บทที่ 101 : ถึงเวลาสังหารมังกร
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
นี่ก็เป็นเวลาห้าเดือนแล้ว
ฤดูหนาวเข้ามาเยือน แต่ฝนก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย เมืองรุ่งอรุณที่ตั้งอยู่ในกึ่งเขตร้อนอ้าแขนต้อนรับฤดูการเก็บเกี่ยวครั้งที่สอง
พืชที่ปลูกครั้งที่สองได้โตเต็มที่แล้ว ไม่นานมานี้ชาวเมืองได้นำผลผลิตที่เก็บเกี่ยวครั้งแรกไว้ในยุ้งฉาง วิลเลียมใช้เงินจำนวนมากในการซื้อยุ้งฉางขนาดใหญ่นับสิบที่ตอนนี้เต็มไปด้วยข้าวสารและธัญพืชจำนวนมาก
นั่นเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ
ห้องอาบน้ำสาธารณะถูกปรับปรุงใหม่ และเริ่มมีการใช้อุจจาระเป็นปุ๋ยซึ่งทำให้ผลผลิตที่ได้เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2 เท่า
เมืองรุ่งอรุณมีประชากรอยู่อาศัยเพิ่มขึ้น และได้มีการขยายพื้นที่เพาะปลูกตรงที่ราบฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกข้างๆกับเมืองเพื่อไว้เป็นอาหาร และยังมีอาหารที่ได้จากป่าและสัตว์ป่ามาเสริมอีกด้วย ด้วยเหตุนี้เมืองรุ่งอรุณที่มีประชากรกว่า 200,000 คนจึงมีอาหารเพียงพอตลอดทั้งปี
ในโลกที่มหัศจรรย์แห่งนี้ สารอาหารในดินนั้นอุดมสมบูรณ์กว่าในโลกแห่งความจริงเป็นอย่างมาก
เมื่อเขตเมืองแห่งใหม่ถูกสร้างเสร็จ มันก็มีขนาดพอๆกับเมืองเก่า
ผู้ที่อาศัยในเขตนั้นมีเพียงเอลฟ์ 40,000 ตนเท่านั้น พื้นที่และอาคารหลายแห่งยังคงว่างเปล่า
กำแพงของเมืองเขตใหม่ก็ถูกสร้างเสร็จแล้ว มันสูง 15 เมตรและกว้าง 6 เมตร ซึ่งสูงกว่ากำแพงเมืองอันเก่าถึง 5 เมตรและดูแข็งแรงทนทาน
พื้นผิวของกำแพงเมืองถูกปกคลุมด้วยชั้นของโลหะและทองแดงเพื่อความแข็งแรง
นอกจากประตูทางทิศเหนือแล้ว ยังมีการสร้างประตูเมืองเล็กอีกสามแห่งเพื่อเชื่อมระหว่างเมืองเขตเก่าและเขตใหม่ ซึ่งไว้ใช้อำนวยความสะดวกในการขนส่งและสื่อสารกันระหว่างเขตทั้งสอง
หลังจากการค้าทาสกับอาณาจักรลาวาดำหยุดลง วิลเลียมก็ทำได้เพียงฉกฉวยทาสบางส่วนจากอาณาจักรเหล็กเท่านั้น นอกจากนี้ก็ไม่มีแหล่งอื่นในการเพิ่มจำนวนประชากรแล้ว
วิลเลียมเชื่อว่าจนกว่าป้อมปราการจะเสร็จสมบูรณ์ เขาก็จะไม่สามารถหาทาสที่ไหนมาเพิ่มได้ในขณะนี้
โชคดีที่ครึ่งเอลฟ์ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ทางฝั่งตะวันออกห่างจากเมืองประมาณ 70 กิโลเมตรถูกพวกออร์คโจมตีอย่างหนักเมื่อเดือนที่แล้ว ในขณะที่ป้อมปราของอาณาจักรเหล็กกำลังจะสร้างเสร็จ ผู้นำของครึ่งเอลฟ์ก็ได้ตัดสินใจนำผู้ติดตามของเขามาเข้าร่วมกับวิลเลียม
แต่ปัจจัยสำคัญในการเข้าร่วมครั้งนี้คือสายเลือดครึ่งเอลฟ์ของวิลเลียม
โดยเฉพาะเมื่อวิลเลียมมีสายเลือดของราชวงศ์ที่ไม่ได้เป็นความลับอีกต่อไป
เอาตรงๆเลยล่ะก็
มีครึ่งเอลฟ์ระดับรีเจนดารีมากมายในทวีปรีเจนดารี แต่กลับไม่มีใครก่อตั้งอาณาจักร สายเลือดของพวกเขาเป็นเลือดผสม ซึ่งยากนักที่จะพบครึ่งเอลฟ์อย่างวิลเลียมที่มีสายเลือดของราชวงศ์…
