Chapter 147 - 148: กู้หนิงต้องการอะไร?, มีเรื่องที่ V5 Bar (ฟรี)
Chapter 147: กู้หนิงต้องการอะไร?
และวิธีที่กู้หนิงจะแก้แค้นก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเธอ
“แก…” ลี่เจินเจินหน้าถอดสี ร่างของเธอสั่นเบาๆ
ลี่เจินหยูสังเกตเห็นว่ากู้หนิงอยู่กับน้องสาวของเขา เขารู้ได้ทันทีว่าต้องมีเรื่องไม่ดีแน่ เขาเดินเข้าไปหาพวกเธออย่างไม่รีรอ
เมื่อเห็นลี่เจินหยูเดินเข้ามา กู้หนิงไม่อยากเสียเวลาจึงผละเดินจากไปทันที
“เจินเจิน เธอพูดอะไรกับน้อง?” ลี่เจินเจินดูหวาดกลัว ลี่เจินหยูเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“เธอบอกว่าน้องควรได้รับผลของสิ่งที่น้องทำกับเธอ” ลี่เจินเจินกล่าว เสียงของเธอสั่นสะท้าน
“บ้าเอ๊ย ยัยกู้หนิงบ้า! เธอต้องการอะไรกันแน่?” ลี่เจินหยูหมดความอดทน สิ่งที่ลี่เจินเจินทำกับเธอเรื่องก็ผ่านมาสักพักแล้ว แต่กู้หนิงก็ยังไม่ลงมือทำอะไรลี่เจินเจิน เธอเอาแต่ข่มขู่ลี่เจินเจินไปมาว่าเธอจะแก้แค้น กู้หนิงต้องการอะไรกันแน่?
ลี่เจินเจินและลี่เจินหยูไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้พ่อพวกเขารับทราบ พ่อของพวกเขาจะรู้เรื่องนี้ไม่ได้
งานเลี้ยงวันเกิดจบลงตอนสี่ทุ่ม กู้หนิงและเพื่อนจึงพากันกลับ
ฉินอี้ฟานอยากจะขับรถไปส่งกู้หนิง แต่ตอนนี้เขาไม่ว่างเลย ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้ฉินซีหุนเป็นคนไปส่งแทน
อ้ายยี่กลับบ้านพร้อมกับพ่อของเขา
ส่วนที่เหลือฮ่าวหรันและฉินซีหุนเป็นคนพาไปส่งบ้าน
กู้หนิงและหยูหมิงซีนั่งรถฮ่าวหรันกลับ ในขณะที่มู่เค่อ จางเทียนปิงและฉู่เพ่ยหานอยู่ในรถฉินซีหุน
“พี่สังเกตเห็นว่านายคุยกับเด็กสาวที่ชื่อกู้หนิงเกือบตลอดเวลา นายชอบเธอเหรอ?” ฉินอี้ฉิงเดินขนาบข้างฉินอี้ฟานเอ่ยปากถาม
ถึงแม้จะเป็นคำถามแต่ฉินอี้ฉิงรู้คำตอบแล้ว เธอเป็นพี่สาวฉินอี้ฟาน เธอรู้จักน้องชายตัวเองดี
ฉินอี้ฟานไม่ค่อยพูดถึงเพื่อนผู้หญิงมากนัก แม้แต้ลี่เจินเจินที่โตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ฉินอี้ฟานก็ยังสงวนท่าที
นอกจากนี้ฉินอี้ฟานมักเหลือบมองไปทางกู้หนิงเป็นครั้งคราว สายตาของเขาอ่อนโยนยามที่มองเธอซึ่งนั่นอธิบายทุกอย่างแล้ว
“ครับ” ฉินอี้ฟานไม่ปฏิเสธ ตอนนี้เขาไม่สามารถโกหกตัวเองได้แล้ว ใช่แล้ว เขาชอบกู้หนิง แต่ในสายตาเธอเขาเป็นแค่เพียงเพื่อนธรรมดาๆคนหนึ่ง ฉินอี้ฟานไม่รู้ว่าจะจีบกู้หนิงอย่างไรดี
“พี่ไม่เคยได้ยินชื่อตระกูลเศรษฐีตระกูลกู้มาก่อน” ฉินอี้ฉิงกล่าว เห็นได้ชัดว่าเธออยากได้น้องสะใภ้ที่มาจากตระกูลร่ำรวย
ฉินอี้ฟานไม่สบอารมณ์ขึ้นมา เขากล่าวด้วยน้ำเสียไม่พอใจ “ผมไม่สน”
