บทที่ 50 พลังของผู้ยิ่งใหญ่
บทที่ 50 พลังของผู้ยิ่งใหญ่
ทันใดนั้น ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนไปเป็นมืดสนิท ความหนาวเย็นที่กัดกินถึงขั้วหัวใจ ร่างกายของหวางมู่เริ่มปรากฏชั้นน้ำแข็งขึ้น ความรู้สึกหนาวเย็นเสียดกระดูกส่งผลให้หวางมู่เจ็บปวดทรมาน มันคำรามลั่นก่อนจะใช้วิชาต่อสู้โต้ตอบกลับไป
วิชาระดับจักรพรรดิ ขั้นต้น! อุษาผลาญวิญญาณ!
ท้องฟ้าเปลี่ยนไปอีกครา จากท้องฟ้าอันมืดมิดกลายเป็นสว่างไสว แต่แสงสว่างนั้นกลับทำให้รู้สึกถึงความร้อนที่กำลังแผดเผาร่างกาย อาจถึงขั้นสามารถเป็นเศษธุลีได้เลยทีเดียว!
กุนไท่เฝ้าดูการต่อสู้จากบนหอคอยต้องห้าม เขาสัมผัสได้ถึงมันอย่างบางเบา แต่กลับทำให้กุนไท่ต้องปวดแสบปวดร้อนผิวหนัง!
ผู้พิทักษ์ไป๋เสวี่ยใช้พลังปราณที่หนาวเย็นปกคลุมร่างเอาไว้ แล้วปล่อยฝ่ามือที่ห่อหุ้มไปด้วยพลังปราณสีขาว ซึ่งกำลังหมุนวนราวกับพายุขนาดย่อมออกไป
ฝ่ามือนั้นทำให้หวางมู่รู้สึกได้ถึงแรงกดดัน ก่อนจะปล่อยฝ่ามือออกไปปะทะกับอีกฝ่าย
ปังงง!
คลื่นแรงลม และแรงกดดันมหาศาลทำให้อากาศบริเวณนั้นระเบิดออกมา พลังที่สามารถเขย่าฟ้าดิน ส่งผลให้สงครามที่อยู่ใกล้ๆต่างสัมผัสถึงมันได้ พวกมันทุกคนไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายใดต่างมุ่งหน้ามาทางนี้ด้วยความสงสัยทั้งสิ้น
เมื่อเห็นการปะทะของผู้แข็งแกร่ง พวกมันเข้าใจดีแล้วว่าวันนี้คงไม่จบง่ายๆเป็นแน่ มีหนทางเดียวที่จะจบมันได้ นั่นก็คือการหาผู้ชนะของผู้แข็งแกร่งทั้งสองเท่านั้น!
ตูมมม!
หมัดของหวางมู่เปล่งพลังรัศมีแห่งความน่าสะพรึงออกมา มันระเบิดภูเขาที่อยู่ใกล้ๆให้แหลกไปในพริบตา พลังหมัดของมันสร้างคลื่นพลังทำลายล้าง ผู้คนที่อยู่โดยรอบต่างกระเด็นออกมา ไม่ใช่ว่าพวกมันอ่อนแอแต่อย่างใด แต่ละคนมีความแข็งแกร่งสูงมาก ทุกคนอยู่ในระดับสูงกว่าผู้เชี่ยวชาญมากนัก!
หึ!
ผู้พิทักษ์ไป๋เสวี่ยส่งเสียงในลำคอออกมาอย่างเย็นชา นางสะบัดมือแล้วปรากฏกระบี่ที่สร้างขึ้นจากน้ำแข็งออกมาร้อยกว่าเล่ม ก่อนจะพุ่งเข้าหาฝ่ายตรงข้ามอย่างไร้ความปราณี!
ทั้งสองยังคงปะทะกันอย่างดุเดือด หนึ่งวันผ่านไป สองวันผ่านไป สามวันผ่านไป...ทั้งคู่เริ่มอ่อนแรงลง พลังกาย และพลังปราณใกล้จะเหือดแห้ง แต่ทั้งสองยังคงไม่ยอมแพ้!
อาวุธคู่กายปรากฏ!
ทั้งคู่เรียกอาวุธออกมา ทำให้ตอนนี้เป็นช่วงเวลาแห่งการตัดสินแล้ว อาวุธของหวางมู่โดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ทวนวงเดือน! มันมีลักษณะที่งามสง่า เมื่อหวางมู่ถือมันอยู่ พลังต่อสู้ก็เพิ่มพูนขึ้นอย่างน่ามหาศาล
ส่วนทางฝั่งของผู้พิทักษ์ไป๋เสวี่ยเป็นดาบยาวเล่มหนึ่งมีสีเขียวมรกตดูล้ำค่า แต่สิ่งที่สำคัญนั่นคือพลังอำนาจที่สามารถฟาดฟันทุกสรรพสิ่งให้ขาดสะบั้นได้!
วิชาระดับจักรพรรดิ ขั้นสูง! ผ่าสวรรค์ทะลวงปฐพี!
รอบดาบยาวสีเขียวมรกตเล่มบังเกิดรัศมีพลังสีเขียวอ่อนขึ้น พร้อมกับรอบตัวของผู้พิทักษ์ไป๋เสวี่ยระเบิดพลังปราณที่ทรงพลังออกมา พลังปราณนั้นหนาแน่นจนก่อตัวขึ้นเป็นเสาปราณสีขาวพวยพุ่งขึ้นสู่สวรรค์ชั้นฟ้า ดาบในมือนั้นเมื่อฟาดฟั้นออกไป ก่อให้เกิดเป็นปราณดาบสีเขียวขนาดมหึมาพุ่งเข้าใส่หวางมู่โดยพลัน!
