บทที่ 144
กิเลนอัสนีพุ่งทะยานไปบนฟ้าอย่างเร่งรีบ เห็นเพียงเงารางๆพุ่งผ่านไปบนท้องฟ้า เมื่อเข้าใกล้เมืองหลวงเนี่ยฟงรับลงจากกิเลนอัสนี พุ่งทะยานไปตามทาง ไม่นานก็พบเห็นกำแพงเมืองหลวงขนาดใหญ่ เป็นหยางเวยที่พุ่งทะยานเข้าหาเนี่ยฟงอย่างเร่งรีบเช่นกัน
“เนี่ยฟงเกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
“เกิดเรื่องขึ้นกับปู่ของข้าใช่หรือไม่ เจ้ากล่าวมาเถอะ ก่อนเข้าเมืองหลวงข้าปะทะกับคนของผาไม้ดำเกาซิงหมิงและเฮ่อหนานทั้งสองนำกำลังไปดักซุ่มโจมตีข้า”
“ใช่แล้ว ตอนนี้ผู้อาวุโสเถียนอู่ซวงกำลังรักษาปู่ของเจ้าอยู่อาการไม่น่าเป็นห่วง เพียงแต่ว่า”
เนี่ยฟงขมวดคิ้วทั้งสองขึ้น
“แต่ว่าสิ่งใด”
“เจ้ารีบเข้าเมืองเถอะเมื่อไปถึงร้านยาเจ้าจะเข้าใจเอง”
เนี่ยฟงและหยางเวยรีบเข้าไปในเมือง ทหารด้านหน้าเมื่อเห็นว่าผู้ใดพุ่งทะยานเข้ามาก็รีบเปิดทาง ทั้งสองมุ่งหน้าไปที่ร้านยาอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงรอยเลือดมากมายสาดกระเซ็นไปตามกำแพงและพื้นที่ด้านหน้า มีคนของมู่ซุนกวนหลายสิบคนกำลังทำความสะอาด ทั้งสองรีบอ้อมไปทางด้านหลัง เมื่อผ่านประตูหลังเข้าไปด้านใน ก็พบเย่เตานั่งโคจรลมปราณอยู่ หลันเซ่อมองเห็นผู้เป็นนาย มันพยายามที่จะลุกขึ้นไปหาเนี่ยฟง แต่เพราะอาการบาดเจ็บจึงได้แต่ร้องออกมาด้วยเสียงอันอ้อนวอน เสียงสะบัดมือดังแว่วพร้อมกับขวดยาสีขาวนวลในมือ
เนี่ยฟงรีบเข้าไปป้อนยาหลานสิบเม็ดให้หลันเซ่อ สภาพร่างกายมีแต่บาดแผลเลือดสีแดงเข้มเป็นคราบแห้งกรังติดอยู่ตามขนทั่วร่างกาย กระดูกขาหลังทั้งสองข้างถูกทุบตีจนแตกหัก เนี่ยฟงป้อนยาในมือให้หลันเซ่ออย่างสั่นสะท้านไปด้วยความโกรธ ไม่นานหลังจากได้ทานยาเข้าไปถึงสิบกว่าเม็ด หลันเซ่อก็นอนหลับลงเพราะว่าอ่อนเพลียในจังหวะนั้นเอง ผู้อาวุโสเถียนอู่ซวงก็เดินออกมาจากบ้านพัก เนี่ยฟงรีบเดินเข้าไปสอบถามอาการด้วยความเป็นห่วงปู่ของตน
“คารวะผู้อาวุโสเถียนอู่ซวงขอรับ ท่านปู่ข้าเป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
“พ้นขีดอันตรายแล้ว อีกไม่กี่วันก็คงฟื้น โชคดีที่วันเกิดเรื่องเป็นวันที่ข้าจะต้องมาที่นี่เพราะรับเม็ดยาอยู่แล้ว จึงเข้าช่วยเหลือไว้ทัน จริงสิก่อนปู่ของเจ้าจะหมดสติได้ฝากของบางอย่างให้แก่เจ้าด้วย”
