Dual Cultivation บทที่ 440: มันเป็นการสูญเปล่าหากฆ่าคนแบบเธอ (ฟรี)
Dual Cultivation บทที่ 440: มันเป็นการสูญเปล่าหากฆ่าคนแบบเธอ
“ข้าเข้าใจสถานการณ์และสามารถรับรู้ได้ว่าทำไมเจ้าจึงรู้สึกเป็นทุกข์ใจ” ซูหยางกล่าวไม่กี่อึดใจจากนั้น และเขาก็มองดูชินเหลียงหยูด้วยสีหน้าจริงจัง
“แน่นอนว่าข้ายินดีช่วยเจ้าในเรื่องทุกข์ใจของเจ้า อย่างไรก็ตามเอาให้ชัดเจนว่าเจ้าต้องการให้พวกเราช่วยจัดการกับชนเผ่าสิงโตอย่างไร เจ้าต้องการให้พวกเราขอให้ชนเผ่าสิงโตหยุดข่มเหงชนเผ่าอื่นด้วยวิธีการอันสันติ หรือว่าเจ้าต้องการให้ข้าสังหารทุกคนจากชนเผ่าสิงโตเพื่อที่ว่าพวกนั้นจะได้ไม่สามารถทำอันตรายชนเผ่าอื่นได้อีกต่อไป”
ซูหยางพูดด้วยแววตาน่ากลัว สายตาของเขาที่จ้องมองชินเหลียงหยูนั้นแหลมคมเหมือนกระบี่
“น-นั่น…” ชินเหลียงหยูผงะกับการตอบกลับของเขาจนพูดไม่ออก
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะเธอก็สามารถเค้นคำพูดออกมาได้สองสามคำจากลำคอ “ข-ข้าจักเชื่อในคำตัดสินของผู้อาวุโสซู อะไรก็ตามที่ท่านตัดสินใจทำ ข้าย่อมสนับสนุนโดยมิมีเงื่อนไข”
ได้ยินคำพูดของเธอ ซูหยางก็เผยรอยยิ้มและหันไปมองดูถังหลินชี
“เจ้าคิดว่าอย่างไร เราควรจะจัดการกับชนเผ่าสิงโตนี้อย่างไรดี” เขาถามความเห็นเธอ
“ถ้าเป็นข้า ง่ายๆข้าก็จักฆ่าพวกนั้นทิ้งทั้งหมด ในเมื่อนั่นย่อมเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและง่ายดายที่สุด” ถังหลินชีกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย ราวกับว่าเธอสามารถพรากชีวิตได้โดยไม่กระพริบตา
“แต่ทว่าเธอต้องการให้เจ้าช่วย และเจ้าก็เป็นคนที่ตัดสินใจที่จะช่วยเธอด้วยเช่นกัน ดังนั้นทางเลือกจึงขึ้นอยู่กับเจ้า”
ซูหยางพยักหน้าและหันไปยังชินเหลียงหยูและถามว่า “ความสามารถของพวกนั้นมีมากแค่ไหน พวกนั้นมีจอมยุทธในเขตราชันวิญญาณหรือไม่”
ชินเหลียงหยูรีบส่ายหน้าและกล่าวว่า “ชนเผ่าสิงโตมีนักรบเขตอัมพรวิญญาณเจ็ดคนและมีนักรบในเขตปฐพีวิญญาณประมาณสามสิบคน”
ซูหยางหลับตาลงครุ่นคิด
แม้ว่าจำนวนของคนพวกนั้นไม่ได้มากมายเท่ากับสำนักทั่วไปในทวีปตะวันออก พวกนั้นก็ชดเชยจำนวนด้วยการมีผู้ฝึกวิชาที่แข็งแกร่งเป็นจำนวนมากแทน บ้าไปแล้ว กระทั่งสำนักระดับสูงก็ไม่มีจอมยุทธเขตอัมพรวิญญาณมากมายปานนี้