“ข้าจะทำให้เจ้าหายไปจากโลกใบนี้ ตายซะ!”
หวางมู่กำทวนวงเดือนในมือแน่น นัยน์ตาเกิดประกายจิตสังหารขึ้น ก่อนจะฟาดฟันทวนในมือด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี!
วิชาระดับจักรพรรดิ ขั้นสูง! อสูรสวรรค์สยบโลกา!
ทวนวงเดือนในมือของหวางมู่นั้นขยายใหญ่ขึ้น รวมถึงขนาดตัวของหวางมู่ด้วย ตอนนี้ร่างของมันมีขนาดเทียบได้กับภูเขาลูกย่อมๆได้เลยทีเดียว ขนาดตัวของมันราวกับเป็นยักษ์โลกันต์อันน่าสะพรึง!
เมื่อทวนขนาดมโหฬารปะทะเข้ากับปราณดาบของผู้พิทักษ์เสวี่ย ท้องฟ้าแหวกออกมาเผยให้เห็นดวงดาราสุกสกาวเคียงจันทร์ ทับซ้อนกับดวงตะวันอันร้อนแรง เกิดเป็นสุริยุปาราคา!
พลังของทั้งสองอยู่เหนือเกินจิตนาการของผู้คน มิอาจพรรณนาถึงแก่นแท้ในพลังของทั้งสองได้
“นี่น่ะหรือ? คือระดับจิตวิญญาณแห่งเซียน! ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก ขอบเขตพลังระดับนี้อยู่เหนือความเข้าใจของข้าเป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว!”
“ข้าไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะได้เห็นพลังของผู้ที่ได้ชื่อว่าบรรลุเซียน! ตัวตนเช่นนี้อยู่เหนือเผ่าพันธุ์มนุษย์จนมิอาจเทียบด้วยได้ มันสามารถเรียกว่าเทพเซียนได้เลยด้วยซ้ำ!”
ไม่มีใครไม่ตกใจกับพลังของสองผู้ยิ่งใหญ่ ผ่านมาเนินนานแล้วที่ไม่ได้สำแดงเดชแก่โลกนี้ให้ประจักษ์ ตำนานที่ยังมีลมหายใจเฉกเช่นทั้งสองนั้น ถูกกล่าวขานมาตลอดไม่ต่างจากนิทานหลอกเด็ก ทว่ายามนี้พลังที่พวกเขาเผยออกมา ได้สร้างความตกตะลึงอย่างหนักแก่ทุกคน
หลังจากปะทะทั้งสองปะทะกันจบลง พวกเขาต่างกระเด็นออกมากัน มู่หวางพลันกระอักเลือดออกมา พร้อมกับร่างกายที่โซซัดโซเซ ก่อนจะหมดสติกลางอากาศในฉับพลัน
“ท่านบรรพชน!”
เหล่าชนเผ่าโลหิตอสูรจำนวนมากต่างพุ่งเข้าไปประคองหวางมู่ที่ไร้สติ พร้อมกับรีบพาขึ้นเรื่อรบเพื่อจะหนีไป!
“คิดจะหนีหรือ? เจ้าพวกบัดซบ!”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งตวาดขึ้น ก่อนจะพาพวกพ้องคนอื่นตามไปจัดการกับชนเผ่าโลหิตอสูรที่กำลังหลบหนี
“ไม่ต้องตาม! ปล่อยพวกมันไป สิ่งที่สำคัญที่สุดคือนิกายของเรา หากพวกเราตามมันไป มันอาจจะย้อนกลับมาทำลายนิกายได้!”
สิ้นเสียงของผู้พิทักษ์ นางพลันกระอักเลือดออกมา ก่อนจะหยิบยารักษาแล้วรีบกลืนลงไป พลางนั่งขัดสมาธิรักษาตนเอง
“ท่านผู้พิทักษ์ท่านเป็นเช่นไรบ้าง?”
เหล่าผู้อาวุโส และผู้นำนิกายเอ่ยถามขึ้นด้วยความห่วงใย เมื่อเห็นผู้พิทักษ์ส่ายศีรษะเป็นการส่งสัญญาว่าไม่เป็นไร จึงแยกย้ายกันไปจัดการเรื่องอื่นต่อ ส่วนผู้นำนิกายนั้นอยู่ปกป้องผู้พิทักษ์ด้วยตนเอง เขากังวลว่าหากเขาไม่อยู่จะเกิดเรื่องไม่ดีกับผู้พิทักษ์ของพวกเขาเอาได้
กุนไท่เดินออกมาจากหอคอยของผู้พิทักษ์ เพื่อไปดูอาการอาจารย์ของตนด้วยความเป็นห่วง
“ศิษย์นามกุนไท่คาราวะท่านผู้นำนิกาย” กุนไท่กล่าวทักทายผู้นำนิกายขึ้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบเจออีกฝ่าย
ผู้นำนิกายพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม แววตาปรากฏความชื่นชมขึ้น นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของเขาที่ได้เห็นศิษย์ที่มีศักยภาพที่น่าทึ้งเช่นนี้ เขาหวังเอาไว้ว่าสักวันกุนไท่จะเป็นผู้ที่สามารถนำนิกายให้เจริญรุ่งเรืองได้!