ตอนที่ 5 ทักษะหอกของอาจารย์หยางเจิ้ง
ตอนที่ 5 ทักษะหอกของอาจารย์หยางเจิ้ง
หยางเจิ้งเป็นผู้นำทาง ณ คืนเดือนมืด ผู้เดินทางกลุ่มนี้ได้เดินทางข้ามทุ่งหญ้า ข้ามภูเขา และเลี้ยวไปยังถนนสายหลักสายเดียวที่ใกล้กับคฤหาสน์ เมื่อพวกเขาก้าวเท้าไปอีกก้าวก็พบว่าตรงพื้นถนนนั้นเหมือนอีกโลกโดยสิ้นเชิง ที่พื้นต่างเต็มไปด้วยดินเหนียวและเศษหินหรืออิฐ หมิงเฉียงหวาดกลัวขึ้นมาทันที
ทว่ากู๋ชินเหวยเพิ่งจะตื่นได้ไม่เต็มที่เท่าไหร่จึงไม่ได้สังเกต การเดินทางในตอนกลางคืนเพื่อไปส่งพี่สาวแต่งงานยังอีกเมืองหนึ่ง และการได้รับดาบสั้นที่ตอนนี้เขาพกอยู่ที่เอวมันดูเหนือความเป็นจริงมาก จนกระทั่งท้องฟ้าเริ่มสว่าง เขาที่เพิ่งรู้สึกตื่นเต็มที่ได้เห็นว่าดวงอาทิตย์กำลังผุดขึ้นจากด้านหลังก็ทำให้พวกเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก
"อืม เราต้องมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตกกันหรือ?" ครอบครัวของพี่เขยหรือสามีในอนาคตของฮุยหลาน(พี่สาวของกู๋ชินเหวย) อยู่ที่เมืองในภาคกลางมิใช่หรือ พวกเขาจะต้องไปแต่งงานกันตั้งแต่ยังเด็กมาก พวกเขาควรจะมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันออกเพื่อเดินทางไปยังเมืองดังกล่าว
หยางเจิ้งพึมพำเล็กน้อยราวกับว่าคำถามของกู๋ชินเหวยไม่มีค่าพอที่จะตอบกลับ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดขึ้นมาว่า "เราจะต้องไปที่อาณาจักรชูอินกันก่อนและหลังจากนั้นทหารจะเป็นคนนำทางเราไปยังอาณาจักเทพหลวง"
"อาณาจักรชูอิน!!" กู๋ชินเหวยอุทานด้วยความตกใจ อาณาจักรชูอินคืออาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภาคตะวันตก ที่จริงแล้วคฤหาสน์ของตระกูลกู๋ก็อยู่ในอาณาจักรชูอินเช่นกัน ในเมืองหลวงของอาณาจักรชูอินนั้นค่อนข้างกว้างขวางและมีประชากรหนาแน่น อาณาจักรนี้เป็นหนึ่งในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในภาคตะวันตก กู๋ชินเหวยเคยได้ยินคำบอกเล่ามากมายเกี่ยวกับเมืองหลวงแห่งนี้ ทว่าเขาเองก็ไม่เคยได้ ได้แต่เดินทางผ่านตอนที่ย้ายมาอยู่ที่คฤหาสน์ของตระกูลกู๋เมื่อสองปีก่อน
กู๋หลุนเป็นนายทหารระดับสูงของอาณาจักเทพหลวงในภาคกลาง ซึ่งกู๋ชินเหวยก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจที่จะมีทหารมาคอยนำการเดินทางนี้ที่เมืองหลวงของอาณาจักรชูอิน เขาคิดเพียงว่าในตอนนี้ขบวนของพวกเขาคงไม่สง่างามเพียงพอ
แม่นางฮุยหลานที่นั่งอยู่บนหลังม้าดูเหมือนว่าจะไม่เห็นด้วยกับข้อตกลงนี้ กู๋ชินเหวยตื่นเต็มตาและเดินไปหาพี่สาวของตนพร้อมกับพูดเกี่ยวกับสิ่งที่น่าสนใจในอาณาจักรชูอินให้นางฟัง เขาดึงดาบสั้นขึ้นมาปัดแกว่งคล้ายกับปรมาจารย์ไม่มีผิด แม่นางฮุยหลานได้แต่นั่งเงียบ ๆ และคอยเตือนให้น้องชายของตนเล่นอย่างระมัดระวัง
นางคิดว่าตนอายุเยอะกว่าเขาเพียงสามปีเท่านั้น แต่แม่นางฮุยหลานมักจะคอยดูแลน้องชายจอมซนเหมือนแม่ไม่มีผิด
เนื่องจากการเดินทางนี้มีเด็กผู้หญิงสองคน การเดินทางจึงช้า ในตอนนี้ดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงสว่างจ้าแล้ว หยางเจิ้งไม่ต้องการให้มีการหยุดพักผ่อน แม่นางฮุยหลานและสาวใช้เริ่มรู้สึกเหนื่อยล้าแต่ก็จำเป็นจะต้องเดินทางต่อ ด้วยความที่กู๋ชินเหวยรู้สึกเป็นห่วงพี่สาวที่เหนื่อยล้าและตนเองก็ไม่สามารถทนต่อการตากแดดร้อน ๆ ได้อีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงตะโกนร้องเรียกน้ำและอาหาร
ทันใดนั้นก็มีเสียงกีบเท้าสัตว์แผ่วเบาก็ดังมาจากด้านหลังพวกเขา
หยางเจิ้งกระโดดลงจากม้าของตนทันทีและคอยฟังเสียงนั้นอย่างตั้งใจ เขาปลดหอกประจำตัวที่ตนเองถนัดมือออกจากกระเป๋าด้านขวาของม้า และยืนขวางกลางถนนมองดูแล้วเขาสง่างามมาก ๆ ผมสีขาวของเขาปลิวไสวไปตามสายลม
ทุกคนถอยไปยืนริมถนนยกเว้นกู๋ชินเหวย ผู้ที่มีสายตาเหมือยเหยี่ยว เขาดึงดาบสั้นออกมาและยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับหยางเจิ้ง
"ท่านพี่ไม่ต้องห่วงข้าจะปกป้องท่านเอง!"