“แต่ครอบครัวเราสน พวกเราไม่ได้หวังว่านายจะต้องแต่งกับผู้หญิงที่มีฐานะและอำนาจทัดเทียมกับเรา แต่ไม่ใช่ผู้หญิงที่ไหนก็ได้ พี่คิดว่าเจินเจินคือตัวเลือกที่ดีที่สุด” การที่ฉินอี้ฉิงพูดเช่นนี้ไม่ใช่เพราะเธอชอบลี่เจินเจิน แต่เธอรู้จักลี่เจินเจินมาตั้งแต่เด็ก สำหรับตอนนี้ลี่เจินเจินจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
“ผมเห็นลี่เจินเจินเป็นแค่น้องสาว ผมจะไม่แต่งงานกับเธอ เอาล่ะ พี่เลิกยุ่งกับชีวิตส่วนตัวผมได้แล้ว” ฉินอี้ฟานหมดความอดทน เขาไม่สนใจพี่สาวตัวเองอีกและหมุนตัวเดินกลับเข้าห้องตัวเองไป
ฉินอี้ฉิงปล่อยเขาไป ในเมื่อน้องชายไม่ฟังเธอ ทางเดียวคือต้องตกลงกับกู้หนิง ตระกูลฉินไม่มีวันอนุญาตให้เขาแต่งงานกับหญิงสาวธรรมดาได้
ลี่เจินเจินซ่อนตัวเองอยู่ไม่ไกลจากพวกเขา เธอได้ยินบทสนทนาระหว่างพี่น้องตระกูลฉินชัดแจ๋ว เธอสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ฉินอี้ฟานมีต่อกู้หนิงซึ่งเป็นสิ่งที่เธอยอมรับไม่ได้
ลี่เจินเจินเกลียดกู้หนิงเข้ากระดูกดำ เธอต้องการให้กู้หนิงหายสาบสูญไปซะเดี๋ยวนี้ แต่ตอนนี้เธอทำอะไรไม่ได้ ถ้าฉินอี้ฟานรู้เรื่องที่เธอทำ ความสัมพันธ์ของเธอกับเขาคงขาดสะบั้น
หยูหมิงซีเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนกลับบ้านเพราะเธอไม่รู้จะอธิบายให้พ่อของเธอฟังอย่างไร
ส่วนกู้หนิงไม่มีปัญหา เธอกลับบ้านพร้อมชุดที่ไปงานเลี้ยง กู้ม่านชมเธอไม่ขาดสาย
เมื่อกู้หนิงเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เธอได้รับข้อความจากฉินอี้ฟาน เขาส่งมาถามว่าเธอถึงบ้านรึยัง
กู้หนิงส่งข้อความกลับ “ฉันถึงบ้านแล้วค่ะ”
ฉินอี้ฟาน “ดีแล้ว”
อันที่จริงฉินอี้ฟานอยากจะพูดอะไรมากกว่านี้ แต่เขาไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร เขายังไม่กล้าบอกว่าเขาชอบเธอ
เวลาผ่านไปจนถึงวันศุกร์ กู้หนิงใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นกับกู้เซียวเซียวทำให้เฉินจื่อเหยาและจ้าวเฟยเฟยอยู่ห่างจากเธอ
สำหรับตอนนี้พวกเขาไม่กล้าทำให้กู้หนิงหงุดหงิด แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเธอจะเกลียดกู้หนิงน้อยลง
ในตอนบ่ายวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ฉินเจิ้งมาหากู้หนิง เขาต้องการคุยกับเธอแต่ถูกกู้หนิงปฏิเสธ
จางอี้หมิงและฝูหมิงเหลียงไม่เข้าใจว่าทำไมฉินเจิ้งถึงทำแบบนั้น พวกเขาถามฉินเจิ้งว่าเขาเกิดชอบกู้หนิงขึ้นมาแล้วจริงๆเหรอ ฉินเจิ้งไม่แน่ใจว่าเขาชอบเธอหรือเปล่า แต่เขารู้สึกเสียใจที่เลิกกับเธอ
บางทีเขาอาจชอบกู้หนิง เหตุผลเดียวที่ทำให้เขายังลังเลคือครอบครัวกู้หนิงยากจน แม้ว่าตอนนี้เขายอมรับทุกอย่างของกู้หนิง แต่เขาก็รู้ว่ากู้หนิงหมดความสนใจในตัวเขาแล้ว เธอเฉยเมยกับเขามากขึ้นเรื่อย ๆ
ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ยอมแพ้ ทำไมตอนที่พวกเขาอยู่ด้วยกันกู้หนิงถึงดูธรรมดามาก และเมื่อเลิกรากันไปแล้วจู่ๆเธอก็โดดเด่นมาก! ยิ่งเขาไม่สามารถยอมรับความจริงได้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งต้องการกู้หนิงมากขึ้นเท่านั้น
