ตอนที่ 122 ไม่เลว แค่ทำดีไม่เป็น
“เป็นเจ้าได้ไง”
“ทำไม เป็นข้าไม่ได้หรือไง”
สางลำไพรพูดขณะเบนสายตามาทางขวามือของเหนือภพ แล้วเธอก็เห็นหญิงสาวในชุดผู้ชายคนหนึ่งกำลังเอาไม้แหลมจ่อคอตัวเอง
“เดี๋ยวนี้เจ้ามีรสนิยมชอบดูสาวน้อยทำร้ายตัวเองงั้นเหรอ”
สางลำไพรพูดอย่างสบาย ๆ จากนั้นก็ถือวิสาสะหยิบมะม่วงสุกของเหนือภพที่กองอยู่ใต้ต้นไม้มาปอกด้วยมีดสั้น แล้วตัดแบ่งเป็นชิ้นพอคำ เมื่อมะม่วงเข้าปากเธอก็อมยิ้มด้วยความพอใจ มันนานมากแล้วที่เธอได้ลิ้มรสผลไม้สุกที่เพิ่งเด็ดสด ๆ จากต้นเช่นนี้ เพราะผลไม้ทั่วไปมักจะถูกเก็บตอนยังไม่สุกดีนัก เพื่อยืดคุณภาพให้อยู่ได้นานที่สุดก่อนถึงมือลูกค้า
สางลำไพรยื่นมะม่วงชิ้นโตให้จิตที่ยังคงใช้ไม้แหลมจ่อคอตัวเองอย่างไม่ลดละ
“อ่ะนี่ เห้อ ทำไมเจ้าต้องทำแบบนั้นล่ะ”
“ก็เขาไม่ยอมช่วยข้า”
สางลำไพรมองใบหน้าถมึงทึงของจิตสลับกับใบหน้าสบาย ๆ ของเหนือภพ เขากลับไปนั่งพิงโคนต้นมะม่วงอย่างผ่อนคลาย นอกจากมะม่วงอวบเหลืองในมือแล้ว สายตาของเขาก็ดูเหมือนจะไม่สนใจสิ่งใดอีก
“เจ้าชื่ออะไร”
“จิต”
สางลำไพรพยักหน้ารับรู้ เธอชื่นชมในความกล้าหาญของจิตไม่น้อยเลย เพราะหญิงสาวผู้ไร้พรสวรรค์ทั่วไปไม่มีใครกล้าคุยกับเธอด้วยซ้ำ ด้วยรูปลักษณ์แม่หมอที่ดูน่ากลัวของเธอ ทุกคนต่างก็ตัวสั่นและต้องการหลีกหนีกันทั้งนั้น
“จิต เจ้าขอความช่วยเหลือผิดคนแล้ว ต่อให้เจ้าตายไปตรงหน้าเขา เขาก็ไม่ช่วยเจ้าหรอก ไหนลองว่ามาสิ หากข้าช่วยได้ข้าก็จะช่วย ถึงยังไงข้ามาที่นี่ก็เพื่อช่วยพวกเจ้าอยู่แล้ว”
จิตได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจมาก ในเมื่อเธอเห็นว่าผู้หญิงชุดดำคนนี้รู้จักกับเหนือภพ และเหนือภพก็พูดเหมือนกับว่าเธอคือผู้ช่วยของเขา จิตจึงวางใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้สางลำไพรฟัง เธอเล่ามากกว่าที่เคยเล่าให้เหนือภพฟังด้วยซ้ำ เรื่องบางอย่างเหนือภพก็ไม่เคยได้รู้มาก่อน เขาก็เพิ่งได้รู้ในตอนนี้นี่เอง
“เจ้ามันเจ้าเล่ห์นักนะ ไหนว่าเจ้าไม่รู้ผู้ใหญ่บ้านต้องการอะไรจากเจ้า”
