ตอนที่ 43: หุ้นส่วนแต่เพียงผู้เดียว
เช้าวันต่อมา
ฉันบอกกับทุกคนว่าฉันป่วยและขังตัวเองอยู่ในห้อง
และด้วยการทิ้งภาพลวงตาของตัวเองที่นอนอยู่บนเตียงเอาไว้, ตอนนี้ทุกคนที่เห็นก็คงจะคิดว่าฉันกำลังนอนหลับอยู่ในห้อง
จากนั้น, ฉันก็ได้ใช้เวทย์เคลื่อนย้ายเพื่อไปยังเมืองที่อยู่ใกล้กับพรมแดนทางใต้ของจักรวรรดิและใช้มันอีกครั้งจากที่นั่นเพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงของจักรวรรดิโดยตรง
สถานที่ที่ฉันเคลื่อนย้านไปก็คือห้องลับของท่านทวด
มีใบหน้าอันแสนคุ้นเคยรอฉันอยู่ที่นั่น แต่ว่าไม่ใช่ท่านทวด ตอนนี้เขาน่าจะกำลังพักผ่อนอยู่ในหนังสือ เขาอาจจะเป็นร่างความคิดแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะตื่นอยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่ได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอจิตวิญญาณของเขาก็อาจจะสลายไปได้
“ยินดีต้อนรับกลับครับ”
“เซบาสหรอ รู้ได้ไงว่าข้าจะกลับมาวันนี้?”
“ไม่รู้หรอกครับ ข้าแค่มารอที่นี่ทุกวัน”
“ทุกวันเลยหรอ....เจ้านี่ขยันจังเลยนะ”
“ถ้าไม่ขยันก็คงทำงานเป็นพ่อบ้านไม่ได้หรอกครับ”
พอพูดจบ, เซบาสก็ส่งหน้ากากเงินกับผ้าคลุมสีดำให้ฉัน
ในขณะที่ฉันกำลังสวมเครื่องแบบของซิลเวอร์อยู่, ฉันก็ถามเซบาสเกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนี้
“ตอนนี้สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?”
“สงครามชิงอำนาจกำลังไปได้ด้วยดีครับ ลินเฟียทำหน้าที่ได้ยอดเยี่ยมจริงๆ”
“งั้นหรอ ดูเหมือนว่าข้าจะตัดสินใจถูกสินะ”
“นั่นสินะครับ แต่ว่าท่านฟีเน่ค่อนข้าง......”
“ฟีเน่ทำอะไร?”
จากวิธีที่เขาพูด, ดูเหมือนว่ามันไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวฟีเน่
ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับฟีเน่จริงๆ, เซบาสคงไม่ได้ใจเย็นแบบนี้ ในขณะที่สงบสติอารมณ์ด้วยความคิดนี้, เซบาสก็ให้คำตอบกับฉัน
“เธอไปเข้าพบตัวแทนของบริษัทอะจินตามคำแนะนำของลินเฟียครับ ท่านฟีเน่สามารถโน้มน้าวตัวแทนของพวกเขาให้ร่วมมือกับเราได้แต่ว่า......”
“แต่อะไร? ข้าว่าข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรอว่าอยู่ห่างจากเธอ? ข้าเชื่อใจลินเฟียก็จริงอยู่แต่มันยังเร็วเกินไปที่จะไว้วางใจในตัวเธออย่างเต็มที่”
“ข้าขอโทษจริงๆครับ ข้าคิดว่าถ้าข้าไปกับลินเฟียด้วย, อีกฝ่ายจะระวังพวกเรามากขึ้น”
“...เอาเถอะ แล้ว? ฟีเน่โน้มน้าวตัวแทนของพวกเขายังไง?”
“เธอเอาตัวเองไปเป็นข้อต่อรองครับ เธอเสนอสิทธิให้พวกเขาใช้งานตัวเธอได้ตามใจชอบและขอให้พวกเขาเสนอสิ่งแลกเปลี่ยนมา แต่ในท้ายที่สุดนั้น, พวกเขาก็พับข้อเสนอนี้ทิ้งไปเนื่องจากไม่สามารถเสนอสิ่งที่มีค่าเท่าเทียมได้และหลังจากนั้นพวกเขาก็เลือกที่ใจให้ความร่วมมือด้วยข้อเสนอที่เรียบง่าย โดยสิ่งที่พวกเขาต้องการก็คือ, พวกเขาแค่อยากจะใช้ชื่อของท่านฟีเน่, ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องที่ธรรมดามาก”
“เห้อ......”
