บทที่ 49 ท้าสู้ศิษย์หลัก
บทที่ 49 ท้าสู้ศิษย์หลัก
เมื่อสิ้นสุดการประลองนั้น เนื่องจากความรุนแรงของการต่อสู้ ทำให้การประลองของกุนไท่ที่ต้องท้าสู้กับศิษย์หลักถูกเลื่อนออกไปอีกสิบวัน
กุนไท่ใช้เวลาส่วนมากในการบ่มเพาะ และยังคงพักผ่อน เพื่อไม่ให้เกิดตึงเครียดจากการบ่มเพาะ พลังจิตของชายหนุ่มเพิ่มมากในแต่ละวัน แต่การจะสามารถไปขั้นสองได้นั้น เป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก คาดไว้คงใช้เวลาเป็นปี
การต่อสู้แต่ละครั้ง จะทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น เพราะมีประสบการณ์ในการต่อสู้มากเท่าใดยิ่งมีกลยุทธ์ในการต่อสู่มากขึ้นเท่านั้น กุนไท่ต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการต่อสู้กับระดับผู้เชี่ยวชาญ
“ตอนนี้พลังบ่มเพาะก้าวหน้าขึ้นไม่น้อย ได้เวลาออกไปท้าสู้กับศิษย์หลักแล้ว”
กุนไท่กล่าวจบก็ออกไปจากบ้านพัก เพื่อไปท้าสู้กับศิษย์หลัก หลังจากต่อสู้จบเขาจะได้รับรางวัลจากการเป็นศิษย์สายในอันดับหนึ่ง แต่เขาไม่รู้เลยว่ารางวัลที่ว่านั่นมันคือสิ่งใดกันแน่
สถานที่ต่อสู้ยังคงเป็นลานกว้าง การต่อสู้ในครั้งนี้นั้นได้รับความสนใจจากใครหลายคน ไม่เว้นแม้กระทั่งคนจากภายนอก รวมถึงผู้มีชื่อเสียงมีหน้ามีตาที่ได้ร่วมเป็นสักขีพยานในการต่อสู้ครั้งนี้!
ชื่อเสียงของกุนไท่โด่งดังจนเกือบไปทั่วนิกายแล้ว ทำให้คนส่วนมากรู้จักเขา แต่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาเขาเลยสักครั้ง และในครั้งนี้พวกเขาจะได้เห็นรูปร่างหน้าตา และความแข็งแกร่งของเขาอีกด้วย มีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับกุนไท่ การที่ได้ดูด้วยตาตนเองเป็นการพิสูจน์ความจริงได้ดีที่สุด
แต่ขณะที่การต่อสู้จะเริ่มนั้น พลันบังเกิดเสียงอึกทึกครึกโครมดังขึ้นบนท้องฟ้า พร้อมกับปรากฏสายฟ้าสีดำเริงระบำไปทั่ว
“เกิดสิ่งใดขึ้น!” ผู้อาวุโสระดับสูงผู้หนึ่งสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบนน่านฟ้า
เปรี้ยงงง!
ค่ายกลของนิกายปริแตก พร้อมกับมีเรือรบขนาดใหญ่ลำหนึ่งผ่านช่องที่ปริแตกของค่ายกลเข้ามา!
รูปปั้นมังกรทั้งหกตัวที่คอยปกป้องนิกายนั้นพลันมีชีวิตขึ้นมา พวกมันทะยานร่างเข้าหาเรือรบด้วยความเกรี้ยวกราด!
โฮกกก!
มังกรทั้งหกตัวถูกลำแสงที่ปล่อยมาจากเรือลำนั้นพังทลายลงมาทันที ก่อนที่เศษซากที่แตกหักของมังกรทั้งหกตัวจะสูญสลายไป
“พวกเจ้าเป็นใคร? ช่างบังอาจนัก กล้าบุกนิกายฟ้าสวรรค์คำรามพิโรธ!”
ผู้นำนิกายปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับเสียงที่ทรงพลังทำให้ท้องฟ้า และอากาศถึงกลับต้องสั่นไหว
“ฮา ฮ่าๆๆ ตาเฒ่าหน้าโง่! จำข้าไม่ได้รึ?”
ทันใดนั้นมีร่างของชายชราที่สวมชุดเกราะสีทองขึ้น แรงกดดันของอีกฝ่ายนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้นำนิกายเลยแม้แต่น้อย!
“จางหยวน! นี่เจ้ากล้าพากองทัพชนเผ่าโลหิตอสูรของเจ้ามาทำสงครามกับข้าหรือ?”
ผู้นำนิกายกล่าวขึ้นด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเผยตัวออกมา
“ไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด!”
จางหยวนที่มีร่างกายเหมือนมนุษย์ครึ่งอสูรตอบกลับไป
“แล้วเจ้าต้องการสิ่งใด?”
“สิ่งที่ข้าต้องการมีเพียงศิษย์ของนิกายเจ้าเท่านั้น ข้าต้องการแค่คนเดียว และคนผู้นั้นคือ...กุนไท่!” จางหยวนกล่าวด้วยรอยยิ้มเหี้ยม
“ไร้สาระ! ใครจะเอาศิษย์ในนิกายให้เจ้ากัน หากผู้ใดรู้ว่าข้าผู้เป็นถึงผู้นำนิกายกระทำเช่นนั้น จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!”
