ตอนที่ 120 คำสาป ?
ทันทีที่เหนือภพกลับมาถึงที่ซ่อนตัวในชายป่า เขาก็รีบมาหยิบใบพลูเพิ่มเพื่อนำมาบริกรรมคาถาไว้เผื่อใช้กรณีฉุกเฉิน แล้วเขาก็พบข้อความที่เขียนไว้ในตะกร้าใบพลู
มีเพียงคนเดียวที่รู้ที่ซ่อนตัวของเขาและรู้ตำแหน่งที่ซ่อนตะกร้าใบพลูแสนสำคัญ นั่นคือทิว ส่วนเนื้อความในจดหมายนั้นก็สั้นแสนสั้น
----------------------------------------------
เรื่องด่วน
----------------------------------------------
เหนือภพจึงต้องใช้คาถากำบังกายเพื่อเข้าไปในหมู่บ้านอีกครั้ง เขาตั้งใจตรงเข้าไปที่บ้านทิวโดยไม่ได้ยกเลิกคาถากำบังกายเพื่อความปลอดภัย เมื่อเขาไปถึงก็ต้องรู้สึกหงุดหงิดเล็ก ๆ ที่เห็นทิวกำลังนอนหลับสบายอยู่บนที่นอน แล้วไอ้ข้อความก่อนหน้านี้มันคืออะไร
“เรียกข้ามามีอะไร”
เฮือก !
ทิวสะดุ้งตื่นหันซ้ายหันขวา แต่แล้วเขาก็ไม่เห็นใคร เขาคิดว่าตัวเองหูฝาด ขณะที่เขากำลังจะล้มตัวลงนอนต่อนั้น เหนือภพก็เขกหัวทิวไปหนึ่งที ดังโป๊ก
“โอ๊ย !”
“ไม่ต้องงง ข้าเอง ข้าหายตัวอยู่”
เหนือภพยอมเฉลยแต่โดยดี เขาไม่อยากเสียเวลามาก อีกไม่นานคาถากำบังกายจะหมดฤทธิ์แล้ว ทิวตาโต ก่อนจะเริ่มออกอาการประจบประแจง แต่เหนือภพกลับขัดบทสนทนาของทิวและเข้าโหมดจริงจัง
“ข้าบอกว่าข้าจะติดต่อเจ้าเอง ทำไมเจ้าถึงติดต่อข้ามา มีเรื่องด่วนอะไร”
“อ่อ เมื่อช่วงค่ำข้าได้ยินมาว่า มีฮันเตอร์สองคนไล่จับวานรตัวหนึ่งที่กำลังจะบุกเข้าหมู่บ้านไปทางหนองป่าคลั่ง ข้าไม่รู้ว่าวานรตัวนั้นใช่จิตหรือเปล่า เลยอยากจะบอกให้พี่รู้ เผื่อว่าพี่จะมีคำสั่งอะไรให้ผมทำ นอกจากทำตัวปกติเฉย ๆ”
“งั้นรึ”
เหนือภพนิ่งไปครู่หนึ่ง ขณะมองท่าทางสบาย ๆ ของทิว และทิวก็ทำได้ดีเกินไป จนแม้แต่เขาเองก็ยังรู้สึกว่ามันมาพักผ่อนที่บ้านจริง ๆ
“เอาล่ะ เจ้ายังไม่ต้องทำอะไร ทำตัวแบบเดิมไปก่อน แต่ข้าอยากให้เจ้าตีสนิทกับพวกฮันเตอร์พวกนั้นไว้ แต่อย่าออกตัวมากเกินไป ค่อย ๆ เข้าหาอย่างเป็นธรรมชาติ”
“อ่อ ไม่มีปัญหาครับพี่”
“งั้นข้าไปละ ขอให้โชคดี จำไว้ว่าอย่าติดต่อข้าอีก เดี๋ยวแผนจะแตก”
เหนือภพถอนหายใจหนึ่งครั้ง แล้วก็ออกจากบ้านทิวเพื่อเดินสำรวจข้างนอก บรรยากาศในหมู่บ้านยังไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเป็นพิเศษ หมายความว่าพวกเขายังจับตัวจิตไม่ได้ ดังนั้นเหนือภพจึงฉวยโอกาสที่หมู่บ้านเงียบสงบเช่นนี้ไปสืบที่บ้านของผู้ใหญ่บ้าน เขายังจำคำพูดของพรานบุญที่ด่ากราดถึงผู้ใหญ่บ้านได้เป็นอย่างดี มันทำให้เขานึกขึ้นได้ว่าตัวการอาจจะไม่ใช่ใครอื่น แต่อาจจะเป็นผู้ใหญ่บ้านเสียเอง เพียงแต่เขายังคาดเดาไม่ได้ว่าผู้ใหญ่บ้านทำเรื่องนี้เพราะอะไร