ให้ตายเธอ
เธอทำเรื่องสิ้นคิดจริงๆ
ฉันรู้ว่าเธอเป็นเด็กที่ไม่ให้ค่าตัวเองแต่แบบนี้มันก็เกินไปหน่อยนะ
เธอจะทำยังไงกันถ้าพวกเขามีข้อเสนอที่มีค่าเท่าเทียมกับตัวเธอ
“สมกับเป็นยัยตัวปัญหาจริงๆ”
“พูดไม่ดูตัวเองเลยนะ”
ชายแก่ที่มีร่างกายโปร่งแสงปรากฎตัวขึ้นอย่างกระทันหัน
นี่คืออาจารย์ของเขาเช่นเดียวกับท่านทวดของฉัน
“ท่านทวดหมายความว่าไง?”
“เจ้ามักจะมองว่าชื่อเสียงของตัวเองเป็นเรื่องรอง ไอ้ส่วนที่ชอบเสียสละตัวเองแบบนี้มันก็เหมือนกับแม่หนูนั่นไม่ใช่รึไง?”
“ช่างข้าเถอะหน่า การมีสถานะแบบนี้มันทำให้ข้าเคลื่อนไหวได้ง่ายกว่า”
“แม่หนูนั่นก็คงคิดเหมือนกันแหล่ะ ‘ฉันไม่เป็นไรหรอก แบบนี้แหล่ะดีแล้ว’ โลกเรานี่มันช่างน่าเศร้าจริงๆนะ, เซบาส มันน่าเศร้าที่เด็กไม่สามารถเป็นแค่เด็กได้”
“เห็นด้วยที่สุดเลยครับ”
ชายแก่สองคนถอนหายใจออกมาพร้อมกัน
นี่มันทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
มันเหมือนกับว่าฉันเป็นตัวร้ายคนเดียวที่นี่ อย่ามางี่เง่ากับฉันนะ
“ข้าคงจะสามารถใช้ชีวิตเหมือนเด็กปกติไปได้ตลอดถ้ามีใครซักคนเปลี่ยนธรรมเนียมของสงครามผู้สืบทอดในตอนที่ได้เป็นจักรพรรดิ”
“ก็นะ, ถ้าจักรพรรดิที่ฉลาดและมีไหวพริบเกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติมันก็คงจะเป็นไปได้อยู่หรอก....แต่ในความเป็นจริงคงไม่มีวันเกิดขึ้นแน่ นี่คือเหตุผลที่ทำไมสงครามผู้สืบทอดถึงยังคงอยู่ มันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝึกคนที่มีความสามารถให้กลายเป็นจักรพรรดิ แต่ว่าการที่มีผู้เข้าแข่งที่ฝีมือเก่งกาจเยอะขนาดนี้มันก็ถือว่าเป็นเรื่องหายากจริงๆนั่นแหล่ะ”
เป็นทฤษฎีที่เห็นแก่ตัวชะมัด
ความไม่พอใจที่สั่งสมอยู่ในตัวฉันกำลังจะระเบิดออกมาแต่เนื่องจากการทำแบบนั้นมันไม่ได้ประโยชน์อะไรฉันก็เลยมุ่งหน้าไปที่ประตูโดยไม่พูดอะไรอีก
“อัล”
“อะไรอีกหล่ะ?”
“อย่าไปดุแม่หนูนั่นหล่ะ เข้าใจใช่ไหม?”
“....ท่านไม่จำเป็นต้องมาบอกข้าหรอกหน่า”
ฉันไม่มีคุณสมบัติที่จะไปสั่งสอนเธอได้
ฉันพึมพำกับตัวเองในใจในขณะที่ปกปิดตัวเองด้วยเวทย์ลวงตาแล้วออกจากห้องไป
...
