Ep.210 - เลเวล D ระดับราชันย์
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.210 - เลเวล D ระดับราชันย์
ที่แท้ ต้นตอของพลังงานที่ช่วยหล่อเลี้ยงให้เกิดสมุนไพรไผ่กลวงก็คือมันนี่เอง
ฉินเฟิงหยิบเกล็ดบนพื้นขึ้นมา
และเพียงสัมผัส เขาก็สามารถรับรู้ถึงพลังงานมหาศาลที่อยู่ภายใน
“ระดับราชันย์!”
กลายเป็นว่ามันคือสัตว์ร้ายทะเลขนาดใหญ่ระดับราชันย์!
แต่หากจะกล่าวกันด้วยเหตุผล ต่อให้ออกมาจากรอยแยกมิติในพื้นที่ที่ไม่มีน้ำ ระดับราชันย์สัตว์ร้ายก็ไม่น่าจะตายทันที โพรงหินในถ้ำแห่งนี้ย่อมไม่อาจขัดขวางมัน หากคิดหนี มันสามารถทำลายผนังหินรอบๆลงได้อย่างง่ายดาย
แต่ในไม่ช้า ฉินเฟิงก็ค้นพบคำตอบ กลายเป็นว่าในที่แห่งนี้มีร่างของราชันย์สัตว์ร้ายแค่ครึ่งหนึ่งตัว และอาจเป็นไปได้ด้วยซ้ำว่ามีแค่เฉพาะส่วนหางเท่านั้น
ขณะที่กระดูกเหนือขึ้นไป คล้ายจะถูกตัดออก
“มันถูกตัดโดยรอยแยกมิติ” ไป๋หลีเหมือนจะรู้ถึงความสงสัยของฉินเฟิง เธอเฉลยออกมา
ฉินเฟิงเอ่ยปาก “พอจะนึกภาพออกแล้ว”
นี่น่าจะเป็นในกรณีเดียวกับภูเขาพ่อแม่ลูก เมื่อรอยแยกมิติถูกปิดลง กองทัพซากศพที่กำลังทะลักออกมาไม่อาจมุดหนี หรือมุดกลับไปได้ทัน ถูกรอยแยกมิติตัดจนขาดครึ่ง
และบางทีราชันย์สัตว์ร้ายคงจะฉลาดกว่าตัวอื่นๆ หลังจากข้ามผ่านรอยแยกมิติ มันก็รู้สึกถึงความผิดปกติ และเร่งวกกลับทันที แต่รอยแยกมิติดันปิดลงอย่างกระทันหัน ตัดส่วนหางของมันทิ้งเอาไว้ทางฝั่งนี้
และหลังผ่านมานานหลายปี เนื้อหนังก็เหือดแห้งเหลือแต่กระดูก สุดท้ายมาตกอยู่ในมือของฉินเฟิง!
ฉินเฟิงบอกให้ไป๋หลีเก็บกระดูกใส่พื้นที่มิติ จากนั้นก็กวาดทรัพยากรทั้งหมดในถ้ำต่อ แต่เขาก็ไม่พบอะไรที่มีค่ามากไปกว่าหางของราชันสัตว์ร้ายทะเลอีก
อย่างไรก็ตาม เท่านี้ฉินเฟิงก็พอใจมากแล้ว!
