ตอนที่ 15 สับสน
ตอนที่ 15
“อ้าวแม่น้าเขาไปแล้วเหรอ” ทิศเดินออกมาจากห้องน้ำเมื่อไม่เห็นแขกแล้วก็เลยถามแม่ของเขา
“มันไปทำงานแล้ว” จันทร์วาดตอบ
“งั้นเหรอน้าเขามีงานมาการนี่เนอะไม่เหมือนแม่” ทิศแอบจิกแม่เบาๆ
“มึงนี่พูดมากจริงกูน่ะไม่ต้องทำงานก็มีเงินเลี้ยงมึงได้” จันทร์วาดบอกใช่แล้วเธอนั้นมีเงินเก็บมากมายใช้เลี้ยงลูกชายเธอได้จนกระทั่งลูกชายเธอโตมีครอบครัวนั่นแหละ
เงินเก็บพวกนั้นจันทร์วาดได้มาจากรางวัลตอนไปแข่งขันและยังมีเงินที่ได้จากตอนเป็นนักกีฬาทีมชาติอีกแถมพอได้เหรียญทองทีก็ได้เงินสนับสนุนจากสปอนเซอร์ตั้งหลายล้านในบัญชีเธอน่ะมีเงินเก็บเกือบร้อยล้านเลยทีเดียวแน่นอนเรื่องเงินเก็บนี่ลูกชายเธอไม่รู้เรื่องลูกชายเธอนั้นคิดว่าเงินที่เธอมีทุกวันนี้ได้มาจากการเก็บค่าแผงที่ตลาดอย่างเดียว
“ว่าแต่ผมแปลกใจมากเลยนะที่แม่มีรุ่นน้องหรือมีเพื่อนกับเขาด้วย” ทิศอดพูดไม่ได้
“ทำไมมันน่าแปลกใจขนาดนั้นเลยเหรอที่กูมีรุ่นน้องน่ะ” จันทร์วาดหันไปมองลูกชาย
“ก็ใช่น่ะสิแม่ตั้งแต่จำความได้ผมไม่เห็นแม่จะมีเพื่อนหรือมีสังคมกับใครที่ไหนเลยขนาดตอนประถมที่แม่พาผมไปประถมนิเทศก์แม่ยังไม่คุยกับผู้ปกครองคนอื่นๆเลย” ทิศบอก
“ช่างมันเหอะสังคมไม่จำเป็นต้องมีมันหรอกมึงรู้แค่ว่ากูเลี้ยงมึงได้ก็พอว่าแต่วันนี้มึงจะทำอะไร” จันทร์วาดบอกปัดก่อนจะถามแพลนของลูกชาย
“เอ่อ...วันนี้ผมต้องรีบทำรายงานน่ะแม่มันยากมากเลยคงใช้เวลาถึงเย็นนั่นแหละ” ทิศตอบตะกุกตะกักเพราะเขากำลังโกหกแม่อยู่
“เหรอ...รายงานงั้นเหรออย่าหักโหมทำให้มันมากนักล่ะหาเวลาออกจากบ้านไปเที่ยวไปหาเพื่อนบ้าง” จันทร์วาดบอก
“แม่นั่นแหละที่ต้องหาเวลาออกจากบ้านวันๆแม่อยู่แต่ในบ้านเอาเป็นว่าไม่เถียงกับแม่ละผมรีบขึ้นไปทำรายงานดีกว่า” ทิศพูดก่อนจะรีบเดินขึ้นห้องไป
จันทร์วาดมองดูลูกชายที่กำลังขึ้นบันได้ไปข้างบนและก็อดแสยะยิ้มออกมาไม่ได้
“เห็นเพราะว่าเป็นปิดเทอมและก็ไม่มีการบ้านหรอกนะกูถึงยอมให้มึงเล่มเกมส์แบบนี้แต่ถ้าเปิดเทอมแล้วยังไม่แบ่งเวลาเล่นล่ะก็กูจะกระทืบมึงนอกเกมส์ให้ดูไอ้ทิศ...แต่เรื่องที่มึงโกหกกูน่ะกูเล่นมึงแน่คอยดูเถอะกูจะตามไปฟาดมึงในเกมส์” จันทร์วาดพูดออกมาก่อนจะลุกไปหยิบบัวรดน้ำและเดินออกไปนอกบ้านเพื่อรดน้ำต้นไม้เพื่อเพื่อรอเวลากลับมาดูรายการก่อนบ่ายคลายเคลียดรายการโปรดของตัวเองเธอนั้นยังไม่คิดจะไปนอนเล่นเกมส์แบบลูกชาย