ห้องของลีโอ
แม้ว่าฉันกับลีโอจะไม่ได้อยู่ที่นี่, แต่มันก็ยังคงเป็นฐานปฏิบัติการของฟีเน่กับคนอื่นๆ
และด้วยเหตุนี้เองฉันจึงมายืนรอฟีเน่ที่นี่
บางทีพวกเขาน่าจะคุยกับผู้สนับสนุนของเราเสร็จแล้ว, ฟีเน่กับลินเฟียถึงได้กลับมาที่ห้อง
“!?ทะ, ท่านซิลเวอร์!?”
“ซิลเวอร์.....”
“ขอโทษนะ ท่านฟีเน่ ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่านนิดหน่อย”
“ค, ค่ะ....”
ฉันหันไปมองลินเฟีย
แน่นอนว่า, ลินเฟียดูเหมือนจะอยากอยู่ฟังการสนทนาด้วยเหมือนกันแต่ฉันไม่สามารถอนุญาตได้
“ขอพวกเราคุยกันสองคนซักพักนึงได้ไหม? นักผจญภัยหญิง, ที่ข้าเคยเจอที่ดินแดนของดยุคไคลเนลต์”
“ข้ารู้สึกเป็นเกียรตินะคะที่ท่านจำข้าได้แต่ตอนนี้ข้าทำหน้าที่เป็นคนคุ้มกันของท่านหญิงผู้นี้อยู่”
“ข้าอยากจะคุยกับเธอตามลำพัง ขอเวลาซักพักนึงเถอะหน่า”
“...ข้าไม่ได้สงสัยในตัวท่านนะคะแต่จะให้ข้าพูดว่า ‘ได้ค่ะ, เชิญเลย’ แบบนั้นก็คงจะไม่ได้หรอกค่ะ เพราะฉะนั้นขอประทานโทษด้วย”
นิสัยที่ยอมหักไม่ยอมงอของลินเฟียนั้นพึ่งพาได้มากๆ
ฉันคงจะไม่กล้าฝากฟีเน่เอาไว้กับเธอถ้าเธอเป็นคนที่ยอมใจอ่อนง่ายๆ
แต่ตอนนี้เธอกำลังขัดขวางฉันอยู่
ในขณะที่กำลังคิดเรื่องนี้, เซบาสก็เข้ามาช่วยฉัน
“ถ้างั้นเดี๋ยวข้าอยู่คุ้มกันท่านฟีเน่ให้เองครับ ไม่ต้องห่วง, ข้าไม่รบกวนเจ้าหรอก”
“....เข้าใจแล้วค่ะ”
“ถ้างั้น, ลินเฟีย เจ้าช่วยไปรอที่อีกห้องนึงก่อนได้ไหม?”
“....ถ้าท่านเซบาสว่าอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหาค่ะ”
ด้วยประการฉะนี้เอง, ในที่สุดลินเฟียก็ยอมออกไปจากห้อง
หลังจากยืนยันได้แล้วว่าลินเฟียออกไปแล้ว, เซบาสก็ย้ายไปยังห้องที่อยู่ติดกัน
ตอนนี้ในที่สุดพวกเราก็ได้อยู่กันตามลำพัง
“ยินดีต้อนรับกลับค่ะ แต่ในเมื่อท่านกลับมาที่นี่, ก็แสดงว่าต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับทางโน้นใช่ไหมคะ?”
“ก็นะ, เรื่องใหญ่เลยแหล่ะ....แต่เอาไว้ค่อยเล่าคราวหลังละกัน”
“? คราวหลังหรอคะ ?”