เหนือภพรู้สึกว่าตัวเองกำลังโดนปั่นหัว เขาอุตส่าห์มีน้ำใจช่วย แต่เธอกลับปิดบังข้อมูลแบบนี้ทำให้เหนือภพหงุดหงิดและเสียความรู้สึก
“ก็เจ้าดูไม่น่าไว้ใจ”
“ได้ ข้ามันไม่น่าไว้ใจ งั้นเรื่องนี้พวกเจ้าก็จัดการกันเองก็แล้วกัน ข้าไม่ยุ่งด้วยแล้ว ตัวใครตัวมัน”
เหนือภพพูดจบก็เดินจากไป เขาเคลื่อนไหวเร็วมากจนสางลำไพรต้องรีบทักท้วง
“เดี๋ยวสิเหนือภพ องค์หญิงให้ข้ามาช่วยเจ้านะ เจ้าจะทิ้งไปแบบนี้ไม่ได้”
“มันเรื่องของเจ้า”
เหนือภพแสดงความไม่พอใจให้สาว ๆ ได้รับรู้ จากนั้นเพียงพริบตาเดียวเหนือภพก็หายตัวไป สางลำไพรถอนหายใจออกมาพลางมองไปที่จิต จิตยังคงมีสีหน้าวางใจเมื่ออยู่กับเธอ เพราะจิตไม่เคยรู้สึกวางใจสักครั้งที่มีเหนือภพอยู่ข้าง ๆ แต่จิตก็ต้องอดทน ทว่าตอนนี้จิตไม่จำเป็นต้องทนแล้ว เมื่อมีตัวเลือกที่ดีกว่าให้พึ่งพา
“พี่สาว ท่านจะไปไหน”
จิตถามเมื่อเห็นสางลำไพรเดินไปปลดสายจูงสัตว์อสูรม้าออก เธอคิดว่าเธอคงต้องทำภารกิจอยู่ที่นี่สักพัก เธอจึงปลดม้าอสูรให้มันได้ออกไปวิ่งเล่นพักผ่อนตามอัธยาศัย
“ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้าสองคนหรอกนะ ถึงเขาจะนิสัยแย่ยังไงก็ตาม แต่งานนี้เราต้องพึ่งเขา”
“แต่ว่า… เขาเคยทำร้ายข้า”
สางลำไพรเข้าใจความรู้สึกของคนที่เคยถูกทำร้ายเป็นอย่างดี เธอจึงมองจิตด้วยแววตาเข้าใจและปลอบประโลม ต่อให้คนอื่นจะมองเธอว่าเป็นผู้หญิงแสนเย็นชาที่ดูหลอน ๆ ก็ตาม แต่ลึก ๆ ในใจนั้นเธอก็ยังเป็นผู้หญิงที่อ่อนไหวคนหนึ่งเช่นกัน
“ไม่บอกข้าก็รู้ ก่อนที่ข้าจะรู้จักเหนือภพ เพื่อนข้าคนหนึ่งต้องเสียแขนเพราะเขา ข้าเคยจะฆ่าเขา และทำอย่างอื่นมากกว่าที่เจ้าคาดคิดอีก แต่สุดท้ายเขากลับช่วยข้าจากความตาย เจ้าชื่อข้าเถอะจิต เหนือภพไม่ใช่คนเลวร้ายอย่างที่เจ้าคิด เพียงแต่ว่าเขาทำเรื่องดี ๆ ไม่ค่อยเป็นก็เท่านั้น”
จิตพยักหน้าอย่างซังกะตาย แต่เธอก็รู้ตัวว่าเธอควรจะทำยังไง ดังนั้นเมื่อสองสาวตามหาจนเจอตัวเหนือภพ สิ่งที่จิตทำก็คือการขอโทษ และเธอแสดงความจริงใจด้วยการบอกเรื่องราวทั้งหมดที่รู้ให้เหนือภพกับสางลำไพรฟัง ราวกับว่าเธอเก็บซ่อนข้อมูลเอาไว้อย่างไม่จบสิ้น