เสียงสะบัดมือขวาไม่ถึงครึ่งลมหายใจก็มีก้อนแร่บางอย่างวางอยู่ที่พื้น มันมีสีดำทมิฬก้อนใหญ่พอสมควร หยางเวยจ้องมองอยู่นานในที่สุดก็เอ่ยวาจาออกมาด้วยความตื่นตกใจ
“ผลึกสายฟ้า”
เนี่ยฟงได้ยินเช่นนั้นก็หันไปมองหยางเวย
“เจ้ารู้จักรึ หยางเวย”
“ใช่ มันคือผลึกสายฟ้า เกิดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติสายฟ้าที่ผ่าลงบนพื้น ทำให้เกิดการหลอมรวมของเศษหิน ดิน ทรายและแร่ต่างๆ ด้วยความร้อนอีกอย่างผลึกสายฟ้านั้นเกิดขึ้นได้ยากมาก ทั้งชีวิตข้าพบเห็นแค่สองครั้ง แต่ครั้งนี้ต่างออกไปมันคือผนึกสายฟ้าก้อนใหญ่ที่พอจะสร้างเป็นอาวุธได้”
“ดี ดียิ่งนัก หยางเวยหากใช้ผลึกสายฟ้าก้อนนี้ตีเป็นดาบจะใช้เวลานานหรือไม่”
“มันไม่นานหรอก แต่ว่าจะมีช่างตีดาบที่ไหนรับทำ มันต้องใช้ความร้อนจำนวนมหาศาลในการตีมันขึ้นมาเป็นดาบ อีกอย่างมันต้องใช้ทักษะไม่น้อยในการตีขึ้นมาเป็นดาบด้วยเช่นกันเพราะความแข็งของมัน ข้าและพ่อของข้าใช้เวลาเกือบเดือน ในการหลอมและตีมันขึ้นรูปได้เพียงมีดสั้นเล่มนี้เท่านั้น”
หยางเวยสะบัดมือขวานำมีดสั้นสีดำทมิฬเล่มหนึ่งออกมา เนี่ยฟงสัมผัสไปที่ใบมีดนำขึ้นมาจ้องมองอย่างไม่วางตา
“หยางเวยข้าขอมีดสั้นเล่มนี้ได้หรือไม่”
“ได้สิ ข้าก็ไม่รู้จะนำไปใช้อะไร ดูว่าเจ้าจะสนใจผลึกสายฟ้าก้อนนี้ไม่น้อย เกิดสิ่งใดขึ้นรึ เนี่ยฟง”
“ข้าตัดผ่านระดับเป็นสีแดงขั้นหนึ่งแล้ว เพียงแต่ว่ามีบางอย่างผิดปกติ อาวุธที่ข้ามีอยู่ตอนนี้ใช้การไม่ได้ เพียงแค่โคจรลมปราณใช้ออกไปอาวุธก็ถูกทำลาย กระทั่งดาบของข้าก็ถูกทำลายเหลือเพียงด้ามเท่านั้น”
เนี่ยฟงก็สะบัดมือขวานำด้ามมีดสั้นออกมาให้พวกหยางเวยดู หยางเวยเองก็ตื่นตกใจเช่นกัน เย่เตาที่นิ่งเงียบอยู่นานก็เอ่ยวาจาออกมา
“ข้าพอรู้จักอยู่คนหนึ่ง เป็นนักตีดาบมีชื่อในดินแดนแห่งไฟ ดาบธาตุของข้าเล่มนี้ก็ถูกนักตีดาบผู้นั้นตี เพียงแต่ว่า คนผู้นี้แปลกประหลาดนัก จะตีอาวุธให้กับคนที่ถูกชะตาเท่านั้น”
ผู้อาวุโสเถียนอู่ซวงที่ยืนฟังอยู่นานก็เอ่ยวาจาออกมา
“เจ้ากำลังพูดถึงช่างตีดาบกู่อิ๋งจิ้นใช่หรือไม่”
เย่เตารีบกล่าวตอบอย่างทันที
“ใช่แล้วขอรับ คนที่ตีดาบให้ข้าคือผู้อาวุโสกู่อิ๋งจิ้นขอรับ”
“เช่นนั้นก็ไม่มีปัญหา ข้าจะเขียนจดหมายแจ้งให้ ข้าและกู่อิ๋งจิ้นอดีตเลยโลดโผนด้วยกันมานานข้าเป็นนักปรุงยาส่วนกู่อิ๋งจิ้นเป็นนักตีดาบ”