จากการตัดสินใจครั้งนี้ เมืองรุ่งอรุณก็ได้ต้อนรับครึ่งเอลฟ์เพิ่มอีก 23,000 ตน
เมืองนี้แข็งแกร่งกว่าหกเดือนก่อนอย่างน้อยๆ ถึงสองเท่า
มีประชากรโดยรวมเป็นตัวเลขกลมๆก็เกือบแตะสองแสน
อำนาจทางทหารก็เพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นเดียวกัน จากจำนวนทหารที่มีเพียง 4,000 นายก็เพิ่มขึ้นเป็น 15,000 นาย เทียบได้กับทหารห้ากองรบเลยด้วยซ้ำ
ห้ากองในนั้นประกอบด้วยทหารเอลฟ์สองกอง ทหารมนุษย์สองกอง และทหารครึ่งเอลฟ์อีกหนึ่งกอง
ในที่สุดวิลเลียมก็สามารถถอนองครักษ์ส่วนตัวและนักรบคนแคระออกจากกองทหารได้ เพื่อให้พวกเขาเป็นอิสระ
และเขาได้มอบนามให้แก่กองทัพแต่ละกองอีกด้วย
ก่อนหน้านี้กองทัพกองแรกนั้นประกอบไปด้วยเผ่าพันธุ์ที่หลากหลาย แต่ตอนนี้มีเพียงมนุษย์ระดับผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
เขาตั้งชื่อให้ว่า [ทัพแห่งเกียรติยศ]
วิลเลียมตั้งความหวังกับกองทัพกองนี้ไว้สูง ทหารใหม่จำนวนมากเข้ามาแทนที่ทหารเก่าและทหารที่เสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งกองทัพนี้มีผู้นำคือวิลเลียม และได้คว้าชัยชนะมาได้หลายครั้งหลายคราและนำความรุ่งโรจน์มาสู่เมืองแห่งรุ่งอรุณ วิลเลียมได้เลือกทหารคนต่อคนโดยทุกคนต้องมีสายเลือดระดับกลางเป็นอย่างน้อย
หากกองทัพได้รับชัยชนะที่ยิ่งใหญ่สักสองสามครั้ง พวกเขาก็จะมีขวัญกำลังใจยาวนานและมีบัฟประจำกองทัพ
ทัพกองที่สองประกอบด้วยมนุษย์และเอลฟ์ที่ยังสาว, สวยงาม, และสูงเพรียว
เขาตั้งชื่อว่า [กองทัพการ์เดี้ยน]
จุดประสงค์ของกองทัพกองนี้ไม่ใช่การรบ หากเป็นไปตามที่เขาคิดไว้ เหล่าผู้เล่นทั้งหลายจะต้องตายเพราะกำเดาพุ่งกระฉูดไปตามๆกัน
ภารกิจของกองทัพนี้คือการป้องกันเมืองแห่งรุ่งอรุณ
ทหารของกองทัพการ์เดี้ยนจะทำหน้าที่ลาดตระเวนดูแลประตูเมืองและรักษาความสงบเรียบร้อยภายในเมือง
เมื่อกองทัพการ์เดี้ยนถูกสร้างขึ้นมาใหม่ๆ ทหารหญิงทั้งหลายที่สวมกระโปรงห้อยสายโซ่ถูกส่งไปประจำการที่ลานส่วนกลาง ชายหนุ่มกว่าครึ่งในเมืองต่างตื่นเต้น พวกเขากระจุกกันอยู่บนถนนจนแทบจะเดินผ่านไปมาไม่ได้…
กองทัพที่สามและสี่เป็นกองทัพที่ทรงพลังที่สุดของวิลเลียม
เพราะว่ากองทัพแห่งนี้ประกอบไปด้วยเอลฟ์เลือดบริสุทธิ์ อายุขัยของเอลฟ์นั้นยาวนานเกินไป และพวกเขาก็ไม่ได้มีประสบการณ์ในการทำสงครามมานานมากแล้ว
แต่พวกเขามีพลังการต่อสู้ที่เหนือชั้นกว่า
และการเลื่อนระดับไปเป็นผู้เชี่ยวชาญของพวกเขานั้นง่ายดายมาก ในปัจจุบันพวกเขามีเลเวลสูง และทุกๆคนต่างเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับกลางที่มีเลเวล 40 หรือมากกว่านั้น ด้วยพลังที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ สิ่งที่พวกเขาต้องมีก็เพียงแค่ประสบการณ์ในการต่อสู้