ฟีเน่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
บางทีเธอคงจะคิดว่านอกจากเรื่องนั้นแล้วมันก็ไม่น่าจะมีอะไรให้พูดอีก
ซึ่งมันเป็นเพราะเธอจัดลำดับความสำคัญของตัวเองเอาไว้ต่ำมากๆ
“....ข้าได้ยินมาว่าเจ้าไปพบกับตัวแทนของบริษัทอะจินมา”
“ใช่ค่ะ! การเจรจาผ่านไปได้อย่างราบลื่นเลยค่ะ! แถมคุณตัวแทนเองก็เป็นคนดีด้วย”
พอพูดจบ, ฟีเน่ก็เผยรอยยิ้มออกมา
รอยยิ้มแบบนี้ของเธอนั้นถือว่าหาดูได้ยาก
แล้วมันก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ความรู้สึกทุกข์ใจของฉันชัดเจนขึ้นด้วย มันเหมือนกับว่าฉันกำลังมองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก
ฉันไม่ได้เสียใจกับสิ่งที่ทำไป มันเป็นเรื่องจำเป็นและฉันก็จะทำแบบนี้อีกในอนาคตด้วย
แต่ฉันรู้สึกผิดที่ฉันทำให้คนรอบตัวฉันรู้สึกแบบนี้
“....นี่, ฟีเน่ ข้ารู้ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควรได้ยินจากข้า เจ้าอาจจะเกลียดข้าเพราะเรื่องนี้ก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้น, ข้าก็ยังอยากจะบอกเรื่องนี้กับเจ้า”
“คะ?”
“ข้าอยากให้เจ้าดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้หน่อย”
มันเหมือนกับการโยนบูมเมอแรง ลีโอเคยพูดเรื่องแนวๆนี้กับฉันมากี่ครั้งแล้วนะ? แต่ว่าที่ฉันมาอยู่ในสถานะแบบนี้ก็เพราะฉันต้องการเอง และฉันก็ไม่ได้พยายามสุดโต่งและเสียสละตัวเองในสิ่งที่เหมือนกับฟีเน่ด้วย
แล้วฟีเน่จะตอบสนองยังไงกัน?
ฉันสามารถจินตนาการออกมาได้ง่ายๆเลย แต่ว่านี่คือสิ่งที่ฉันต้องพูดกับเธอ
ในขณะที่กำลังคิดเรื่องนี้อยู่, ฉันก็พูดต่อ
“ฟีเน่การเห็นเจ้าให้ความสำคัญกับตัวเองต่ำแบบนี้มันทำให้ข้าไม่สบายใจนะ ข้ารู้ว่าเจ้าแค่อยากทำตัวให้เป็นประโยชน์แต่เจ้าไม่ต้องทุ่มเทหนักขนาดนั้นก็ได้”
“...ถ, ถึงอย่างนั้นก็เถอะค่ะ.....แต่ข้า....แต่ข้าอยากจะเป็นประโยชน์กับท่านอัลนี่คะ......”
ฟีเน่พูดงึมงำ, สีหน้าของเธอนั้นเหมือนกับกำลังจะร้องไห้
พอเห็นเธอเป็นแบบนี้, ความรู้สึกผิดก็เติบโตขึ้นในใจฉัน มันเป็นเพราะความไม่เอาใจใส่ของฉันเอง ฉันคิดว่าถ้าฉันไม่บ่นเธอหรือโมโหใส่เธอ, มันก็คงจะไม่เป็นอะไร
ฟีเน่ไม่เคยออกจากดินแดนของดยุคไคลเนลต์เลย การย้ายมาอยู่เมืองหลวงจะทำให้เธอรู้สึกไม่มั่นใจมันก็แน่นอนอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้น, เธอก็ยังอยากจะทำตัวให้เป็นประโยชน์จากใจจริง
สำหรับเรื่องนี้ฉันไม่ได้ทำอะไรเพื่อตอบแทนเธอเลย ฉันเคยพาเธอออกไปเที่ยวข้างนอกกี่ครั้งกัน? ฉันเคยปล่อยให้เธอได้พักบ้างรึเปล่า?