ชั่วอึดใจเขาก็ลืมตาขึ้นและกล่าวว่า “ข้าเข้าใจแล้ว อย่างไรก็ตามก่อนที่ข้าจะช่วยเจ้าเรื่องชนเผ่าสิงโต ข้าต้องการที่จะดูว่าพวกนั้นทำไมจึงทำเช่นนั้น ข้าต้องการรู้เหตุผลสำหรับการที่พวกนั้นข่มเหงผู้อื่น”
“ท่านต้องการไปยังชนเผ่าสิงโตรึ” ชินเหลียงหยูมองดูเขาด้วยใบหน้าประหลาดใจ
ซูหยางพยักหน้า “เจ้าพอจะนำทางได้ไหม”
“อื้อ… ข้าจักพาท่านไป” ชินเหลียงหยูพยักหน้า
สองสามวันหลังจากนั้น ชินเหลียงหยูก็พาซูหยางและถังหลินชีไปถึงหมู่บ้านชนเผ่าสิงโต
“เหมือนกับว่ามิมีใครอยู่ที่นี่” ถังหลินชีกล่าวหลังจากที่รับรู้ว่ามีคนเพียงไม่กี่คนภายในหมู่บ้าน
“พวกนั้นหายไปไหนกัน” ชินเหลียงหยูรู้สึกถึงลางร้ายที่ก่อตัวอยู่ในอากาศเมื่อเธอรับรู้ถึงบรรยากาศอันหนักอึ้งในบริเวณนั้น ราวกับว่าเธอเดินเข้าไปในสนามรบที่มองไม่เห็น
“พวกเจ้าเป็นใครกัน และมีธุระอะไรที่นี่กับชนเผ่าสิงโต” สุดท้ายคนหนึ่งในบรรดาผู้คนที่อยู่ภายในหมู่บ้านก็สังเกตเห็นพวกเขาและตรงไปที่ประตูหมู่บ้าน
ชินเหลียงหยูมองดูซูหยางเมื่อเธอไม่ต้องการที่จะเปิดเผยตัวตนต่อหน้าฐานทัพศัตรู โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชนเผ่าสิงโตต้องการที่จะทำลายหมู่บ้านของพวกเธอ นั่นย่อมเปรียบเหมือนกับห่อตัวเองเป็นของขวัญส่งตรงไปยังประตูหน้าบ้านของศัตรูและบอกพวกนั้นให้ฆ่าเธอ
“ข้าชื่อซูหยาง เป็นนักท่องเที่ยวพเนจร ข้ามีธุระบางอย่างกับหัวหน้าของเจ้า เขาอยู่ที่นี่ในตอนนี้หรือไม่”
“...”
ยามมองดูซูหยางขึ้นๆลงๆและแค่นเสียงในใจด้วยความดูถูกหลังจากที่เห็นรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาของเขา
“หัวหน้ามิได้อยู่ที่นี่ในตอนนี้ เจ้าสามารถกลับมาได้ในภายหลัง”
“โอ เขาไปไหนกันล่ะ ข้ามีเรื่องเร่งด่วนกับเขาดังนั้นข้าจึงมิถือที่จะไปหาเขา” ซูหยางกล่าวด้วยท่าทางเยือกเย็น
“เสียใจ แต่ว่าหัวหน้าจักมิพูดกับเจ้าถึงแม้ว่าเจ้าจะหาเขาเจอ ไม่ว่าอย่างไรเขา…”
“ฮ-เฮ้ นั่นชินเหลียงหยู หัวหน้าชนเผ่าหมูป่ามิใช่รึ เธอมาทำอะไรที่นี่”