ในตอนเช้าฉู่เพ่ยหานบอกทุกคนว่าพี่ชายของเธอชวนพวกเขามาทานอาหารด้วยกัน
อันที่จริงเธออยากให้กู้หนิงประลองฝีมือกับฉู่ซวนเฟิน เธออยากรู้ว่าใครจะชนะ ฮ่าวหรันและคนอื่นๆเองก็อยากรู้เหมือนกันเพราะฉู่เพ่ยหานบอกว่าพี่ชายเธอเก่งมาก
สัปดาห์นี้กู้หนิงไม่มีแผนจะไปเมือง G เพราะยังไม่มีเรื่องที่เธอต้องลงมือจัดการเอง ทุกอย่างไปได้อย่างราบรื่น โจวเจิ้งหงบอกเธอว่าการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทเอกสารจะเรียบร้อยวันจันทร์หน้า
พวกเขาจ้างพนักงานทั้งหมดสิบคน ผู้จัดการร้าน พนักงานขายผู้หญิงห้าคน พนักงานชายบริการหลังการขายหนึ่งคน และออฟฟิศหนึ่งคน รวมถึงพนักงานรักษาความปลอดภัยอีกสองคน
พวกเขาให้เงินเดือนสูงและสวัสดิการดีเยี่ยม ดังนั้นจึงมีคนสนใจแห่มาสมัครกันอย่างเนืองแน่น ใช้เวลาไม่นานพวกเขาก็ได้พนักงานที่มีประสบการณ์
การตกแต่งร้านน่าจะเสร็จภายในสี่วันและพิธีเปิดในวันเสาร์หน้า สิ่งที่พวกเขาต้องทำในตอนนี้คือการโฆษณา
พวกเขาทำงานหามรุ่มหามค่ำเพื่อทำเครื่องประดับ เครื่องจักรได้ผลิตเครื่องประดับไปแล้วกว่าร้อยชิ้น
ส่วนการทำเครื่องประดับด้วยมือค่อนข้างใช้เวลามากกว่าเครื่องจักร เครื่องประดับที่ทำด้วยมือจะมีแค่สิบกว่าชิ้น
กู้หนิงบอกให้โจวเจิ้งหงโฆษณาหยกจักรพรรดิเป็นหลัก
พวกเขาทำการตลาดโดยใครมาก่อนได้ก่อน เพราะจำนวนลูกค้าถูกจำกัดเนื่องจากหยกมีจำกัด
Chapter 148: มีเรื่องที่ V5 Bar
ลูกค้าแต่ละรายสามารถจองได้หนึ่งชิ้นเท่านั้น หยกจักรพรรดิมีขนาดพอแค่สร้อยสี่เส้น แหวนสองวง จี้หยกและตุ้มหู
กู้หนิงไม่ได้หวังว่าจะมีลูกค้าหลายคนจองหยกจักรพรรดิ ราคาของมันค่อนข้างสูงเอาเรื่อง ใช่ว่าจะมีใครหลายคนสามารถซื้อมันได้หรือเต็มใจที่จะจ่ายเพื่อครอบครอง แต่ก็ยังถือว่าเป็นแผนการตลาดที่ดี
ในตอนบ่ายกู้ฉินหยางบอกกู้ฉินเซียงว่าเขาหาโรงเรียนได้แล้ว เป็นโรงเรียนธรรมดาอันดับสองในเมือง G กู้เซียวเซียวสามารถไปเรียนได้วันจันทร์
ถึงจะเป็นโรงเรียนอันดับสองกู้ฉินก็เซียงพอใจแล้ว กู้ฉินหยางถามกู้ฉินเซียงว่ากู้เซียวเซียวจะอยู่หอพักหรืออยู่นอกโรงเรียน ถ้าเธออยู่ข้างนอกก็จำเป็นต้องหาเช่าบ้านก่อน
การที่กู้ฉินหยางเลือกโรงเรียนอันดับสองเพราะมันอยู่ไกลจากบ้านของเขานั่นเอง กู้เซียวเซียวจะได้ไม่ต้องอาศัยอยู่ที่บ้านเขา
กู้ฉินเซียงไม่มีอารมณ์ที่จะจัดการเรื่องยุ่งยากตอนนี้ เขารู้จักนิสัยลูกสาวของเขา ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้น้องชายเป็นธุระจัดหาที่พักให้กู้เซียวเซียวอยู่ใกล้โรงเรียน เอาไว้เธอเข้ามหาวิทยาลัยแล้วเขาถึงจะซื้อบ้านให้เธอ
เมื่อคาบบ่ายจบลง ฉู่เพ่ยหานและเพื่อนๆพากันนั่งแท็กซี่ไปที่โรงแรมที่ฉู่ซวนเฟิงจองร้านอาหารเอาไว้ มันเป็นโรงแรมหรูระดับห้าดาวในเมือง