เพราะด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา หากเผชิญหน้ากับราชันย์สัตว์ร้ายในเลเวล E ยังต้องระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก
ในขณะที่หากเผชิญหน้ากับราชันย์เลเวล D มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะชนะ
ดังนั้นชิ้นส่วนกระดูกสัตว์ร้ายทะเลชิ้นนี้ มันจึงมีค่ามากสำหรับเขา
ฉินเฟิงไม่คิดอยู่ที่นี่อีกต่อไป หลังจากเก็บกวาดจนเกลี้ยง เขาก็บอกให้ไป๋หลีพาตนออกจากถ้ำ
หลังจากออกจากถ้ำ ฉินเฟิงก็ได้ไปสำรวจปลายน้ำของธารเล็กๆนี้ เขาพบว่ารอบๆมันมีพืชพันธุ์เติบโตสูงใหญ่มากกว่าปกติ แต่สมุนไพรวิญญาณที่กระจัดกระจายอยู่แถวนั้นถูกถอนออกไปจนเหี้ยนแล้วโดยฝีมือของกองทัพทุ่งล่า
เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรพิเศษหลงเหลือให้เก็บเกี่ยวอีก ฉินเฟิงก็ขอให้ไป๋หลีพาตนเทเลพอร์ตกลับค่าย
…
วันต่อมา ฉินเฟิงตื่นขึ้นมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น และคนในกองทัพทุ่งล่าเองก็คงคาดไม่ถึงเหมือนกัน ว่าในค่ำคืนเดียว พวกเขาพลาดทรัพยากรที่ตีเป็นเม็ดเงินมหาศาล
เมื่อทำธุระส่วนตัวเสร็จ ฉินเฟิงก็ถูกเชิญให้เข้ามายังศูนย์บัญชาการของหยางซานหู รถศึกล่องเวหาเริ่มขับเคลื่อนอย่างรวดเร็ว ระหว่างเดินทางพวกเขาก็สนทนากัน
“เนื่องจากผู้ว่าการฉินกำลังจะไปเมืองไห่ในเร็วๆนี้ ดังนั้นฉันเลยตัดสินใจเปลี่ยนทิศทาง มันจะได้สะดวกต่อคุณเวลาจะไปที่นั่น”
หยางซานหูหยิบแผนที่ออกมา ฉินเฟิงชะโงกมอง และพบว่ามีบางตำแหน่งที่เขาทำเครื่องหมายเอาไว้
“ตำแหน่งที่อยู่ใกล้จากพวกเรามากที่สุด บริเวณนั้นมีเถาวัลย์กินคนอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ก็อุดมไปด้วยทรัพยากรเช่นกัน เนื่องจากมันปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์กินคน เลยมีสภาพแทบไม่ต่างจากสวนล่าใบไม้ผลิ ยากต่อการเข้าถึงด้วยวิธีปกติ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีการดำรงอยู่ของราชันย์ผึ้งทองคำเลเวล F ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้พวกเถาวัลย์บ้านี่ กองทัพของฉันคงสามารถผ่านเส้นทางนี้ไปได้ตั้งนานแล้ว!”
หยางซานหูเคยทดลองใช้เครื่องร่อนหรือพาหนะล่องเวหาบินเข้าไปก็จริง แต่ก็มีอุปสรรคขัดขวาง อย่างแรกเลยผู้ใช้พลังเลเวล E คนเดียวอย่างเขา มันยากที่จะต่อกรกับราชันย์เลเวล F อย่างที่สองเถาวัลย์กินคนมีฤทธิ์หลอนประสาทผู้คน ทำให้ทั้งบริเวณนั้นเต็มไปด้วยหมอกพิษ
เขาเลยทำได้เพียงยอมแพ้
หยางซานหูชี้ไปยังอีกตำแหน่งนึงและกล่าว
“ส่วนตรงนี้ ฉันสงสัยว่ามันคือภูเขาที่ผุดออกมาจากรอยแยกมิติ ภายในคงเต็มไปด้วยแร่และโลหะหายาก แต่น่าเสียดายที่มีฝูงสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่บนภูเขา เรียกกันว่ามนุษย์ผิวหิน!”
“ตำแหน่งนี้ มีฝูงควายเขาเงินอาศัยอยู่ และคุณเองน่าจะรู้ ว่าวัตถุดิบทั้งร่างกายของพวกมันมีค่ามาก เรียกได้เลยว่าเป็นขุมสมบัติ แต่ควายในฝูงมันจำนวนมากถึง 300 - 400 ตัว ฉันเลยไม่กล้าที่จะเข้าไปยั่วยุ หากกองทัพทุ่งล่าของพวกเราเปิดศึก เกรงว่าจะถูกพวกมันเหยียบย่ำจนแบน”
พิกัดทั้งสามที่หยางซานหูแนะนำ แต่ละส่วนครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ แต่นั่นไม่แปลกอะไร เพราะท่ามกลางทุ่งล่าน่ะอาจเผชิญอันตรายได้ตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อเจอพื้นที่เสี่ยง หากไม่มั่นใจว่าจะปลอดภัยจริงๆ พวกเขาจะไม่ทำการสำรวจอย่างละเอียด
และฟังจากคำพูดของหยางซานหู เห็นได้ชัดว่าทุกๆปีเขาต้องมาตรวจสอบมัน เพราะการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย อาจก่อให้เกิดภยันตรายต่อเมืองเฉิงเป่ยได้
สำหรับเมืองเฉิงเป่ย มันไม่ได้แค่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเฉิงหยางเฉยๆเท่านั้น แต่ในเวลาเดียวกัน ยังมีหน้าที่เป็นปราการด่านหน้า คอยสกัดกองทัพสัตว์ร้าย
หมายความว่าพวกเขาต้องเผชิญกับอันตรายในทุกๆปี ดังนั้นหน้าที่ลาดตระเวนในทุ่งล่าของหยางซานหูจึงสำคัญมาก
“ตกลง อุปสรรคในแต่ละพิกัดที่คุณว่ามา ไม่น่าจะเกินความสามารถผม”
“ดีล่ะ งั้นอันดับแรก พวกเราล่วงหน้าไปก่อนเลยแล้วกัน ส่วนกองทัพทุ่งล่าจะรับหน้าที่เก็บกวาดในภายหลังเอง”
“ตกลงตามนั้น!”