“เจ้าจะบอกว่า ไม่ได้มีแค่เจ้ากับทองที่แปลงร่างเป็นวานรได้ถูกไหม”
เหนือภพถามย้ำเพื่อให้แน่ใจ
“อืม หญิงสาวที่หายตัวไปก่อนหน้านี้ ทุกคนล้วนแปลงร่างได้ทั้งนั้น ยังมีลุงมิ่งผู้ช่วยคนสนิทของผู้ใหญ่บ้านอีกคน เขาก็สามารถแปลงร่างเป็นวานรยักษ์ได้เช่นกัน และแข็งแกร่งมาก ๆ ด้วย”
“งั้นเหรอ ข้าเข้าใจแล้ว”
เหนือภพพยักหน้าอย่างครุ่นคิด ก่อนจะเหลือบมองไปที่สางลำไพร
“ว่าแต่เจ้าเถอะ เจ้าเป็นชาวเมืองนิรันดร์กาลไม่ใช่หรือไง ทำไมถึงมาอยู่ที่เมืองหลวงได้”
“เจ้าไม่ต้องรู้หรอกน่า อ้อ ข้ายังมีเรื่องต้องคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัว”
จิตได้ยินสางลำไพรพูดแบบนั้น เธอก็จำเป็นต้องถอยออกไปอย่างมีมารยาท
“องค์หญิงต้องการอะไรกันแน่ แถมยังส่งเจ้ามาด้วย นางน่าจะรู้อะไรมาใช่ไหม”
สางลำไพรพยักหน้า
“ข้าเองก็รู้แค่คร่าว ๆ ไม่ได้รู้ลึกขนาดนั้น แต่องค์หญิง ฝากข้อความมาว่าถ้าไม่จำเป็นอย่าได้ขัดขวางการทำงานของพวกบ้านฮันเตอร์หลวง ปล่อยให้พวกเขาทำเรื่องที่ควรทำ เป้าหมายของพวกเรามีแค่ล้วงข้อมูลโครงการลับที่อยู่ในมือของผู้ใหญ่บ้าน ถ้าชิงมันมาได้ก็ถือว่าจบงาน”
“เฮอะ ถ้ามันง่ายแบบนั้นก็ดี”
เหนือภพแหงนหน้าพึมพำบ่นอยู่กับอากาศ จากนั้นเขาก็อธิบายให้สางลำไพรฟังว่าเขาเจออะไรมาบ้าง
“ที่เรือนของผู้ใหญ่บ้านมีการป้องกันโดยของบางอย่าง อาคมที่ใช้ในเขตเรือนจะเสื่อมสภาพในทัน ดังนั้นมันยากมากที่เราจะชิงมันมาโดยที่คนอื่น ๆ ไม่รู้ตัว”
“เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาสำหรับข้า อย่าลืมสิว่าข้าเป็นใคร ถ้าข้าไม่เหมาะสมองค์หญิงคงไม่เดินทางข้ามน้ำข้ามเขา เพื่อมาขอร้องให้ข้าเข้าร่วมบ้านฮันเตอร์ของนางหรอก”
สางลำไพรบอกด้วยท่ามั่นใจ พอเหนือภพได้ยินเช่นนั้นก็ไม่คิดจะขัดความคิดหลงตัวเองของเธอ เขาจึงพูดตัดบทเพียงสั้น ๆ
“ดี ไว้ข้าจะรอดู”
ยามค่ำของคืนนั้น
เหนือภพคิดจะใช้อาคมกำบังกายเช่นเคย เขายกตะกร้าใบพลูที่เขาเก็บซ่อนเอาไว้มาให้สางลำไพรดูอย่างภาคภูมิใจ แต่เขากลับได้รับการดูถูกจากเป็นการตอบแทน เธอบอกว่าอาคมที่เขาใช้เป็นเพียงอาคมกิ๊กก๊อก มันอาจจะใช้ได้ผลกับคนปกติหรือผู้มีพรสวรรค์ทั่ว ๆ ไป แต่หากอยู่ต่อหน้าผู้ใช้ไสยเวทย์ที่เชี่ยวชาญ มันก็จะกลายเป็นแค่ของเด็กเล่น