ก่อนที่ยามจะทันได้พูดจบ ยามอีกคนก็ตรงมาหาพวกเขาและเผยตัวตนของชินเหลียงหยู
“อะไรนะ หัวหน้าชนเผ่าหมูป่ารึ” ยามอีกคนรีบยกหอกในมือขึ้นชี้ไปทางเธอ
ไม่นานหลังจากนั้น ยามอีกสองสามคนก็ปรากฏตัวขึ้น และทุกคนต่างก็จ้องมองชินเหลียงหยูราวกับว่าเธอเป็นกระต่ายที่กำลังจะถูกล่า
“ฮ่าฮ่าฮ่า ใครจะคิดว่าหัวหน้าชนเผ่าหมูป่าจักยินดีมาที่ฐานของพวกเรา เห็นได้ว่าเธอมิต้องการที่จะมีชีวิตอยู่”
“จับเธอไว้ ครั้นเมื่อหัวหน้ากลับมา มั่นใจว่าเขาต้องยินดีอย่างแน่นอนที่เห็นเธอตกอยู่ในอุ้งมือของพวกเรา”
คนเจ็ดคนจากชนเผ่าสิงโตพลันล้อมชินเหลียงหยูและพวก
“เฮ้ สองคนนี้เป็นใครกัน และพวกเราควรจะทำอย่างไรกับพวกเขา” หนึ่งในนั้นกล่าวขณะที่เขามองดูซูหยางและถังหลินชี
“ข้ามิสนว่าพวกนี้เป็นใครกัน แต่ถ้าพวกนี้มากับชนเผ่าหมูป่า ฆ่าพวกมันซะ อย่างไรก็ตามปล่อยให้สาวสวยผิวขาวนั่นมีชีวิตก่อน ข้ามิเคยเห็นใครที่สวยเช่นเธอมาก่อน นั่นจะต้องเป็นความสูญเปล่าหากฆ่าคนแบบเธอโดยมิได้สนุกกับเธอก่อน”
ยามต่างพากันน้ำลายสอจากเพียงแค่คิดไปว่าได้ใช้มือสัมผัสผิวที่ดูเรียบเนียนของถังหลินชี เป็นธรรมดาที่พวกเขาไม่สามารถอดใจที่จะลิ้มลองร่างของเธอได้
“ช่างยุ่งยากนัก…” ซูหยางพึมพัมเสียงเรียบเฉย เห็นได้ชัดว่าไม่สะทกสะท้านกับสถานการณ์ของพวกตนเอง
“เราควรทำอย่างไรต่อไปในตอนนี้ ผู้อาวุโสซู” ชินเหลียงหยูถามขณะที่เธอขยับเข้าไปใกล้เขาทีละนิด
“เจ้าสามารถเริ่มจากหลับตาซะ” ซูหยางกล่าวกับเธอ
“หือ” ชินเหลียงหยูมองดูเขาด้วยสีหน้างุนงง
อย่างไรก็ตามก่อนที่เธอจะทันได้มีปฏิกิริยาใด กลิ่นอายอันน่าหวาดกลัวก็พลันพวยพุ่งออกมาจากร่างของถังหลินชีจนทำให้บรรยากาศที่นั่นเปลี่ยนเป็นหนักอึ้ง
“เจ้าพวกฝูงคนเถื่อนต่ำต้อยที่มิสมควรแม้จะเหลือบมองข้ากล้ามีความคิดหยาบช้าเช่นนั้นกับข้ารึ…” ถังหลินชีพึมพัมด้วยเสียงเย็นชา ท่าทางของเธอน่ากลัว
“ไปกับข้า” ซูหยางพลันจับข้อมือชินเหลียงหยูและกระโดดหนีห่างออกไปจากถังหลินชี
“ก-เกิดอะไรขึ้น ผู้อาวุโสซู” ชินเหลียงหยูถามเขาด้วยเสียงเป็นกังวล
“เอ้อ… มันกำลังจะเกิดการนองเลือดเล็กน้อยที่นี่” ซูหยางกล่าว
ทันทีที่เขาพูดถ้อยคำเหล่านั้นจบ ถังหลินชีก็ลงมือ