และแล้วภารกิจร่วมมือกันแบบวิน-วินก็ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการ!
…
แปดวันที่ผ่านมา ฉินเฟิงและคนอื่นๆบุกตะลุยไปตามสถานที่ต่างๆในทุ่งล่า
ปัจจุบัน ตำแหน่งที่เขาอยู่ค่อนข้างห่างไกลจากสถานชุมชนเฉิงเป่ย หรือให้อธิบายอีกแบบนึง ก็คือจำเป็นต้องใช้เวลาราวๆ 3 วัน จะเดินทางไปถึงสถานชุมชนเล็กๆแห่งใหม่ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้น
แน่นอน ว่าสถานชุมชนเล็กๆมิอาจล่วงรู้เลย ว่าหากไม่มีใครคิดลงมือทำอะไร ในอีกสามเดือนต่อมา ฝูงควายเขาเงินจะอพยพย้ายถิ่นฐาน ผ่านไปตามเส้นทางที่เมืองตั้งอยู่พอดี
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการเข้าแทรกแซงของฉินเฟิง ทำให้ต่อจากนี้ไป พวกเขาก็ไม่อาจทราบถึงเรื่องนี้ได้เหมือนเดิม!
ดวงอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตก ห่างออกไปไม่ไกลจากป่าทึบ ท่ามกลางทุ่งโล่งกว้าง เกิดเสียงปะทะฆ่าฟันดังขึ้นต่อเนื่อง
ร่างของฉินเฟิงในเวลานี้ท่วมไปด้วยเลือดสดๆ รอบกายเขาเต็มไปด้วยฝูงควายเขาเงินที่กำลังอาละวาดคลั่ง ทว่ายังมิอาจจับตำแหน่งของเขาได้
“ท่าร่างภูติพราย!”
ฉินเฟิงหลบเลี่ยงฝูงควายที่พยายามรุมล้อมเขา มีดกษัตริย์ครามในมือโบกสะบัดตลอดเวลา
ดาบเปลวเพลิงลุกโชติช่วง ทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า เพียงพริบตา ควายเขาเงินอีกตัวก็ถูกสังหารลง
การต่อสู้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่จำนวนฝูงควาย ยิ่งนานก็ยิ่งลดน้อยลง
การต่อสู้ในครั้งนี้ไม่อาจใช้ท่ามังกรไฟได้ เนื่องจากมันทรงพลังเกินไป จะทำลายวัตถุดิบเหล่านี้ ดังนั้นฉินเฟิงจึงใช้เพียงมีดกษัตริย์ครามเล่มเดียว
และโชคยังดี ที่มันมีเหล็กดาราผสานรวมอยู่ด้วย ส่งผลให้คมกล้าของใบมีด แม้เผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายเลเวล E ก็ยังสามารถตัดเฉือนมันได้
ตั้งแต่เริ่มการสังหารหมู่ ร่างของฉินเฟิงพร่ามัวเป็นเงาจนแทบไม่อาจจับตำแหน่งได้ เหตุการณ์นี้เหมือนกับก่อนหน้าที่เขาจะได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้งเลย : ตนต้องดิ้นรนต่อสู้ท่ามกลางฝูงสัตว์ร้ายนับไม่ถ้วน ไม่ยอมท้อถอยราวกับเรือที่ล่องอยู่กลางมรสุม ยืนหยัดดั่งแนวประการังที่ดื้อรั้น ไม่ยอมถูกทำลายลงภายใต้คลื่นอันโหดร้ายของท้องทะเล
ในที่สุด ท้องฟ้าก็เริ่มปกคลุมไปด้วยความมืดมิด ประสิทธิภาพในการต่อสู้ของฉินเฟิงก็เริ่มแข็งแกร่งขึ้น
“โอบกอดทมิฬ!”