เพราะเธอคิดว่าเข้าไปตอนค่ำเลยทีเดียวก็มีค่าเท่ากันเพราะไม่เห็นระดับในเกมส์มันจะเก็บยากตรงไหนซึ่งถ้าผู้เล่นคนอื่นมารับรู้ความคิดของจันทร์วาดเรื่องที่ว่าเก็บระดับไม่ยากล่ะก็ต้องเถียงจนตายแน่เพราะผู้เล่นคนอื่นที่ระดับต่ำนั้นใช้เวลาในเกมส์ไม่ต่ำกว่าสามวันถึงจะขึ้นสักระดับและยิ่งผู้เล่นที่ระดับสูงๆแล้วนั้นบางคนใช้เวลาในเกมส์เป็นเดือนระดับถึงจะเพิ่มแถมผู้เล่นพวกนั้นยังต้องออกเก็บระดับกันเป็นกลุ่มเพราะสัตว์อสูรมีความแข็งแกร่งมากต่างจากจันทร์วาดที่สามารถฆ่ามันได้ด้วยตัวคนเดียว
ภายในเกมส์
“โทษทีเพื่อนมาแล้วเป็นไงบ้างวะลูกกิลด์เราออนไลน์กี่คน” ไท่หยางเข้าเกมส์มาก็ติดต่อไปหาเพื่อนทันที
“มีคนว่างออนไลน์ร้อยห้าสิบคนว่ะเพื่อน” ตี้ฉิวบอกกับไท่หยางที่พึ่งเข้ามา
“งั้นเหรอบอสระดับแปดสิบคนเท่านี้น่าจะใช้เวลาสักครึ่งวันในการจัดการมันเอาเป็นว่ามึงเตรียมยากับอาหารบัฟให้พร้อมแล้วก็จัดปาร์ตี้ได้เลยว่าแต่หัวหน้าห้องเป็นไงบ้างติดต่อมายัง” ไท่หยางถาม
“อืมเมื่อเช้าติดต่อมาละแต่ตอนนี้ออฟไลน์ไปแล้วเธอบอกจะกลับเข้ามาเล่นอีกทีช่วงเที่ยงๆ” ตี้ฉิวพูด
“งั้นเหรอแล้วส่งคนไปรับยังเห็นว่ามาถึงทวีปหลักแล้วนี่” ไท่หยางถาม
“ยังว่ะเพราะเธอบอกว่าจะเดินทางมาเองและยังไม่อยากรีบมาด้วยเห็นว่าจะรอพี่สาวก่อนประมาณนี้น่ะ” ตี้ฉิวตอบ
“พี่สาว ??” ไท่หยางทำหน้าสงสัยเพราะหัวหน้าห้องหรือเหม่ยเหยานั่นเป็นลูกสาวคนเดียวไม่มีพี่น้องที่ไหน
“กูก็ไม่รู้ว่ายังไงนะแต่เห็นว่าจะปักหลักรอพี่สาวที่เมืองท่ามังกรทองอ่ะปล่อยเธอไปก่อนแล้วกันยังไงเราก็ต้องจัดการบอสก่อนอยู่ทวีปหลักแล้วไปหาเมื่อไหร่ก็ได้ให้เหม่ยเหยาเธอเล่นของเธอไปก่อนสักเดือนสองเดือนก็ได้” ตี้ฉิวพูด
“ปล่อยได้ที่ไหนล่ะเว้ยต้องรีบพาเธอมาเข้ากิลด์ดิมึงก็รู้หัวหน้าห้อง...ไม่สิเหม่ยเหยาน่ะเก่งเรื่องการจัดการคนและเก่งเรื่องการทำบัญชีมากกิลด์เราตอนนี้น่ะเดือนนึงขาดทุนหลายร้อยล้านเหรียญทองเลยนะกูไม่อยากให้มึงเอาเงินนอกเกมส์แลกเข้ามาอีกแล้ว” ไท่หยางบอก
“แลกเข้ามาเดือนละแสนกว่าบาทเองไม่เห็นจะเป็นอะไรไม่ต้องไปสนใจเรื่องนั้นมากก็ได้เล่นให้สนุกดีกว่า” ตี้ฉิวพูด
(ไรท์ : ถ้าเป็นเมื่อก่อนไรท์ก็รู้สึกว่ามันแปลกๆนะที่เด็กอายุสิบห้าใช้เงินเป็นแสนแต่พอไรท์ได้ไปดูรายการยูทูปรายการหนึ่งซึ่งไปสัมภาษณ์เด็กวัยรุ่นที่ไปเดินเที่ยวสยามซึ่งเด็กพวกนั้นบางคนใช้เงินเป็นล้านเพื่อซื้อเสื้อผ้าและเครื่องประดับในการแต่งตัวด้วยเพราะเหตุนี้ความคิดไรท์จึงเปลี่ยนไปไรท์คิดว่าจะมีเด็กอายุสิบห้าใช้เงินกับเกมส์เป็นแสนก็ไม่แปลกเพราะถ้าครอบครัวนั้นรวยมากจริงๆเงินแค่นี้คงไม่มีผลอะไรกับเขาหรอก)
