ตอนที่ 9 โจรกระจอก
ตอนที่ 9 โจรกระจอก
ชินเหวยลุกขึ้นยืนทันที เขาอยากจะออกไปต่อสู้กับศัตรูทุกคนจนกว่าตัวเองจะตาย ทว่าเหตุผลในหัวของเขาได้หยุดการกระทำทั้งหมดเอาไว้ ไม่ว่าภูมิหลังของนักฆ่าทุกคนจะเป็นเช่นไร แต่ความเก่งกาจทางด้านกังฟูของนักฆ่าเหล่านั้นคงจะสูงมากเพราะท่านพ่อ อาจารย์หยางเจิ้ง และพี่ชายทั้งสองคนก็ยังพ่ายแพ้ต่อนักฆ่า ซึ่งการที่เขารอดชีวิตมาได้เช่นนี้มันเป็นเหมือนเรื่องมหัศจรรย์
เสียงจ้อกแจ้กดังมากจากทุกทิศทาง บางคนพูดจาโวยวายเสียงดังบางคนไม่พูดอะไรออกมาเลย คนพวกนั้นเป็นเหมือนฝูงนักล่าที่ส่งเสียงดังและกำลังแย่งอาหารกันอย่างบ้าคลั่ง ในอีกไม่ช้าพวกเขาก็จะเดินเข้าไปในซากปรักหักพังของคฤหาสน์ ด้วยเสียงฝีเท้าที่เขาได้ยินนั้นมันเหมือนกับว่ากำลังมีคนหลายพันคนเดินกูลกันเข้ามา
ขณะนั้นชินเหวยก็ได้ย่อตัวลงหลบอยู่หลังกำแพงที่พังเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จู๋ ๆ ก็มีคบเพลิงถูกโยนลอยผ่านหัวเขาไป
ก่อนที่ชินเหวยจะรู้สึกตัวว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น มืออันใหญ่และน่ายำเกรงได้คว้าไปที่คอของเขาจากด้านหลัง เท้าของชินเหวยลอยขึ้นจากพื้นทันที เพราะถูกคนที่นั่งอยู่หลังม้าคว้าคอและลอยไปกับม้า
และเมื่อม้าหยุดอยู่กับที่เขาก็ถูกทุ่มลงพื้นอย่างรุนแรง เขาร้องโอดครวญออกมาด้วยความเจ็บปวด เขากลิ้งไปมาบนพื้นโดยไม่มีโอกาสที่จะพยุงตัวลุกขึ้นมาด้วยซ้ำ เมื่อรู้สึกตัวอีกทีเขาก็ถูกห้อมล้อมด้วยมีดดาบจากชายบนหลังม้า พวกมันเหมือนหมาป่าที่หิวโหยภายใต้แสงคบเพลิง ทุกคนจ้องมองเหยื่ออย่างตะกละตะกลาม
ชีวิตก็เป็นเช่นนี้ เมื่อฝนตกแล้วมันมัดจะมีแผ่นดินไหวและมีลมแรงตามเสมอ ความโชคร้ายมันก็เหมือนกับสัตว์ร้ายที่ทำร้ายคนคนหนึ่งจนเลือดไหลหยดไปทั่วพื้นที่ โชคร้ายมันเหมือนกับสัตว์ที่คอยกินของเน่าเปื่อยที่แทะจนเหลือเพียงกระดูก
ตระกูลกู๋ที่ถูกทำร้ายนี้เป็นเหมือนบาดแผลอันร้ายแรงในชีวิตของชินเหวย นักฆ่ากลุ่มแรกทำงานเสร็จและหลบหนีไปได้อย่างลอยนวล หลังจากนั้นกลุ่มหมาป่าได้ตามมากินเหยื่อ
พวกมันเป็นโจรที่จิตใจแสนสกปรกและพวกมันเป็นแค่โจรที่ขโมยของเล็ก ๆ น้อย ๆ และก็มีจำนวนน้อยกว่าที่ชินเหวยคาดเดาไว้ในตอนแรก ความจริงแล้วมันมีกันอยู่เพียงห้าคนเท่านั้น แต่เสียงนกหวีดและเสียงกีบเท้าพร้อมแสงจากคบเพลิงทำให้พวกมันดูเหมือนมากันเยอะเป็นร้อย ๆ คน
ชินเหวยไม่รู้จักคนเหล่านี้เป็นการส่วนตัวเลยแม้แต่คนเดียว แต่เขาคิดทันทีว่าคนเหล่านี้เป็นศัตรู เขาทำตัวเหมือนเป็นสัตว์ร้ายตัวเล็ก ส่งเสียงคำรามในลำคอซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาดุร้ายอยู่เล็ก ๆ และมีกรงเล็บที่ไม่แหลมคม
แส้ตวัดมาหาเขาท่ามกลางความมืดมิด ทำให้ชินเหวยนั่นลงกับพื้นอีกครั้ง โจรทั้งห้าคนหัวเราะชอบใจกับภาพอันแสนเจ็บปวดของชินเหวยจู๋ ๆ ก็มีชายคนหนึ่งโน้มตัวไปคว้าเด็กชายผู้นั้น เขาจับเด็กชายขึ้นมาบนหลังม้าพร้อมค้นตัวของเขาทันที โจรผู้นั้นพบถุงสีเงินถุงเล็ก ๆ ในอ้อมแขนของเด็กชาย เขาจับมันขึ้นมาพร้อมพูดว่า "เฮ้! เด็กผู้นี้มาจากขบวนพ่อค้าเดียวกัน! มันมาขโมยของก่อนพวกเรา!"