ในหัวของฉันมีแต่ความคิดเรื่องสงครามผู้สืบทอด พูดตามตรง, แม้แต่ตัวฉันเองก็ยังไม่ค่อยมีเวลาพักผ่อนเลย
จากนั้นคำพูดของแม่ก็ผุดขึ้นมาในหัวของฉัน
‘เจ้านี่ชอบหักโหมตลอดเลยนะ’ นี่คือสิ่งที่แม่ของฉันพูดในตอนที่ฉันแยกกับเธอที่ตำหนักใน
ในตอนนั้น, ฉันปล่อยผ่านไปเฉยๆโดยไม่ได้เก็บมาใส่ใจแต่บางทีฉันคงจะหักโหมอยู่ตลอดจริงๆ
ฉันไม่มีเวลาพัก, แต่ดูเหมือนว่าฉันควรจะต้องหาเวลาพักบ้างแล้วสินะ
ถ้าสถานการณ์ยังคงบิดเบี้ยวแบบนี้ต่อไป, ฉันอาจจะสูญเสียฟีเน่ไปก็ได้
“ฟีเน่....เจ้าเป็นคนสำคัญนะ”
ในขณะที่พูด, ฉันก็ถอดหน้ากากเงินออก
คนที่ฉันสามารถถอดหน้ากากต่อหน้าได้มีแค่เซบาสกับฟีเน่เท่านั้น
เนื่องจากเซบาสรู้มาตั้งแต่แรกแล้วดังนั้นคนๆเดียวที่บังเอิญรู้ตัวตนของฉันจึงมีแค่ฟีเน่
“ท่านอัล......”
“คนที่ข้าสามารถแสดงทั้งสองตัวตนให้ดูได้แบบนี้มีแค่เซบาสกับเจ้าเท่านั้น เซบาสเป็นคนคอยดูแลข้า, เขาเหมือนกับพ่อของข้า เพราะฉะนั้น...คนๆแรกที่ข้าสามารถแสดงตัวตนแบบนี้ให้ดูได้ก็คือเจ้า ในตอนที่เจ้ารู้ความลับของข้า, เจ้าก็ไม่ใช่แค่คนอื่นสำหรับข้าแล้ว ถ้าลีโอเป็นน้องชายเพียงคนเดียวของข้า, เจ้าก็คือหุ้นส่วนเพียงคนเดียวข้องข้า ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงเรื่องนั้นได้ ขอแค่เจ้าอยู่ข้างๆข้าก็พอแล้ว การมีคนที่สามารถแบ่งปันความลับได้แบบนี้, เจ้ารู้ไหมว่ามันช่วยให้ข้ารู้สึกโล่งใจขึ้นขนาดไหน.....”
ใช่ มันรู้สึกโล่งใจขึ้นจริงๆ
ฉันอาจจะประคบประหงมเธอเกินไปก็ได้
แต่พอตระหนักถึงจุดนี้มันก็ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกผิดมากขึ้น
“ข, ข้า......ข้าไม่ใช่คนที่พิเศษอะไรขนาดนั้นหรอกค่ะ.....ข้าไม่ได้เก่งเหมือนท่านอัลหรือท่านลีโอ.....ต, แต่ในเมื่อข้ารู้ความลับของท่านอัลแล้ว.....ข้าก็ต้องทำตัวให้เป็นประโยชน์กับท่านค่ะ......”
“อา, ช่วยได้ตลอดเลยหล่ะ ขอบใจนะ แล้วก็ขอโทษด้วย, ข้าควรจะบอกเรื่องนี้ให้เร็วกว่านี้”
สิ่งที่ฉันต้องการก็คือความสุขในฐานะมนุษย์
แต่ถึงอย่างนั้น, ฉันก็ไม่ได้บอกเรื่องนั้นกับฟีเน่ เพราะขืนพูดไปฟีเน่ก็คงจะกังวลหนักกว่าเดิมอีก แค่ความจริงที่ว่าเธอรู้ความลับของฉันก็กดดันฟีเน่มากเกินพอแล้ว
แค่เท่านี้เธอก็ให้ความสำคัญกับตัวเองน้อยลงจนไม่รู้จะน้อยยังไงแล้ว สำหรับเธอผลประโยชน์ของขุมอำนาจของพวกเราคือความสำคัญอันดับหนึ่ง
เธอคงคิดว่ามันจะทำให้ฉันมีความสุขแน่ๆ
ถึงจะเป็นเรื่องของตัวเองก็เถอะ, แต่นี่มันน่าสมเพชชะมัด ฉันเกลียดนิสัยส่วนนี้ของตัวเองจริงๆ
พอได้ฟังคำพูดของฉัน, น้ำตาก็หลั่งไหลออกมาจากดวงตาของฟีเน่ มันไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น, ฟีเน่เอาสองมือปิดหน้าเอาไว้แล้วเริ่มร้องไห้ออกมาจริงจัง
ฟีเน่ยังเป็นแค่เด็กสาวอายุ 16 ต่อให้มันเป็นความตั้งใจของเธอเอง, แต่ฉันก็ยังพาเธอออกมาจากบ้านแล้วลากเธอให้มาข้องเกี่ยวกับสงครามผู้สืบทอดที่ผู้คนไม่ลังเลที่จะฆ่ากันเอง
ฉันมีหน้าที่ที่จะต้องดูแลสภาพจิตใจของเธอ
“ยกโทษให้ข้าด้วยนะ ที่ไม่ได้นึกถึงใจเจ้าบ้างเลย”
“ฮือ, ฮือ! มะ....มันไม่ใช่แบบนั้นหรอกค่ะ....มะ มัน...ไม่ใช่ความผิด.....ของท่านอัลซักหน่อย....”