จากนั้นสางลำไพรทำเรื่องที่เหนือภพนึกไม่ถึง เธอบริกรรมคาถาอันยืดยาวโดยที่ไม่ใช่วัตถุดิบหรือสื่อกลางใด ๆ ก็ทำให้ทั้งเหนือภพ จิต และตัวผู้ใช้อย่างสางลำไพรเองล่องหนได้ และแล้วพวกเขาก็เข้าไปถึงกลางหมู่บ้านได้อย่างง่ายดาย ปกติแล้วพรานบุญจะมองเห็นเหนือภพ ทว่าครั้งนี้กลับไม่ใช่แบบนั้น
เหนือภพเดินวนรอบตัวพรานบุญอย่างต้องการทดสอบ จนแล้วจนเล่าพรานบุญก็ยังไม่รับรู้ว่ามีเขาอยู่ข้าง ๆ ส่วนจิตเองพอเห็นพี่ชายของตนในสภาพที่ดูไม่จืดแบบนั้น เธอก็รีบวิ่งเข้าหาด้วยความเป็นห่วง แต่การกระทำนั้นกลับถูกเหนือภพขัดขวางเอาไว้ พร้อมส่งสายตาตำหนิ เขากระชากจิตเข้าหาตัวก่อนจะกระซิบข้างหูเธออย่างแผ่วเบาทว่าแฝงไว้ด้วยความเหี้ยมเกรียม
“ไหนเจ้าสัญญาแล้วว่าจะไม่ก่อเรื่อง เจ้าอยากให้พวกเราตายทั้งหมดหรือไง”
เหนือภพมองจิตด้วยแววตาจริงจัง แล้วก็ผลักจิตออกไป เขาถอนหายใจเงียบ ๆ จากนั้นก็มองไปทางสางลำไพรพลางส่งสัญญาณมือสื่อสาร
‘บ้านผู้ใหญ่อยู่ทางนี้ตามข้ามา’
สางลำไพรตอบรับด้วยการพยักหน้า ก่อนจะหันไปมองจิตสลับกับพี่ชายของจิตอย่างเห็นใจ เธอเข้าใจความรู้สึกความห่วงใยระหว่างพี่น้องเป็นอย่างดี เพราะเธอเองก็มีน้องสาวที่เธอรักและห่วงใย แต่ในขณะเดียวกันเธอก็เข้าใจความรู้สึกของเหนือภพ หน้าที่ต้องมาก่อนความรู้สึกส่วนตัว เรื่องบางเรื่องรอได้ แต่บางเรื่องรอไม่ได้
“แย่แล้ว”
“อะไรเนี่ย”
ทันทีพวกเขามาถึงเรือนของผู้ใหญ่บ้านก็พบว่าที่นี่มีการคุ้มกันแน่นหนาเป็นอย่างมาก รอบ ๆ เรือนของผู้บ้านมีการวางกำลังคนและตาข่ายอาคมป้องกันขนานใหญ่ มันแตกต่างจากครั้งก่อนที่เหนือภพมา ครั้งนี้ทุกสิ่งทุกอย่างดูยากมากขึ้นกว่าเดิมเป็นสิบเท่า จนแม้แต่สางลำไพรที่เชี่ยวชาญวิชาอาคมคุณไสยยังต้องขอเวลาคิด ไม่ง่ายเลยที่เธอจะเจาะทะลวงข่ายอาคมนี้ได้อย่างที่ตั้งใจเอาไว้ตอนแรก
พวกเขาทั้งสามคนตัดสินใจกลับมายังที่ซ่อนตัวนอกหมู่บ้านอีกครั้ง สางลำไพรที่ปิดปากตัวเองมาตลอดเพื่อไม่ให้เกิดเสียง ก็พูดขึ้นเป็นคนแรก