เมื่อชินเหวยรู้ว่าพวกโจรเหล่านี้มาจากไหน เขาก็ระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว "ปล่อยข้า!" เขาตะโกนและดิ้นเพื่อคว้าถุงผ้าสีเงินชิ้นนั้น
บรรดาโจรหัวเราะเสียงดัง พวกเขาไม่ได้สนใจเด็กชายน้อยคนนี้เท่าไหร่และยัดถุงสีเงินเข้าไปในมือเด็กน้อยเช่นเดิม เขาตบหน้าเด็กน้อยอย่างรุนแรงและดึงถุงผ้ามันสีเงินจากเขาทันที
ชินเหวยรู้สึกเจ็บแสบเหมือนโดยไฟคอก มันรู้สึกราวกับว่าใบหน้ากำลังแตกสลาย แต่สิ่งที่เขากลัวที่สุดคือคัมภีร์ลับอย่าง คัมภีร์แห่งพลังหยินหยางถูกดึงไปจากมือ มันเป็นเหมือนคัมภีร์อันล้ำค่าประจำตระกูลซึ่งมันสำคัญยิ่งกว่าชีวิตของเขาด้วยซ้ำ
โจรผู้นั้นเป่านกหวีดพลางหยิบคัมภีร์ออกจากถุงผ้ามันสีเงิน ทว่าเขากลับแปลกใจมากกว่าเดิมที่ของข้างในนั้นเป็นเพียงหนังสือเล่มบาง ๆ หลังจากเปิดไปสองสามหน้าเขาก็ทำหน้างงงวยเพราะอ่านหนังสือไม่ออก
"นี่มันหนังสืออะไรวะ?!" ชายผู้นี้พูดออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว
"เอาคืนมา!" ชินเหวยตะโกนออกไปและลุกขึ้นด้วยความโกรธ
ชายร่างใหญ่ชกเข้าที่ใบหน้าของชินเหวยจนตัวเขากระเด็นลงไปนอนกับพื้น โจรผู้นั้นโยนคัมภีร์ทิ้งไปและมัดมือชินเหวยเอาไว้ด้วยเชือก พวกเขาเดินตามหาสมบัติตามซากปรักหักพัง
เนื่องจากมือและเท้าของชินเหวยถูกมัดเอาไว้ เขาจึงได้แต่ดิ้นเหมือนหนอน จากนั้นเขาจึงพยายามดิ้นและเคลื่อนตัวเองเข้าไปหาคัมภีร์หยินหยางของตระกูล
ขณะที่เขากำลังจะถึงคัมภีร์หยินหยาง จู่ ๆ ก็มีลมแรงพัดเข้ามา เปลวไฟของคบเพลิงที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ คัมภีร์ถูกลมแรงพัดจนมันโดยคัมภีร์ เมื่อเปลวไฟโดนถุงผ้ามันสีเงินและหน้าคัมภีร์ ทุกอย่างในบริเวณนั้นก็ลุกเป็นไฟขึ้นมาทันที
มันน่าเจ็บปวดที่เห็นคัมภีร์หยินหยางอันล้ำค่าของเขาไหม้กับตา สิ่งที่น่าเสียใจมากที่สุดคือเขาไม่ได้ใช้มันเพื่อฝึกฝนและสร้างรากฐานพลังกังฟูเพื่อให้เป็นเกียรติแก่ตระกูล ฝีมือของเขาในตอนนี้ยังไม่สามารถต่อกรกับโจรแสนธรรมดาได้ด้วยซ้ำ
เขาพยายามกลิ้งเข้าไปหาคัมภีร์และดับไฟอย่างเร็วที่สุด เขาคาบคัมภีร์เอาไว้ในปาก และกลิ้งหนีจากกองไฟ ในที่สุดชินเหวยก็ได้ปกป้องคัมภีร์หยินหยางอันล้ำค่าของตระกูลเอาไว้ได้ แต่สามหน้าแรกของมันถูกเผาไปเสียแล้ว
เขามองดูมันด้วยความเศร้าและประหลาดใจกับตัวหนังสือในคัมภีร์! เขาอ่านหนังสือออกจะตัวหนังสือในหนังสือเล่มนี้มันบอกได้ว่านี่มันเป็นเพียงแค่สมุดบัญชีเท่านั้น! มันไม่ใช่คัมภีร์หยินหยางแสนล้ำค่าของตระกูล!