“ได้ที่ไหนล่ะเว้ยมึงนี่ถึงบ้านมึงจะรวยแต่ก็ต้องประหยัดปะวะเอาเป็นว่ารีบไปจัดการบอสกันเหอะกว่าเธอจะออนไลน์เข้ามาก็เที่ยงๆสินะมีเวลาในเกมส์อีกประมาณสี่วันเดี๋ยวกูจะไปรับเหม่ยเหยาที่เมืองท่ามังกรทองเอง” ไท่หยางพูด
“ตามใจมึงละกัน” ตี้ฉิวบอก
“เออแล้วเรื่องกิลด์นักฆ่าเป็นไงบ้างจัดการเป้าหมายได้ป่ะ” ไท่หยางถามถึงเรื่องที่เขาตั้งภารกิจให้กิลด์นักฆ่า
“เห็นว่าจัดการได้ไปรอบนึงแล้วกำลังรอให้เป้าหมายออนไลน์อีกรอบอยู่ทางนั้นบอกจะรายงานเข้ามาเรื่อยๆ” ตี้ฉิวตอบ
“เออดีเอาให้รู้ไปเลยว่าอย่ามาแหยมกับกิลด์ UNIVERSE” ไท่หยางพูดอย่างพึงพอใจที่จัดการเป้าหมายได้แล้วรอบนึงที่เหลือก็แค่รอเวลาให้กิลด์นักฆ่าจัดการเป้าหมายต่อไปเรื่อยจนกว่าระดับจะเหลือแค่หนึ่ง
กลับมาที่จันทร์วาด
จันทร์วาดกำลังถือบัวรดน้ำและรดต้นไม้หน้าบ้านอยู่ระหว่างที่รดน้ำอยู่นั่นเองจู่ๆเธอก็นึกถึงตอนที่เธอใช้คาราเต้ของเธอจัดการสัตว์อสูรภายในเกมส์
“ทำไมจู่ๆถึงนึกตอนที่ใช้คาราเต้จัดการพวกมันขึ้นมากันนะหรือว่าเราจะติดเกมส์ ??” จันทร์วาดพูดกับตัวเองอย่างสงสัยเธอวางบัวรดน้ำลงก่อนจะตั้งท่าและเตะสูงไปที
ฟุ่บ !! เสียงลูกเตะของจันทร์วาดหวดไปในกลางอากาศจนเกิดเสียงลมซึ่งบ่งบอกได้ว่าลูกเตะนี้ทรงพลังขนาดไหน
“รู้สึกไม่เหมือนตอนเตะใส่สัตว์อสูรแฮะ” จันทร์วาดพูดพลางนึกถึงความรู้สึกที่ได้ใช้คาราเต้ของเธอเตะใส่สัตว์อสูรมันเป็นความรู้สึกที่ห่างหายไปนานมากเธอยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงช่วงเวลาตอนนั้น
เธอนึกถึงตอนที่ได้สู้กับสัตว์อสูรหมียักษ์ที่เกาะเริ่มต้นตอนนั้นเธอใช้กระบวนท่าคาราเต้ของเธอจัดการมัน (ตอนที่ 8)
นึกไม่ถึงว่าจะได้ใช้หมัดผ่ากระเบื้องจัดการกับหมีนึกถึงตอนนั้นแล้วสนุกดีจริงๆ !! จันทร์วาดคิดในใจ
“เอ๊ะสนุกงั้นเหรอนี่เรารู้สึกสนุก” จันทร์วาดแปลกใจกับความคิดของตัวเองเพราะที่ผ่านมาตอนเธอยังเป็นนักกีฬาทีมชาติและตอนที่เธอไปแข่งขันเธอนั้นไม่เคยรู้สึกสนุกเวลาใช้คาราเต้จัดการคู่ต่อสู้เลยเพราะการต่อสู้นั้นมีกฎและกติกามากมายแถมด้วยความแข็งแกร่งของเธอจึงต้องออมมือเอาไว้เสมอเพราะถ้าไม่ออมมือล่ะก็คู่ต่อสู้เธออาจจะเจ็บหนักเอาได้เมื่อโดนเธอโจมตี