“ดูเหมือนว่าที่เจ้าพูดจะเป็นจริง ข่ายอาคมนั้นไม่เพียงแข็งแกร่งมาก มันยังมีความพิสดารซับซ้อน มีโครงสร้างผสมผสานที่ข้าเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน ผู้อยู่เบื้องหลังคงไม่ใช่คนระดับธรรมดา ข่ายอาคมแบบนั้นมีแต่ผู้ใช้อาคมระดับ 60 ขึ้นไปถึงจะสามารถสร้างขึ้นมาได้ มันยากมากที่จะบุกเข้าไปโดยไม่มีใครจับได้อย่างที่เจ้าพูดจริง แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เราได้รู้ว่าบันทึกโครงการลับซ่อนอยู่ในเรือนของผู้ใหญ่บ้านแน่ ๆ”
“บุกเข้าไปตรง ๆ เลยไหม ก็แค่ฮันเตอร์แรงค์ C มันไม่ได้เป็นปัญหากับข้านักหรอก”
เหนือภพเสนออย่างมุ่งมั่น นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาคิดแบบนี้ เพียงตอนนั้นเขายังไม่มีผู้ช่วยที่มีฝีมือมากพอ แต่ตอนนี้เมื่อมีสางลำไพรอยู่ด้วย วิชาอาคมไสยเวทย์มนต์ดำของเธอยอดเยี่ยม มันน่าจะไม่ใช่เรื่องยากที่เธอจะช่วยเขาชิงของสักอย่าง
“ไม่ได้” สางลำไพรปฏิเสธอย่างหนักแน่น
“ถ้าทำแบบนั้นจะเป็นเป้าสายตามากเกินไป อีกอย่างถ้าพวกเขามีผู้ใช้อาคมระดับนั้นอยู่จริง ๆ พวกเขาต้องคาดเดาได้แน่ว่าเป้าหมายของพวกเราคืออะไร แบบนั้นจะทำให้พวกเขาไหวตัวทัน ขืนพวกมันเปลี่ยนที่ซ่อนบันทึกโครงการอะไรนั่น มันก็จะทำให้พวกเราเสียเวลาค้นหาอีกมาก และโอกาสที่จะทำสำเร็จในครั้งต่อไปก็จะลดน้อยลง ที่สำคัญเราจะให้บ้านฮันเตอร์หลวงรู้ไม่ได้ เพราะข้าเองก็ไม่มั่นใจว่าพวกเขามาที่นี่ด้วยเหตุผลเดียวกับเราหรือเปล่า”
“งั้น ขอแค่พวกคุ้มกันไม่มายุ่งกับพวกเราก็ใช้ได้แล้ว ถูกไหม”
เหนือภพเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มชวนขนลุก สางลำไพรหรี่ตามองเหนือภพอย่างสงสัย เห็นได้ชัดว่าเขากำลังคิดเรื่องไม่ดี
“เจ้าคิดจะทำอะไร”
“เอาน่า ข้ามีแผนของข้า เจ้าเตรียมตัวให้พร้อมก็แล้วกัน พอข้าดึงคนพวกนั้นไปได้เมื่อไหร่ นั่นก็จะเป็นโอกาสของพวกเจ้าสองคน หาโอกาสลอบเข้าไปแล้วจะทำอะไรก็แล้วแต่พวกเจ้าเลย แต่จำไว้ว่าได้บันทึกลับเมื่อไหร่ ให้รีบเอามันกลับเมืองหลวงไปซะ ซ่อนตัวอยู่ที่นั่น”
“แล้วเจ้าล่ะ ใครจะอยู่ช่วยเจ้า”