หนังสือเล่มนี้ที่เขาพยายามปกป้องมันเอาไว้กลับไม่ใช่คัมภีร์หยินหยาง! ชินเหวยค่อนข้างผิดหวังเพราะคัมภีร์หยินหยางเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เขาแก้แค้นล้างความอัปยศให้แก่ตระกูลใด้สำเร็จ ซึ่งในตอนนี้พื้นฐานกังฟูของเขาอ่อนแอมาก และเขาอาจต้องใช้เวลาอย่างน้อย 30 ปีถึงจะสามารถล้างแค้นให้แก่ตระกูลกู๋ได้
หนังสือที่เป็นทางลัดของพลังอันแข็งแกร่งอย่าง "คัมภีร์หยินหยาง" เมื่อใช้แล้วมันจะมีผลข้างเคียงมากมายตามมา ดั้งนั้นผู้เฒ่าผู้แก่หรือผู้นำของตระกูลจึงซ่อนมันเอาไว้อย่างมิดชิด และไม่อนุญาตให้ผู้สืบเชื้อสายคนใดใช้มันเลย บรรพบุรุษตระกูลกู๋ได้ฝึกฝน "พลังหยินหยาง" ตามวิถีกังฟูในคัมภีร์หยินหยางของตระกูล ซึ่งพวกเขามัทักษะที่แข็งแกร่งมากกว่าคนปกติสองเท่าในระยะเวลาอันสั้น พวกเขามีทักษะดาบและหอกสูงดังนั้นจึงมีชื่อเสียงมากในช่วงเวลานั้น ทว่าสามปีต่อมาพวกเขาได้เสียชีวิตลงอย่างลึกลบและน่าสลด
ชินเหวยมีความปรารถนาแรงกล้าต้องการล้างแค้นให้กับตระกูลกู๋ ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจผลกระทบที่จะตามมาแต่อย่างใด ทว่าตอนนี้ "คัมภีร์หยินหยาง" ไม่ได้อยู่ในมือของเขาแล้ว ความหวังทั้งหมดที่จะสามารถเอาชนะศัตรูได้สูญเสียไปแล้ว
โจรกระจอกทั้งหมดเอาแต่ขุดและค้นหาทรัพย์สมบัติตามซากปรักหักพังอย่างตั้งใจ ในที่สุดพวกเขาก็ค้นหาทรัพย์สมบัติเสร็จสิ้นแล้ว พร้อมกับทำการเป่านกหวีดให้สัญญาณและเตรียมตัวออกเดินทาง
ผู้ที่จับชินเหวยได้กลับมายังม้าของตนพร้อมกับวางถุงสองถุงเอาไว้ที่หลังม้า ทรัพย์สมบัติที่เขาหาได้นั้นไม่มามายเท่าคนอื่น ๆ ในกลุ่มดังนั้นเขาจึงรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เขาเดินเข้ามาหาชินเหวยแล้วเตะเด็กน้อยเต็มแรงเพราะต้องการระบายความหงุดหงิด
ชินเหวยขดตัวด้วยความเจ็บปวด โจรจับผู้นั้นจับเชือกที่มัดลำตัวของเขาและพยายามอุ้มขึ้นหลังม้า
ทันใดนั้นชินเหวยก็ตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่างได้ทันที มีหนังสือเล่มหนึ่งถูกโยนทิ้งและเมื่อมันกระเด็นออกมาทำให้เขาเห็นผ้าเช็ดหน้าสีขาว หลังจากที่เขาเห็นผ้าสีขาวเขาก็ใช้ปากของตนคาบผ้าเช็ดหน้าสีขาวผื่นนั้นขณะที่นอนอยู่บนหลังม้า