“เช่นนั้นข้าก็จะแย่งชิงมาเอง! ทุกคนไปจับตัวเจ้าเด็กนั่นมา!”
จางหยวนคำรามลั่น กองทัพครึ่งอสูรจำนวนมากมันมีถึงหนึ่งแสนตน และทุกตนล้วนเป็นนักรบชั้นยอด!
เสียงคำรามของพวกครึ่งอสูรมากมายดังระงบไปทั่ว ทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน ศิษย์ที่มีระดับต่ำถึงกลับแก้วหูแตกตายไปหลายคน
เบื้องหลังของผู้นำนิกายปรากฏเหล่าผู้อาวุโสมากมายที่แข็งแกร่ง พวกเขาเข้าไปต่อสู้กับครึ่งอสูรเหล่านั้น เผ่าโลหิตอสูรนั้นขึ้นชื่อเรื่องความป่าเถื่อน และโหดร้าย!
พวกมันเป็นนักล่า และนักรบแต่กำเนิด พลังกายของพวกมันแข็งแกร่งมาก ทำให้มนุษย์ทั่วไปไม่สามารถจัดการพวกมันได้ พวกมันมีความแข็งแกร่งของสัตว์อสูร และมีความเฉลียวฉลาดของมนุษย์อีกด้วย
กุนไท่ในตอนนี้ได้รับการปกป้องจากอาจารย์ของเขาแล้ว ภายในเขตหวงห้ามของนิกายนั้นถือว่าปลอดภัยมากนัก ชายหนุ่มรู้สึกไม่ค่อยดีนักที่ต้องมาหลบอยู่ในนี้โดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้
เขานึกสงสัยว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงต้องการตัวเขา เขาเพียงคิดได้แค่ว่าอีกฝ่ายคงได้เห็นความสามารถของตนไป และคิดว่าเป็นภัยคุกคามขนาดใหญ่ ทำให้พวกมันคิดจะกำจัดเขาให้สิ้นซาก แต่อีกฝ่ายถึงกลับขนาดนำกองทัพมาเช่นนี้ ถือว่าเป็นการลงทุนจนเกินเหตุ!
ตูมมมม!
เสียงการต่อสู้ภายนอกยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เริ่มมีศพปรากฏขึ้นเรื่อยๆ ทำให้พื้นที่แห่งนี้จากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นขุมนรกไปเสียแล้ว
“ไป๋เสวี่ย ส่งเจ้าเด็กนั่นมาซะ!” เสียงที่แหบแห้งแต่ลึกลับดังขึ้นมา
ผู้พิทักษ์ปรากฏตัวขึ้นข้างนอกเขตหวงห้าม พร้อมกับเห็นครึ่งอสูรตนหนึ่ง มันมีรูปร่างสูงใหญ่กำยำ มีลักษณะที่แปลกประหลาด กลิ่นอายที่แผ่ออกมา แข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้พิทักษ์!
“ไม่ได้เจอเจ้านานเลยนะ ตาเฒ่าหวางมู่ สบายดีรึไม่? มาหาข้ามีเรื่องอันใดหรือ?” ผู้พิทักษ์ถามขึ้น
“อย่ามาทำเป็นแกล้งโง่ไปหน่อยเลย ส่งเจ้าเด็กนั่นมาซะ ถ้าไม่อย่างนั้นเราต้องสู้กัน!” หวางมู่ตอบเย้ยหยันพลางข่มขู่
“คิดว่าข้ากลัวหรือ? ใครก็แตะต้องศิษย์ของข้าไม่ได้!”
ผู้พิทักษ์เต็มไปด้วยความโกธร ใครกันที่จะกล้าเอาศิษย์ของตนเองให้ศัตรู หากนางทำเช่นนั้นนางยอมตายเสียดีกว่า!
“หึ! พูดดีๆไม่ชอบ ชอบให้ใช้กำลัง? ตาย!”
หวางมู่กล่าวด้วยความโหดเหี้ยม ใบหน้าที่แสดงความโกธรของมันนั้นยิ่งทำให้มันน่าเกลียดขึ้นไปอีก
พลังปราณสีดำที่น่าขนลุกพลันระเบิดออกมา พร้อมกับปล่อยหมัดที่อัดแน่นไปด้วยพลังมหาศาลซึ่งสามารถขยี้ทวีปหนึ่งได้ในพริบตา!
ผู้พิทักษ์ไป๋เสวี่ยจ้องมองไปที่หมัดนั้นอย่างไม่เกรงกลัว แววตาปรากฏความแข็งกร้าวขึ้น พลังปราณสีขาวบริสุทธิ์กระจายออกมา มันทำให้ผู้คนที่สูดดมนั้นรู้สึกสบายสดชื่น แต่มันกลับแฝงไปด้วยพลังอำนาจล้นฟ้า!
วิชาระดับจักรพรรดิ ขั้นต้น! เหมันต์รัตติกาล!