เมื่อพวกเขามาถึง ฉู่ซวนเฟิงนั่งรอพวกเขาอยู่แล้ว
เมื่อเห็นกู้หนิง ฉู่ซวนเฟิงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย เขาไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะกู้หนิงได้หรือเปล่า คงเป็นเรื่องน่าอับอายสุดๆถ้าเขาเกิดแพ้ขึ้นมา แต่เขาไม่อยากเป็นคนขี้คลาด ดังนั้นเขาจึงพยายามนิ่งและผ่อนคลายทั้งๆที่ไม่มั่นใจ
“ยินดีที่ได้เจอพวกเธอทุกคน! มาๆ นั่งลงๆ” ฉู่ซวนเฟิงกล่าวทักเหมือนเขาเป็นพี่ชายคนโตของกลุ่ม ไม่มีใครเชื่อว่าสุภาพบุรุษคนนี้เป็นรองประธานของแก๊งฉิง รูปลักษณ์ภายนอกของเขาตบตาทุกคนได้อย่างแนบเนียน
“ยินดีที่ได้พบครับ/ค่ะ พี่ฉู่!”
ทุกคนรู้ว่านี่คือพี่ชายของฉู่เพ่ยหาน ดังนั้นพวกเขาจึงเรียกเขาว่า ‘พี่ฉู่’
หลังจากที่ทุกคนนั่งเก้าอี้เรียบร้อยแล้วจึงเริ่มสั่งอาหาร
เมื่อบริกรจากไป ฮ่าวหรันจึงพูดขึ้นว่า “พี่ฉู่ เพ่ยหานบอกว่าพี่อยากจะสู้กับบอสของเรา ผมมั่นใจว่าพี่ต้องเก่งมากแน่ๆ! ผมยังไม่เคยเห็นบอสของเราแพ้ใครมาก่อน!”
ได้ยินแบบนั้นฉู่ซวนเฟิงรู้สึกกังวล เขารู้ว่ากู้หนิงแข่งแกร่งมากและตัวเขาเองไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะได้หรือเปล่า
“พี่ไม่ได้จะท้าแข่งกู้หนิงแค่อยากเรียนรู้จากเธอ” ฉู่ซวนเฟิงอธิบาย คำพูดของเขาดูถ่อมตน แต่อันที่จริงเพื่อรักษาหน้าเขาหากแพ้ขึ้นมา
“อย่ามายอฉันเลย ฉันเอาชนะพวกนายได้เพราะพวกนายมันอ่อนแอเอง แต่พี่ฉู่ไม่ใช่” กู้หนิงกล่าว ถึงแม้เธอจะมั่นใจ เธอก็ไม่สามารถหยิ่งผยองในตัวเองได้ อีกอย่างยังเร็วเกินไปที่จะคาดเดาผลลัพธ์
ฮ่าวหรันและคนอื่นหน้าเจื่อนที่กู้หนิงบอกว่าพวกเขานั้นอ่อนแอ แต่พวกเขาไม่โกรธเพราะมันคือเรื่องจริง
หลังจากนั้นพวกเขาก็พูดคุยกันอยู่สักพักใหญ่ๆ
เมื่อพวกเขารับประทานอาหารเสร็จ พวกเขาจึงพากันเคลื่อนไปสถานที่ที่ไม่มีคน กู้หนิงและฉู่ซวนเฟิงกำลังจะเริ่มประลองต่อสู้
แต่ขณะที่พวกเขากำลังจะออกจากโรงแรม ฮ่าวหรันรับสายจากผู้จัดการบาร์ V5 มีใครบางคนกำลังก่อเรื่องที่บาร์ของเขา ดังนั้นพวกเขาจึงเปลี่ยนแผนไปที่ V5 แทน
ที่ตั้งบาร์อยู่ในเมืองเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงใช้เวลาไม่นานพวกเขาก็มาถึง
ภายในบาร์ลูกค้าต่างพากันกลับไปแล้ว เสียงเพลงหยุดเล่นขณะที่ไฟยังคงเปิด มีคนอยู่สองกลุ่มยืนประชันหน้ากัน เก้าอี้และโต๊ะล้มระเนระนาด ขวดเหล้าเบียร์แตกกระจายบนพื้น
ดูเหมือนว่าคนที่ก่อเรื่องในร้านมีทั้งหมดประมาณยี่สิบคน ทุกคนถือท่อนเหล็กไว้ในมือ ไม่น่าจะใช่ลูกค้าทั่วไป
ส่วนฝ่ายตรงข้ามเป็นพนักงานร้านมีประมาณยี่สิบคนเช่นกัน แต่พวกเขามีสีหน้าหวาดกลัวฝ่ายตรงข้ามอย่างเห็นได้ชัด
ผู้จัดการบาร์ V5 เป็นชายหนุ่มวัยสามสิบ แม้ว่าเขาจะกลัวพวกนักเลงเขาก็ยังเปิดปากถามด้วยความโกรธ “พวกแกเป็นใคร? ทำไมต้องพังร้านของพวกเรา?”