จิตถามอย่างเป็นห่วง แต่ในใจลึก ๆ เธอกลับคิดว่าใครจะอยู่ช่วยพี่ชายเธอมากกว่า
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นใครกัน”
จิตกลอกตามองบน ส่วนสางลำไพรก็หมดคำพูดกับคำโอ้อวดของเหนือภพ แต่ในเมื่อเหนือภพต้องการแบบนั้น สางลำไพรก็ว่าตามนั้น เพราะลำพังแค่ตัวเธอเมื่อเผชิญหน้ากับฮันเตอร์แรงค์ C ก็นับว่าเกินตัวมากแล้ว ถ้าจะให้เป็นห่วงคนอื่นเพิ่มอีก ก็รังแต่จะเป็นภัยแก่ตัว
“ตามนั้น แล้วเจ้าจะเริ่มเมื่อไหร่”
สางลำไพรถาม
“ตอนนี้เลย แต่ข้ายืมของสิ่งหนึ่งจากเจ้าหน่อย”
เหนือภพตอบพร้อมรอยยิ้มเล็ก ๆ เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้ว เหนือภพก็ขอยืมหน้ากากที่สางลำไพรใช้ปิดบังใบหน้าขณะเดินทางและก็ผ้าคลุมสีดำของเธอ แล้วเขาก็ขอแยกตัวจากไปในทันที แยกกันทำงานทุกอย่างมันก็จะง่ายขึ้น ยิ่งเขาไม่มีตัวเกะกะอย่างผู้หญิงครึ่งคนครึ่งลิงนั่นด้วย ก็ยิ่งทำให้เขาเคลื่อนไหวง่ายขึ้น เหนือภพมีแผนอยู่ในใจแล้ว เขาจึงตรงดิ่งไปพบทิวที่ห้องนอน
“ตื่น ๆ”
“อั๊ยหยา”
ทิวสะดุ้งตื่นอย่างรวดเร็ว เขาเด้งตัวขึ้นจากเตียงในทันทีที่จำเสียงของเหนือภพได้ เหนือภพมองเห็นชุดเกราะที่ทิวใส่นอนอย่างพอใจ แต่เขาก็ไม่พูดอะไรมาก เขาตรงเข้าประเด็นเลยดีกว่า
“เป็นไง เจ้ากับฮันเตอร์พวกนั้น รู้จักกันดีแค่ไหนแล้ว”
ทิวยืดอกอย่างภาคภูมิ ขณะตอบกลับไปที่ความว่างเปล่าเบื้องหน้า
“พวกเขาดีกับข้ามากเลย แถมยังบอกอีกว่าข้ามีแววเป็นคนใหญ่คนโต พวกเขาสัญญากับข้าว่าเมื่อไหร่ที่ข้าสามารถสอบเลื่อนขั้นเป็นฮันเตอร์แรงค์ E ได้สำเร็จ พวกเขาจะรับรองข้าให้เข้าร่วมบ้านฮันเตอร์ด้วยล่ะ”
“โอ้ ไม่เจอกันไม่กี่วันเจ้าก็กบฏกับข้าแล้วหรือนี่”
เหนือภพพูดอย่างขำขัน กับท่าทีอวดอ้างของทิว ทิวยิ้มกว้าง
“ข้าจะเป็นยังงั้นได้ยังไงล่ะพี่ แล้วพี่มีอะไรให้ข้าช่วยหรือเปล่า บอกมาเลยข้าพร้อมตลอดเวลา”
“แน่นอน แต่งานนี้ไม่ยาก”
เหนือภพยิ้มพร้อมกับเผยแววตาร้ายกาจ แม้ทิวจะมองไม่เห็นเขา แต่ทิวก็รู้สึกขนลุกขนพอง เขารับรู้ได้จากน้ำเสียงของเหนือภพ โดยเฉพาะเมื่อเขาได้ยินคำสั่งที่แปลกประหลาด