นผู้อาวุโสนิกายแล้ว เพราะว่าหากว่าเป็นเช่นนั้นก็เพียงแค่บอกข้าและข้าก็จักยินดีนำตำแหน่งนั้นออกให้กับเจ้าได้”
โหวเยินเจียเกลียดยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดหากถูกรบกวนขณะที่เขากำลังสอนศิษย์ ในเมื่อเขากลัวว่าจะทำให้พวกเขาเสียสมาธิในช่วงเวลาสำคัญ ดังนั้นเขาจึงระเบิดความโกรธออกมา
“ศ-ศิษย์ผู้นี้รู้ถึงกฏของท่านผู้นำนิกาย แต่ว่าคนที่มาเยี่ยมท่านที่นี่นั้นมิได้เป็นคนอื่นไปนอกจาก---”
ผู้อาวุโสนิกายสั่นสะท้านขณะที่เขาพูด แต่ก่อนที่เขาจะทันได้พูดจบประโยคเสียงอื่นก็ดังขึ้น
“เฮ้ ที่นี่ช่างเป็นสถานที่ที่เหมาะสมและสันโดษ ท่านคงสามารถทำอะไรก็ได้ตามต้องการที่นี่และก็มิมีใครจากภายนอกจะหาพบ”
ร่างหล่อเหลาของซูหยางตรงเข้ามาหาพวกเขาจากระยะไกล และที่เดินข้างเขาก็เป็นวัยรุ่นสาวสวยเกินกว่าใครที่เหมือนกับเป็นเทพธิดาตัวจริง
“ซูหยางรึ” โหวเยินเจียเรียกชื่อเขาด้วยความประหลาดใจ
“อะไรนะ ซูหยางอยู่ที่นี่รึ”
ยามนั้นเหล่าศิษย์ซึ่งไม่ให้ความสนใจเสียงรบกวนมาตลอดก็พลันหยุดการฝึกฝนของตนเองลืมตาขึ้นและหันไปมองดูซูหยาง
หลินเชาชางก็อยู่ในเหล่าศิษย์เหล่านี้และเมื่อเธอเห็นซูหยาง จิตใจของเธอก็พลันนึกถึงตอนที่พวกเขาพนันกันระหว่างการแข่งขันและคิดสงสัยว่าเขาเดินทางมาถึงที่นี่สุดท้ายก็เพื่อมาทวงรางวัลของตนเอง ร่างกายของเธอ หรือไม่
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่ซูหยาง มาโดยมิส่งข่าวมาก่อน นั่นต้องเป็นเรื่องเร่งด่วนแน่” โหวเยินเจียกล่าวพร้อมขมวดคิ้ว แต่ตาของเขากลับจ้องมองเซียวหรงอย่างเซื่องซึม ซึ่งแน่นอนว่า เธอเป็นคนที่สวยที่สุดนับตั้งแต่เขาได้เคยเห็นมาในชีวิตนอกจากชิวเยว่ ซึ่งเขาเพียงได้มองเพียงแวบเดียวก่อนที่เธอจะหายไป
อีกสองสามวินาทีให้หลัง ซูหยางก็หันไปมองดูหลินเชาชางและกล่าวด้วยรอยยิ้มลึกลับว่า “มิได้มีอะไรที่เร่งด่วนมากนัก แต่ข้ามาที่นี่เพราะเธอ มิว่าอย่างไรเธอก็เป็นหนี้ข้าบางอย่างอยู่”
“อะไรนะ” โหวเยินเจียและเหล่าศิษย์ต่างพากันเบิกตากว้างด้วยความตระหนก
ในเวลานั้นตัวหลินเชาชางเองก็ร่ำร้องในใจหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา
“อาาาาาาา เขามาที่นี่เพื่อที่จะมาเอาตัวข้าจริงๆ ข้ายังมิได้เตรียมตัวในเรื่องนี้”
ที่แห่งนั้นพลันกลายเป็นเงียบสงัดและคงอยู่เช่นนั้นเป็นระยะเวลาหนึ่ง
“ไร้สาระ เจ้าเชื่อจริงๆรึว่าศิษย์น้องหญิงหลินจักให้ร่างกายของเธอกับเจ้าเพียงเพราะว่าการพนันอะไรสักอย่าง” หนึ่งในศิษย์ที่ตรงนั้นพลันยืนขึ้นและตะโกนใส่ซูหยาง
“แม้ว่าเจ้าอาจจะประสบความสำเร็จอะไรบางอย่างด้วยชื่อของเจ้า แต่อย่าหยิ่งจองหองเกินไปนัก”
ซูหยางเหลือบไปมองศิษย์หนุ่มหล่อซึ่งเพิ่งพูดออกมา และกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “เจ้าเป็นใครกัน”