สำหรับเอลฟ์ผู้ภักดี หากพวกเขามีประสบการณ์อันยิ่งใหญ่ในการต่อสู้เพียงไม่กี่ครั้ง พวกเขาก็จะกลายเป็นกองทหารชั้นยอดที่สมบูรณ์แล้ว
วิลเลียมตั้งชื่อให้พวกเขาว่า [กองทัพไนท์] และ [กองทัพมูนไลท์] เพราะว่ากองทัพประกอบไปด้วยเอลฟ์ทั้งสองเผ่า
กองทัพที่ห้าประกอบไปด้วยครึ่งเอลฟ์ มีชื่อว่า [กองทัพแห่งความกล้า]
วิลเลียมได้ทดสอบความภักดีของผู้นำครึ่งเอลฟ์ และหลังจากที่ได้ผลอันเป็นพอใจแล้วเขาก็แต่งตั้งให้เขาเป็นผู้บัญชากองทหารของกองทัพแห่งความกล้า
ผู้นำครึ่งเอลฟ์คนนั้นเป็นนักรบเลเวล 61 มีสายเลือดระดับอีปิค เขาเลือกที่จะเข้าร่วมกับเมืองรุ่งอรุณ วิลเลียมจึงให้โอกาสเขาพิสูจน์ตนเอง
นอกจากกองทัพปกติแล้ว ยังมีทหารรับจ้างอีก 2800 นาย ในปัจจุบันยังใช้งานพวกเขาไม่มากนัก แต่ก็สามารถใช้งานเป็นหน่วยรบที่มีประโยชน์ได้ในเวลาที่ต้องการ
“เลเวล 55… ไม่ใช่ว่าต้องมีภารกิจมาให้ฉันทำหรอกหรือ?” วิลเลียมรู้สึกหดหู่ ในปีที่ผ่านมา เขาได้กวาดล้างชนเผ่าใกล้เคียงที่เป็นศัตรูไปทั้งหมดแล้ว ตราบใดที่มีภัยคุกคาม เขาก็จะนำทหารไปกวาดล้าง
ทำไปเพื่ออะไรล่ะ? ค่าประสบการณ์ไง!
หลังจากที่เมืองเขตใหม่เสร็จเรียบร้อย วิลเลียมก็ได้รับค่าประสบการณ์จำนวนมาก
แต่เลเวลของเขาเลื่อนไปเพียงเลเวล 55 เท่านั้น มันยังห่างไกลกับเลเวล 69 ที่ต้องการอีกมาก
เขาไม่กล้าไปหาภารกิจในอาณาจักรเหล็กและอาณาจักรลาวาดำ ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถปลอมตัวเข้าไปยังสองอาณาจักรนั้นได้
แต่สถานการณ์ของสองอาณาจักรนั้นตึงเครียดเกินไป เขากลัวจะไปสร้างปัญหาและก่อสงครามขึ้นระหว่างสองอาณาจักร มันจะไปทำลายแผนการของเขาซะเอง
“ฉันไม่มีทางเลือก ดูเหมือนว่าต้องรอให้เปิดเบต้าเสียก่อน จากนั้นจึงค่อยใช้คริสตัลของดันเจี้ยนส่วนตัวเพื่อเอาค่าประสบการณ์ ฉันจะหาภารกิจในการอัพเลเวลได้ยังไงกันนะ?” วิลเลียมลูบใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาไปมา NPCที่มีสายเลือดเหนือกว่าจะอัพเกรดเลเวลในอัตราที่เร็วขึ้นมาก
หากวิลเลียมไม่เลื่อนเลเวลของตน โบนัสจากค่าสถานะจะหมดลง
ในขณะที่เขาจมอยู่ในภาวะเศร้าซึม
เขาก็เห็นลอทเนอร์เดินเข้ามาด้วยความกรุ่นโกรธ!
วิลเลียมมองจนลอทเนอร์เดินมาถึงและพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “กองทหารสองกองจากป้อมปราการของอาณาจักรเหล็กเดินทางไปยังฝั่งตะวันออก ทูตของอาณาจักรเหล็ก ออกัสติน เป็นผู้นำกองทัพด้วยตนเอง”
“เขามีผู้ติดตามที่ทรงพลังมากมาย เขาจะต้องกำลังทำอะไรสักอย่างเป็นแน่!”
“อะไรนะ?” วิลเลียมเด้งตัวลุกขึ้นยืนอย่างลิงโลด
จากนั้นเขาก็หายใจเข้าลึกๆก่อนจะถามว่า “ใครเป็นคนพบ?”
“อเล็กซ์”
วิลเลียมหรี่ตาลงก่อนจะกล่าวว่า “แจ้งผู้บัญชาการทหารคนอื่นๆ ให้พวกเขาเตรียมทหารพรานและนักรบที่ดีที่สุด”
“เรียกมือสังหารทั้งหมดของอเล็กซ์ออกมา ถึงเวลาทำความสะอาดสัตว์ร้ายในเมืองแล้ว”
ศึกสังหารมังกร…
อยู่ไม่ไกลมากแล้ว...
ลงเฉพาะจันทร์-ศุกร์นะคะ