"อย่ายืนขวางทางข้า ออกไป!" หยางเจิ้งยกหอกขึ้นและวางผลักกู๋ชินเหวยไปข้างหลังด้วยไม้หอก เขาค่อนข้างเป็นใหญ่ในตระกูลกู๋และมังจะพูดจาหรือกระทำตัวไม่สุภาพกับคนอื่น ๆ แต่ยกเว้นกับกู๋หลุน ซึ่งจริง ๆ แล้วกู๋ชินเหวยก็เหมือนลูกศิษย์เขาคนหนึ่ง
กู๋ชินเหวยพยายามโบกดาบสั้นของตนไปรอบ ๆ เพื่อต่อสู้และฆ่าศัตรู เขาเห็นฝุ่นฟุ้งมาแต่ไกล นั่นก็หมายความว่าผู้ที่คอยไล่ล่าเขาได้เดินทางมาถึงแล้ว
ชายชุดดำหยุดม้าของพวกเขาห่างจากกู๋ชินเหวยประมานยี่สิบก้าว และชักดาบออกมาพร้อมกัน
"คนตระกูลกู๋ควรกลับไปที่บ้าน" ชายชุดดำผู้ที่อยู่ตรงกลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็นราวกับเหล็กขึ้นสนิม
"ไม่มีใครต้องกลับไปทั้งนั้น" หยางเจิ้งยืนอยู่พร้อมถือหอกไว้ในมือ
คนในตระกูลกู๋มีความเฉี่ยวฉานวิชากังฟูกำลังภายในโดยใช้การต่อสู้ด้วยมีดดาบสั้นและหอก พวกเขามีทักษะที่ดีและการฝึกฝนที่ดี และความสามารถในการใช้หอกของหยางเจิ้งนั้นไม่น้อยหน้าใครและไม่กลัวว่าจะแพ้ศัตรู
ชายชุดดำที่อยู่ซ้ายมือสุดได้ขี่ม้าวิ่งเข้าไปหาหยางเจิ้งและตวัดดาบของเขาขึ้นมา
หยางเจิ้งชี้หอกขึ้นและแยกขาออกเล็กน้อยเช่นเดียวกับชาวนาที่ถือพลั่วเพื่อต่อสู้กับหมาป่าชั่วร้าย
เมื่อชายชุดดำเดินเข้ามาหาเขาพร้อมยกดาบขึ้นเพื่อหวังฟันให้หยางเจิ้งแหลกละเอียด จู่ ๆ หยางเจิ้งก็แทงหอกขึ้นทันที
การแทงนั้นเรียบง่ายและราบรื่นไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใด ๆ และมันก็ดูหลบหลีกได้ง่ายมาก ๆ แต่ชายคนนั้นก็ถูกแทงเข้าไปที่หน้าอกอยู่ดี ชายชุดดำคนนั้นตกลงมาที่พื้นขณะที่ม้าของเขายังคงวิ่งต่อไปและในที่สุดมันก็หยุด
นั่นจึงทำให้ม้าอีกทั้งสองตัวของชายชุดดำที่เหลืออยู่ถอยหลังออกไปโดยไม่สมัครใจ
กู๋ชินเหวยก้าวไปข้างหน้าอย่างตื่นเต้น เขาไม่คิดว่าอาจารย์ของเขาจะทรงพลังขนาดนี้และและปราดเปรียวเช่นนี้ เขาตกตะลึงกับทักษะหอกของตระกูลกู๋มาก ซึ่งหยางเจิ้งฝึกฝนการเคลื่อนไหวแบบเดิมทุก ๆ วันเป็นเวลาหลายปี และเขาไม่เคยฝึกการเคลื่อนไหวอื่น ๆ เลย กู๋ชินเหวยไม่เคยคาดคิดว่าการแทงที่แสนจะธรรมดามันจะทรงพลังขนาดนี้ ซึ่งตอนนี้เขารู้สึกชื่นชมในตัวของอาจารย์หยางเจิ้งและทักษะหอกของตระกูลกู๋มาก
ชายชุดดำทั้งสองคนที่เหลืออยู่ต่างจ้องมองซึ่งกันและกันจากนั้นก็ยกดาบขึ้นและขี่ม้าเข้ามาหาหยางเจิ้งพยายามจะโจมตีเขา
กู๋ชินเหวยก้าวไปข้างหน้าในขณะที่ตนเองพยายามทดสอบพลังของดาบสั้น แต่ในความเป็นจริงเขายังไม่เคยเรียนรู้วิชาดาบหรือทักษะอะไรเลย เขามีเพียงดาบสั้นชิ้นนี้ชิ้นเดียวเท่านั้น เขาไม่รู้ความแตกต่างระหว่างดาบและมีดสั้นด้วยซ้ำ