ซึ่งมันต่างจากในเกมส์ที่คู่ต่อสู้นั้นเป็นเพียงข้อมูลแถมผู้เล่นพวกนั้นก็แค่ตายในเกมส์ไม่ได้ตายในชีวิตจริงอีกทั้งความเจ็บจากการโดนโจมตีก็ไม่มากอย่างที่คิดเพราะขนาดตอนเธอโดนแทงตายยังเก็บเหมือนโดนเข็มฉีดยาเองดังนั้นภายในเกมส์เธอจึงสามารถใส่เต็มได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครเป็นอะไรเพราะเธอเพราะคาราเต้ที่เธอใช้นั้นเป็นคาราเต้ของศาสตร์การต่อสู้ไม่ใช่คาราเต้ที่ถูกปรับปรุงดัดแปลงให้เป็นศาสตร์ของกีฬามันจึงมีความรุนแรงกว่าปกติมากดังนั้นการใช้มันจึงต้องระวังอยู่เสมอ
และหลังจากรดน้ำต้นไม้เสร็จจันทร์วาดก็กลับเข้าบ้านเพื่อไปจัดการซักเสื้อผ้าของเธอและลูกชายรวมทั้งยังต้องกวาดบ้านและถูบ้านให้เรียบร้อยและด้วยเวลาที่ยังเหลืออยู่ทำให้จันทร์วาดว่างจึงไปขัดห้องน้ำด้วย
“อ๊ะก่อนบ่ายมาแล้ว” จันทร์วาดดูเวลาก่อนจะเห็นว่าถึงเวลาที่รายการโปรดจะเริ่มฉายแล้วเธอรีบหยุดงานทุกอย่างลงและไปที่ห้องนั่งเล่นก่อนจะรีบเปิดโทรทัศน์ทันที
รายการก่อนบ่ายเริ่มต้นขึ้นแต่ทว่าวันนี้ไม่รู้ทำไมเธอถึงไม่รู้สึกสนุกกับการดูรายการนี้เลยหลังจากรายการจบเธอก็เอาผ้าที่ซักทิ้งไว้ในเครื่องไปตากและมานั่งกินข้าวกลางวันซึ่งเจ้าทิศลูกชายเธอก็ลงมากินข้าวด้วยเช่นกัน
“เป็นไรแม่” ทิศถามจันทร์วาด
“หือทำไมมึงถามแบบนั้นกูไม่ได้เป็นอะไรนี่” จันทร์วาดแปลกใจกับคำถามของลูกชาย
“ก็เห็นแม่ทำหน้าเบื่อๆเซ็งๆเลยถามอ่ะ” ทิศสงสัย
“ไม่มีอะไรหรอกรีบๆกันให้เสร็จไปแล้วก็เอาจานไปล้างด้วยอย่าแช่เอาไว้” จันทร์วาดบอก
“โอเคแม่” ทิศพยักหน้าก่อนจะรีบกินข้าวให้เสร็จล้างจานให้เรียบร้อยและรีบกลับขึ้นห้องเพื่อไปทำรายงาน(เล่นเกมส์)ต่อ
หลังจากลูกชายกลับขึ้นห้องไปแล้วจันทร์วาดก็เปิดโทรทัศน์ดูอีกครั้งเพื่อดูละครช่วงบ่ายซึ่งละครในวันนี้จะเป็นตอนที่เข้มข้นมากเพราะเป็นวันที่ตัวเอกรู้ความจริงเรื่องชาติกำเนิดจันทร์วาดรอดูตอนนี้มาทั้งสัปดาห์แต่ทว่าพอเธอดูได้ไปสักพักกลับรู้สึกไม่ตื่นเต้นหรือรู้สึกมีอารมณ์ร่วมไปกับละครเลยจนกระทั่งละคนจบลงจันทร์วาดก็ปิดมันและเดินไปที่โซฟาเพื่อที่จะงีบหลับก่อนจะไปจ่ายตลาดในช่วงเย็น
แต่ทว่าไม่ว่าจันทร์วาดจะพยายามงีบยังไงเธอก็ยังไม่หลับเธอนอนมองดูเพดานบ้านจนกระทั่งสี่โมงเย็นเธอจึงตัดสินใจออกไปจ่ายตลาดซื้อปลามาทำอาหารเย็นให้ลูกชาย
นี่ตัวเราเป็นอะไรไปนะทำไมเหมือนกับมีบางอย่างเปลี่ยนไปเลยล่ะ จันทร์วาดคิดในใจเธอกำลังสับสนว่าตัวเธอเป็นอะไรกิจวัตรประจำวันที่ทำมาตลอดสิบห้าปีกิจวัตรที่เธอเคยสนุกกับมันทำไมวันนี้ถึงไม่สนุกแล้วนี่เธอกำลังเป็นอะไร
จบ...