เนี่ยฟงยกยิ้มอย่างดีใจ
“ต้องขอบคุณผู้อาวุโสมากขอรับ”
“ไม่เป็นไร ว่าแต่พวกเจ้าทั้งสามจะเดินทางบุกทลายค่ายผาไม้ดำร่วมกับสำนักหรือไม่”
“ใจจริงต้วข้าเองอยากแก้แค้นให้ท่านปู่ยิ่งนัก เพียงแต่ว่าข้าไม่มีอาวุธที่สามารถใช้ได้ขอรับ คงต้องรอดาบเล่มใหม่เสียก่อน”
ผู้อาวุโสเถียนอู่ซวงได้ยินเช่นนั้นก็ครุ่นคิดอยู่นาน
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกันเข้าจะรีบเขียนจดหมายให้เจ้า เดินทางไปพบกับกู่อิ๋งจิ้นก่อนแล้วพวกเจ้าตามไปสมทบพวกข้าอีกที ข้าจะลองไปค้นในคลังสำนักว่ามีอาวุธที่สร้างมาจากผลึกสายฟ้าหรือไม่ เจ้าจะได้นำไปใช้ก่อน”
“เช่นนั้นข้าต้องขอบคุณผู้อาวุโสเถียนอู่ซวงมากขอรับ”
“พวกเจ้ารอข้าสักครู่”
เมื่อกล่าวสิ้นเสียงผู้อาวุโสเถียนอู่ซวงก็โบกสะบัดมือขวา นำแท่นฝนหมึกออกมาพร้อมกับกระดาษและพู่กัน ไม่นานเกือบหนึ่งเค่อจดหมายแนะนำตัวของเนี่ยฟงก็เสร็จสิ้น ”
“พวกเจ้ารีบเดินทางเถอะ เรื่องที่นี่เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้าจะให้ผู้อาวุโสของสำนักมาดูแลปู่ของเจ้าเอง”
“ขอรับ”
เนี่ยฟงเมื่อรับจดหมายก็เก็บไว้ในแหวนพร้อมกับผลึกสายฟ้า เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นทั้งสามก็รีบเดินทางมุ่งหน้าไปที่เขตแดนแห่งไฟ ทั้งสามปลอมตัวเป็นหมอเซียงฟงและผู้ติดตามเข้ามายังเขตแห่งไฟ ตลอดการเดินทางเริ่มเห็นคนจากสำนักอื่นๆทยอยกันเข้ามาจำนวนมากในเมืองหน้าด่าน
“เย่เตา เจ้าคิดว่าผู้อาวุโสกู่อิ๋งจิ้นยังอยู่ที่เขตแห่งนี้หรือไม่”
“แน่นอนเพราะก่อนที่ข้าจะกลับมาเจอพวกเจ้าข้าได้เข้าไปเยี่ยมท่านมาแล้ว ข้าจะนำทางพวกเจ้าไปเองอยู่ใกล้ๆกับสถานที่พวกเจ้าพบเจอข้า แต่ว่าตอนนี้หาอะไรทานก่อนข้าหิวแล้ว”
ทั้งสามกำลังเข้าไปในโรงเตี๊ยมที่ขึ้นชื่อของเมืองหน้าด่าน แต่ก็ถูกคนของสำนักเจ็ดดาวพุ่งเข้ามาตัดหน้าเสียก่อนทำให้โต๊ะนั่งในโรงเตี๊ยมเต็ม หยางเวยเริ่มรู้สึกไม่พอใจ เป็นเย่เตาที่ยกมือขึ้นห้าม
“ไม่เป็นไร ข้าจะพาพวกเจ้าไปอีกที่หนึ่งอาหารอร่อยไม่แพ้ที่นี่ เช่นกัน”
ในขณะนั้นเองก็มีเสียงตะโกนออกมาจากกลุ่มของสำนักเจ็ดดาว
“ถุย เหม็นสาบยิ่งนัก พวกเจ้าออกไปไกลๆจากที่นี่ซะ ข้าคงทานอาหารไม่ลงแน่หากพวกเจ้าทั้งสามยังอยู่แถวนี้ เสี่ยวเอ้อ ไล่คนพวกนี้ออกไป”