ทันทีก้าวขึ้นบันไดบ้านของผู้ใหญ่บ้าน หนือภพก็รีบก้าวถอยหลังลงทันที ก่อนจะมองสำรวจร่างกายของตัวเองที่ค่อย ๆ ปรากฏภาพชัดเจน คาถากำบังกายกำลังเสื่อม มีบางอย่างปกป้องบ้านผู้ใหญ่บ้านเอาไว้ เหนือภพจึงรีบวิ่งออกมาจากหมู่บ้าน เขาต้องเปลี่ยนแผนโดยการตามหาจิต เขาต้องรู้เรื่องให้มากกว่านี้ เขาจะได้รู้ว่าตัวเองกำลังสู้กับอะไร และกำลังเผชิญหน้าอยู่กับอะไร
ดังนั้นเหนือภพจึงใช้อาคมกำบังกายซ่อนเร้นตัวตนออกสืบเสาะไปทั่ว เขาเคลื่อนไหวในความมืด ไม่หยุดพัก ไม่เหน็ดเหนื่อย จนกระทั่งเขาพบเบาะแสบางอย่างที่หนองป่าคลั่ง
ฮันเตอร์ชายสองคนกำลังไล่ตามวานรยักษ์ท่ามกลางความมืด ทว่าสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยหนองน้ำ ดินโคลน รากไม้กิ่งไม้ระเกะระกะ สัตว์อสูร แมลงและสัตว์มีพิษน้อยใหญ่ ต่อให้พวกเขาเป็นฮันเตอร์แรงค์ D ก็ไม่อาจเคลื่อนไหวได้สะดวก หากไม่ชำนาญพื้นที่ โดยเฉพาะฮันเตอร์ชายคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะมีปัญหามากกว่าเพื่อน ทันทีที่เขาขยับตัวอยู่ ๆ เขาก็ล้มลงไปในโคลน และนั่นไม่ใช่โคลนธรรมดา มันคือโคลนดูด
“อ๊าก !!”
“เฮงเฮง เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า”
ฮันเตอร์ชายร่างใหญ่หันมาถามเพื่อนร่วมทีมด้วยความเป็นห่วง เขาจำเป็นต้องละทิ้งการติดตามวานรยักษ์ชั่วคราว เพื่อย้อนกลับมาดูเพื่อนร่วมทีมที่มีชื่อตรงข้ามกับความจริงอย่างสิ้นเชิง ชื่อเฮงเฮงแต่กลับชอบดึงดูดความซวยเขาหาตัวเอง
เหนือภพที่กำลังวิ่งไล่ตามวานรยักษ์อยู่ในความมืดอีกด้านของป่าที่ไม่ไกลจากทั้งคู่นัก ถึงกับหันหลังขวับทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่ฮันเตอร์ทั้งสองคนคุยกัน เหนือภพค่อย ๆ ย่องเข้ามาใกล้ทั้งคู่ เมื่อเขาหรี่ตาดูให้ชัด ๆ ก็เห็นว่าเป็นเฮงเฮงเพื่อนเก่าของเขาเอง เขาไม่คิดว่าเฮงเฮงจะมาที่นี่ด้วย แต่เหนือภพก็ไม่มีเวลาที่จะมาทักทายเพื่อนเก่า เขาหันกลับไปทางเดิมแล้วไล่ตามวานรยักษ์ไป
โชคดีที่เขาเคยมาที่นี่ในตอนทำภารกิจช่วยคณะพ่อค้า ทำให้เขาพอจะจดจำพื้นที่ได้บ้าง และมีความชำนาญในเส้นทางพอสมควร ทำให้เขาเคลื่อนไหวได้ไม่ติดขัด
ส่วนวานรยักษ์นั้นเมื่อหนีไปได้ระยะหนึ่ง จนคิดว่าคงไม่มีใครตามมา มันก็หยุดอยู่ริมแม่น้ำ ก่อนจะคืนร่างเป็นมนุษย์เป็นหญิงสาวเปลือยที่มีโคลนเปื้อนตามตัว เธอล้างเลือดจากบาดแผลที่ได้รับด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย พลางพึมพำกับตัวเอง
“พี่รอข้าหน่อยนะ ข้าจะไปช่วยท่านเอง”
“พวกเจ้านี่มันยังไง อยากตายกันมากหรือไง”