อีกครั้งที่หยางเจิ้งผลักกู๋ชินเหวยให้หลบไปให้พ้นทางแล้วใช้หอกชี้ไปยังผู้ร้ายทั้งสอง
การเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวก็เพียงพอแล้วกับการฆ่า! หยางเจิ้งหมกมุ่นอยู่กับวิถีกังฟูของตระกูลกู๋ที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานหลายทศวรรษ ไม่ว่าวันไหนจะฝนตก หรือหิมะตกเขาก็ไม่มีทางหยุดฝึกฝนการใช้หอกแทง ซึ่งเขาฝึกอย่างน้อยวันละพันครั้งและไม่เคยหยุด แม้ว่าจะดูเหมือนเป็นการเคลื่อนไหวธรรมดาในสายตาของคนอื่น แต่ในใจของเขาคิดแล้วคิดเล่าเป็นหมื่นครั้งว่าจะเคลื่อนไหวเช่นไร และการฝึกฝนที่บ่อยครั้งก็จะทำให้ทางเคลื่อนไหวนี้สวยงามมากยิ่งขึ้น
กู๋หลุดเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เขาใจในตัวของหยางเจิ้ง นอกจากนั้นกู๋หลุนยังเป็นคนสอนทักษะการใช้หอกนี้ให้แก่หยางเจิ้ง กู๋หลุนมักจะพูดว่า ทักษะการใช้หอกที่จำเพราะของตระกูลจำเป็นจะต้องเป็นคนที่สืบสายเลือดแท้ ๆ ของตระกูลกู๋เท่านั้นถึงจะทำได้ ซึ่งเขายอมสอนทักษะทุกอย่างให้หยางเจิ้งก็เพราะรักและเอ็นดู
ดังนั้นหยางเจิ้งจึงภักดีต่อตระกูลกู๋และสาบานว่าจะไม่ยอมให้นายน้อยทั้งสองคนนี้ได้รับอันตรายอะไรเด็ดขาด
ชายชุดดำสองคนมาถึงตัวเขาทันที
หยางเจิ้งแทงขึ้นไปสองครั้งอย่างรวดเร็วจนดูเหมือนว่าจโดนชายชุดดำทั้งสองคนในเวลาเดียวกัน
ชายชุดดำหนึ่งคนร่วงลงมาจากหลังม้าเงียบ ๆ แต่ชายอีกคนร้องกรี๊ดดังลั่นก่อนจะตกจากหลังม้าในที่สุด เขาเดินไปตบตูดม้าเพื่อให้มันวิ่งไปยังทิศตะวันตก
หยางเจิ้งหันไปรอบ ๆ และใช้มือหนึ่งยกหอกขึ้นแล้วขว้างไปไกลประมาณสามเมตร มันบินไปอย่างมั่นคงและรวดเร็ว
ห่างออกไปประมาณสามสิบเก้า หอกเล่มนั้นได้ปักไปที่หน้าอกของชายชุดดำจนทะลุ เขาล้มลงที่พื้นเหมือนกระสอบมันฝรั่ง
"อาจารย์หยางเจิ้ง!!" กู๋ชินเหวยอุทานด้วยความเคารพอย่างมีความสุข "ได้โปรดสอนทักษะหอกเหล่านั้นให้ข้าด้วย!"
"หากเจ้าขวางโดนเป้าหมายวันละ 500 ครั้งต่อวันเจ้าจะประสบความสำเร็จในสามปี หากเจ้าขวางโดนเป้าหมายวันละ 1000 ครั้งต่อวัน เจ้าจะเป็นเหมือนข้าภายในสิบปี"
"และมันจะดีที่สุดหากเจ้าฝึก 'พลังหยินและหยาง' และนั่นจะทำให้ข้าแข็งแกร่งภายขึ้นใน 10 ปี"
"ได้ขอรับ!" หยางเจิ้งเดินไปที่ศพพร้อมดึงหอกออกเพื่อเช็ดเลือด จากนั้นก็ขี่ม้าและรีบเดินทางต่อไป เขาไม่หันกลับไปมองศพหรืออะไรก็ตามแต่ที่นอนตายอยู่กลางถนน เขาทิ้งพวกมันเองไว้เช่นนั้น...