“พวกแกไม่ต้องรู้หรอกว่าพวกเราเป็นใคร พวกเราแค่รับจ้างมา บาร์ของพวกแกชักจะดังเกินไปแล้วมีคนอยากให้มันถูกปิด” หัวหน้าของพวกนักเลงพูดขึ้น
ได้ยินแบบนั้นบรรดาพนักงานร้านไม่พอใจ นี่มันบ้าไปแล้ว! ทำไมต้องปิดเพราะบาร์ของพวกเขาดังเกินไป? คนที่จ้างพวกมันมาน่าไม่อายจริง!
“ถ้าพวกเราไม่ปิดล่ะ?” ผู้จัดการร้านกัดฟันพูด
“พวกเราก็จะมาก่อเรื่องที่บาร์นี้เรื่อยๆไงล่ะ ฉันไม่คิดว่าบาร์พวกแกจะยังเปิดต่อได้อีกหลังจากร้านพวกแกมีคนมาก่อเรื่อง” ตัวหัวหน้านักเลงยังคงพูดจาข่มขู่
“แก…” ผู้จัดการบาร์โกรธจัด “ไม่กลัวว่าพวกเราจะโทรเรียกตำรวจรึไง?”
“ตำรวจ? ฮ่า ฮ่า ถ้าพวกเรากลัวตำรวจคงไม่มาหรอก จะบอกให้อย่างนะ พวกเราเป็นคนของแก๊งอินทรีบิน ตำรวจยังต้องอยู่ห่างจากพวกเราเลยและสถานีตำรวจก็ยังมีคนของพวกเราอยู่” หัวหน้านักเลงกล่าวด้วยความภูมิใจ
แก๊งอินทรีบินเป็นแก๊งขนาดเล็กมีสมาชิกอยู่ราวๆสองร้อยคนซึ่งเทียบกับแก๊งฉิงไม่ได้เลย
เมื่อทุกคนได้ยินว่าพวกมันเป็นคนจากแก๊งอินทรีบิน พนักงานบาร์ V5 ต่างถอดใจ
“ถ้าพวกแกไม่อยากมีปัญหาใหญ่ก็ปิดบาร์พวกแกไปซะ! ไป พวกเรากลับกันเถอะ” หัวหน้านักเลงข่มขู่ก่อนจะเริ่มเดินจากไป
พวกเขาแค่ทำลายข้าวของไม่ได้จะมาทำร้ายคน
“จะกลับกันแล้วเหรอ? บาร์ V5 ไม่ใช่สถานที่ที่พวกแกคิดจะมาก็มาคิดจะไปก็ไปง่ายๆ”
ในขณะนั้นเสียงผู้ชายก็ดังขึ้นจากด้านนอก ฮ่าวหรันและพวกเดินเข้ามาข้างในร้าน
“พวกแกเข้ามาได้ยังไง?” เมื่อเห็นฮ่าวหรันและพวกเดินเข้ามา หัวหน้านักเลงก็แปลกใจ เขาทิ้งคนไว้เฝ้าประตูทางเข้าสองคน ทำไมถึงไม่มีใครมารายงานเขามีคนอื่นเข้ามาข้างใน
“อ้อ หมายถึงไอ้ขยะสองตัวข้างนอกน่ะเหรอ” น้ำเสียงฮ่าวหรันไม่สบอารมณ์
หัวหน้านักเลงไม่พอใจ คนของเขาที่เฝ้าอยู่ข้างนอกคงหยุดคนที่เข้ามาใหม่ไม่ได้
ฮ่าวหรันและพวกของเขาสวมชุดนักเรียน หัวหน้านักเลงจึงคิดว่าพวกเขาเป็นแค่เด็กนักเรียนธรรมดาๆ ดังนั้นเขาจึงตะเบ็งเสียงดังก้องว่า
“แล้วไง? พวกเราจะไปหรือจะมาก็ได้ตามใจ!”