สิ้นเสียงกล่าวก็มีเสียงหัวเราะดังลั่นออกมาจากคนของสำนักเจ็ดดาว หยางเวยได้ยินเช่นนั้นก็กล่าววาจาออกมาเช่นกัน
“เป็นพวกข้ามากกว่าที่ต้องเอ่ยวาจาว่าพวกเจ้าสำนักเจ็ดมูล ครั้งหนึ่งพวกเจ้าต้องทนอยู่กับความเหม็นของมูลที่พวกเจ้าถ่ายท้องออกมาไม่ใช่รึ เอาเถอะพวกข้าก็อยู่ที่แห่งนี้ไม่ได้เช่นกัน กลิ่นเหม็นสาบมูลเริ่มโชยมาจากพวกเจ้าแล้ว เสื้อผ้าที่สวมใส่ของพวกเจ้านำมาซักล้างบ้างหรือไม่ นั้น นั้นมีสิ่งใดติดอยู่ตามตัวพวกเจ้า มันช่างคล้ายก้อนมูลยิ่งนัก”
กลุ่มคนของสำนักเจ็ดดาวนิ่งเงียบกำหมัดในมือแน่น ตัวสั่นสะท้านไปโดยความโกรธ เพราะเหตุการณ์ในวันประลองที่ผ่านมา ชื่อเสียงของสำนักเจ็ดดาวตกต่ำลงมาไม่น้อย เจ้าสำนักเองปิดตัวเงียบหาได้ออกมาจากเขตบ้านพัก ต้องให้ผู้อาวุโสในสำนักหลายคนคอยบริหารพรรคกันเอง ศิษย์สำนักหลายร้อยคนทนการถูกเหยียบหยามจากสำนักอื่นๆในเขตแห่งไฟไม่ได้ ต่างทยอยพากันออกจากสำนัก บ้างย้ายไปอยู่ในเขตอื่นเปลี่ยนชื่อแซ่เพราะความอับอายในครั้งนั้น
“บัดซบพวกเราจัดการมัน”
เนี่ยฟงส่ายศีกษะไปมา ต่างจากหนางเวยที่สะบัดมือขวานำสนับเหล็กออกมาสวมใส่พร้อมกับพุ่งเข้าไปปะทะกับคนของสำนักเจ็ดดาว เย่เตาเองก็เช่นกัน เสียงดาบปะทะกันดังลั่น หยางเวยต่อยออกไปแต่ละหมัดคนของสำนักเจ็ดดาวก็ร่วงลงไปนอนกับพื้น ฟันหลายซีกระเด็นหลุดร่วงลงพื้น ไม่ถึงหนึ่งเค่อก็มีทหารหลายสิบนายออกมาห้ามปราม หยางเวยและเย่เตาถึงได้หยุดมือ หยางเสยเดินไปปลดแหวนของคนที่นอนกองอยู่กับพื้น เช่นเดียวกับเย่เตา เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น เย่เตาก็พาทั้งสองเดินลัดเลาะไปตามตรอกในเมืองไม่นานก็พบเจอร้านบะหมี่เจ้าหนึ่งเปิดอยู่ข้างทาง
“ที่นี่แหละ เมื่อพวกเจ้าได้ทานแล้วจะติดใจ น้ำซุปของที่นี่มีส่วนผสมของสมุนไพรบางอย่าง ยิ่งซดน้ำยิ่งอร่อย”
หยางเวยยกยิ้มเดินเข้าไปในร้านบะหมี่อย่างรวดเร็ว ไม่นานบะหมี่ชามใหญ่สามชามก็นำมาส่งให้พวกเนี่ยฟง ทันทีที่เนี่ยฟงซดน้ำก็ยกยิ้มบางอย่าง
“ไม่คิดว่าจะมีคนใช้เล็บมือมังกรแดงมาทำอาหารเช่นนี้”
หยางเวยที่กำลังซดน้ำบะหมี่ เมื่อวางถ้วยบะหมี่ลง ถึงกับตะโกนออกมาเสียงดัง
“เถ้าแก่ขอบะหมี่อีกสอง ขอน้ำซุปอีกหนึ่งถ้วย”
( ลักษณะของสมุนไพรเล็บมือมังกรแดง แจ้งไว้บทที่เก้า ใครพอทราบสมุนไพรชนิดนี้เมืองไทยเราก็มีนะครับ )