เหนือภพพูดขึ้นพร้อมกับมาปรากฏตัวอยู่ข้างหลังจิต เธอสะดุ้งตกใจจนพลัดตกลงไปในกระแสน้ำเชี่ยว ทำให้เหนือภพต้องลงน้ำไปดึงเธอขึ้นมา จิตยังคงมีท่าทีหวาดกลัวเหนือภพ เธอปกปิดส่วนเร้นลับข้างล่างและส่วนนูนข้างบนด้วยมือของตัวเอง ก่อนจะหลั่งน้ำตาด้วยความสิ้นหวัง เธอรู้ถึงความสามารถของเหนือภพ และรู้ว่าเธอไม่มีทางรอดจากเงื้อมมือของเขาแน่นอน
“เลิกกลัวได้รึยัง ข้าไม่พิศวาสเจ้าหรอกน่า”
เหนือภพพูดขณะที่จ้องมองร่างกายอันเปลือยเปล่าของจิตเขม็ง ก่อนจะคิดได้ว่าเขามีเสื้อผ้าสำรองอยู่ในกระเป๋า เขาจึงดึงเอาเสื้อผ้ามาให้จิตสวมใส่
“รีบใส่ซะ ค่าเสื้อผ้านี่ข้าจะไปคิดเงินกับคนรักของเจ้าเอง”
จิตไม่ใช่คนโง่ ชีวิตเธอผ่านอะไรมามากพอที่จะรู้ว่าเหนือภพไม่ได้ต้องการจับตัวเธอ หากเขาจะจับเธอจริง ๆ ก็คงไม่พูดมากแถมยังเอาเสื้อผ้าให้เธอใส่อีก แต่เธอก็ยังไว้ใจเขาไม่ได้ และยังมีคำพูดแปลก ๆ นั่นอีก เขาหมายถึงอะไร
“เจ้ากำลังพูดอะไร ต้องการอะไรจากข้า แล้วคนรักอะไร”
“เฮ้อ อีกแล้วสินะ”
เหนือภพเบื่อที่จะอธิบายเป็นคำพูด เขาจึงขอให้พญานาคออกมารวบตัวหญิงสาวเอาไว้พร้อมกับส่งกระแสความคิดทำให้เธอเห็นภาพจากความทรงจำทั้งในวันที่พรานบุญจับจิตขังไว้ในห้องใต้ดิน และในวันที่พรานบุญกับเหนือภพทำข้อตกลงกัน นั่นทำให้จิตค่อย ๆ พยายามเข้าใจสถานการณ์ จิตตกใจที่เห็นพญานาคตัวใหญ่ แต่เธอนั่นไม่อาจทำให้เธอช็อกจนหัวใจวายได้ เพราะถึงอย่างไรเธอก็เป็นส่วนหนึ่งในเรื่องลึกลับมหัศจรรย์อยู่แล้ว มนุษย์ยังกลายเป็นสัตว์อสูรได้เลย แล้วทำไมจะมีพญานาคตัวเป็น ๆ ออกมาไม่ได้
“ถ้าเจ้ารู้แล้วก็ใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย และตามข้ามา ข้ากับเจ้าเรามีเรื่องต้องคุยกันอีกเยอะ”
เมื่อจิตพอจะเข้าใจสถานการณ์ เธอก็ดูจะพูดด้วยง่ายขึ้น แต่ลึก ๆ ในใจเธอก็ยังหวาดกลัวเหนือภพ ครั้งหนึ่งตอนอยู่ในร่างของวานรยักษ์ เธอเคยถูกเหนือภพเหยียบจนจมดินมาแล้ว และยิ่งเธอได้มาเห็นพญานาคตัวเป็น ๆ ที่ดูเหมือนจะยอมทำตามคำสั่งของผู้ชายคนนี้ เธอก็ยิ่งคิดว่าเหนือภพชั่วร้าย แม้เธอจะยอมฟังเขา แต่เธอไม่มีทางเชื่อใจ
“เล่ามาว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่หมู่บ้านนี้กันแน่ และเจ้าเป็นตัวอะไร มนุษย์หรือสัตว์อสูร เจ้าต้องบอกข้าทุกเรื่อง ข้าถึงจะช่วยเจ้าได้ คนรักเจ้าบอกว่าเจ้ารู้มากกว่าเขา”
“เขาไม่ใช่คนรักของข้า”
“อ้าว” เหนือภพนิ่งไปครู่หนึ่ง ขณะที่จิตอธิบายต่อ
“พรานบุญที่เจ้ารู้จัก ที่จริงแล้วเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของข้า เขาไม่ได้ชื่อบุญ แต่ชื่อจัน พรานบุญที่แท้จริงเป็นอาจารย์ของพี่จันที่ตายไปนานแล้ว และพรานบุญที่เจ้าเห็นก็ไม่ใช่ร่างกายจริง ๆ ของพี่จัน”