“ถ้างั้นก็ถือเป็นความผิดของเราทั้งคู่แล้วกัน มาพยายามเรียนรู้ไปด้วยกันเถอะ”
พอพูดจบ, ฉันก็ลูบผมของฟีเน่อย่างอ่อนโยน
ฟีเน่เป็นหุ้นส่วนเพียงคนเดียวของฉัน
พวกเราควรจะเรียนรู้ความผิดพลาดและมีความสุขไปด้วยกัน
ฉันลูบผมของเธอไปเรื่อยๆจนเธอใจเย็นลง
จากนั้น
“....ต...ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วค่ะ....”
“งั้นหรอ?”
“ค่ะ....ข้าโอเคดีแล้ว”
พอพูดจบ, ฟีเน่ก็มองตรงมาที่ฉันด้วยดวงตาที่แดงก่ำ
สายตาของเธอทั้งแข็งแกร่งและบริสุทธิ์ ฉันรู้สึกได้ถึงความตั้งใจที่ไม่สั่นคลอนจากมัน
“บอกข้ามาเถอะค่ะ....เกิดอะไรขึ้นทางใต้หรอคะ ข้าจะช่วยท่านเอง”
“อา, รบกวนหน่อยนะ”
พอพูดจบ, ฉันก็เริ่มอธิบายสถานการณ์ทางใต้กับเธอโดยไม่ปกปิดอะไรไว้เลย
ความจริงที่ว่ามังกรทะเลจะเคลื่อนไหวในเร็วๆนี้ ความจริงที่ว่ามีคนในจักรวรรดิพยายามจะหาผลประโยชน์จากสถานการณ์นี้ และความจริงที่ว่าต้องหยุดพวกเขาให้ได้
“ก็ประมาณนี้แหล่ะ มีแค่คนเดียวที่วางแผนจะเคลื่อนไหวกองทัพเพื่อแซกแทรงสถานการ์ณทางใต้ ถ้าเขาล้มเหลวก็คงไม่เป็นอะไรหรอกแต่พวกทหารที่ต้องเสียสละในระหว่างนั้นคงจะน่าสงสารแย่ ข้าคิดว่าการเคลื่อนไหวที่ดีที่สุดจากฝั่งนี้ก็คือลดสเกลการแทรกแซงของจักรวรรดิให้น้อยลงที่สุดและเอาชนะมังกรทะเลให้ได้ด้วยตัวพวกเราเอง”
“ค่ะ, ข้าก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แล้วก็...ข้ามีแผนอยู่....มีวิธีนึงที่จะลดการแทรกแซงของจักรวรรดิให้น้อยที่สุดและช่วยเหลือทางใต้ค่ะ”
“บังเอิญจังเลยนะ ข้าเองก็มีแผนเหมือนกัน ปัญหาก็คือว่าพวกเราจะโน้มน้าวคนที่เป็นกุญแจสำคัญได้รึเปล่า แต่ว่าข้าไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองได้ ขอฝากเจ้าทำได้ไหม?”
“ไว้ใจได้เลยค่ะ ข้าจะลองโน้มน้าวให้เอง”
ด้วยการตอบรับคำขอของฉัน, ฟีเน่ก็เผยรอยยิ้มที่อ่อนโยนออกมาและโค้งคำนับอย่างสง่างาม