เหนือภพกลอกตาไปมา เขารู้สึกว่าเขาตามไม่ทันนิดหน่อย เขายกมือขึ้นนวดขมับขณะพยายามย่อยข้อมูลใส่หัวสมอง
“พี่จันทำเพื่อปกป้องข้า เขาเลยฆ่าอาจารย์ของตัวเองและสวมรอยเป็นพรานบุญ เพื่อที่จะปกป้องข้าอย่างลับ ๆ จากผู้ใหญ่บ้านที่คิดจะจับข้าไปทดลอง ผู้ใหญ่บ้านอยากจะรักษาหลานชายของเขา ที่เป็นมนุษย์กลายร่างเป็นวานรเหมือนกัน”
เหนือภพพยักหน้าหงึกหงัก เขาพอจะนึกเชื่อมโยงเหตุการณ์ได้ วานรยักษ์ที่เข้าโจมตีหมู่บ้านในวันนั้นถูกเหนือภพทำร้าย และวันต่อมาเจ้าทองก็ล้มป่วย ทุกอย่างมันช่างเหมาะเจาะเกินไป วานรตัวนั้นก็คือทอง ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง
“ข้าไม่ใช่สัตว์อสูรแต่เป็นมนุษย์ พวกเราแค่กลายพันธ์ุ สายเลือดของพวกเราชาวโอปะมีสิ่งที่เรียกว่า ‘คำสาปราชาวานร’ ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย พวกเราทุกคนล้วนไม่ใช่คนปกติ”
“แต่ข้าก็ไม่เห็นว่าคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านจะกลายเป็นลิงอย่างเจ้ากับทอง”
“คำสาปราชาวานรมีผลกับผู้ไร้พรสวรรค์เท่านั้น คนในหมู่บ้านส่วนใหญ่เป็นผู้มีพรสวรรค์ก็เลยไม่เป็นแบบนี้ สำหรับผู้มีพรสวรรค์จะมีปราณอาคมภายในร่างกาย ปราณอาคมเป็นเหมือนเกราะคุ้มกายและคำสาปจะสิ้นสลายทันทีเมื่ออายุครบ 12 ปี ดังนั้นพวกเขาจะไม่มีอาการหรือการกลายร่างเด็ดขาด ไม่เหมือนพวกไร้พรสวรรค์”
“แต่เจ้าสามารถกลายร่างและคืนร่างได้อย่างอิสระ เป็นเพราะอะไร”
“หากเจ้าอยู่กับมันคุ้นเคยกับมัน เจ้าก็สามารถควบคุมมันได้อย่างอิสระเอง”
เหนือภพนิ่งไป จากนั้นเขาก็เขยิบเข้ามาใกล้จิต แล้วคว้าแขนของจิตมาจับโดยไม่บอกกล่าว ทำให้เธอสะดุ้งตกใจ แต่เมื่อเธอเห็นว่าเหนือภพไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นนอกจากจับแขนเธอนิ่ง ๆ ราวกับว่าเขากำลังวิเคราะห์อะไร เธอจึงไม่ได้ว่าอะไร
‘ใช่คำสาปหรือเปล่า’
เหนือภพถามพญานาคในจิต ซึ่งพญานาคก็ปฏิเสธมาทันควัน
‘ไม่ใช่ มันเหมือนกับความสามารถพิเศษของเจ้าที่ได้รับมาจากการกินเนื้อสัตว์อสูร แต่ว่ามันแตกต่างกับเจ้านิดหน่อย สิ่งที่เจ้าได้รับคือความสามารถทั้งพลัง การป้องกันและความเร็ว แท้จริงมันคือสารอาหารที่มีเฉพาะในเนื้อสัตว์อสูร ที่ทำให้ร่างกายเจ้าปรับตัวและวิวัฒนาการจนเกิดการเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่นางเป็นมันเกินกว่าสิ่งที่เรียกว่าการวิวัฒนาการทั่ว ๆ ไป มันคือการก้าวกระโดด ราวกับว่านางกับสัตว์อสูรหลอมรวมจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จนเกิดเป็นเผ่าพันธ์ุใหม่ที่ข้าไม่รู้จัก การหลอมรวมนี้แนบสนิทมาก ราวกับว่านางเกิดมาก็เป็นแบบนี้แล้ว’
‘อะไรเนี่ย’