อาศัยประโยชน์จากความมืด รูนมืดอันเข้มข้นกลืนไปกับมันยากจะสังเกตเห็น โถมปกคลุมไปตลอดทั้งพื้นที่ ลบประสาทสัมผัสทั้งห้าของฝูงควายเขาเงิน เปลี่ยนมันกลายเป็นลูกแกะที่รอขึ้นเขียง
พรวด!!
หัวของควายตัวใหญ่ถูกตัดออก ร่างมโหฬารของมันส่ายไปมา ก่อนจะทรุดลงกับพื้น
ฉินเฟิงโบกสะบัดมีดกษัตริย์ครามอีกครั้ง ตัดสะบั้นไปในอากาศ สลายโอบกอดทมิฬ
บริเวณโดยรอบเผยโฉมออกมา ---มันเต็มไปด้วยซากศพควายเขาเงิน!
ในป่าทึบที่ห่างออกไป หยางซานหูก้าวออกมา
“ผู้ว่าการฉินคุณได้รับบาดเจ็บรึเปล่า?” หยางซานหูแม้เป็นชายบึกบึนและแข็งแรง แต่เวลานี้เมื่อเผชิญกับฉินเฟิงที่มีสภาพท่วมไปด้วยเลือด แข้งขาของเขาก็อดสั่นไม่ได้
ฉินเฟิงเพิ่งเสร็จสิ้นการสังหารหมู่ ดังนั้นบนร่างกายเขาเลยยังปลดปล่อยกลิ่นอายสังหารออกมาอย่างต่อเนื่อง และมันทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัว
“ผมไม่เป็นไร แต่คงต้องขอตัวไปอาบน้ำก่อน รบกวนส่งคนมาเก็บกวาดด้วยนะครับ”
ฉินเฟิงเอ่ยปาก เดินมุ่งหน้าตรงไปยังแม่น้ำและ--
--ฟุ่ม!
ฉินเฟิงกระโจนลง เกิดคลื่นกระเพื่อมเป็นสาย ชะล้างคราบเลือดออกจากร่างกายเขา กลิ่นอายคุกรุ่นค่อยๆจางหาย ความผ่อนคลายเริ่มแทรกซึมเข้ามาแทนที่
เขาต่อสู้เป็นเวลาติดต่อกันกว่า 7 - 8 วัน บวกกับการเดินทางอย่างเร่งรีบ กล่าวได้เลยว่านับตั้งแต่กลับมาเกิดใหม่ นี่คือช่วงเวลาที่ฉินเฟิงต่อสู้อย่างบ้าคลั่งที่สุด
อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ที่บ้าคลั่งนี้ มันช่วยให้ความแข็งแกร่งทางกายภาพของฉินเฟิงยกระดับขึ้นได้เพียงขั้นเดียวเท่านั้น
“แค่นี้ยังไม่พอ แต่ก็ช่างมันเถอะ เพราะถึงเวลาเดินทางไปร่วมงานประมูลในเมืองไห่แล้ว!”
ฉินเฟิงคิด ในหัวใจของเขาเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้
กำลังภายในถูกควบรวม น้ำระเหยออกจากร่างกาย ฉินเฟิงกลับไปยังค่ายของกองทัพทุ่งล่า
เนื่องจากเกรงว่าจะเป็นการดึงดูดสัตว์ร้ายตัวอื่นๆเข้ามา คนในกองทัพจึงทำการชะล้างเลือด และขนย้ายศพของควายเขาเงินกว่า 300 ตัวไปอย่างรวดเร็ว โดยมีผู้ใช้อบิลิตี้ธาตุน้ำเลเวล F ในกองทัพทุ่งล่า เป็นคนจัดการขั้นสุดท้าย
หลังจากทำการเก็บกวาดตลอดทั้งคืน และสิ่งต่างๆถูกจัดสรรแบ่งปัน ฉินเฟิงก็ได้รับวัตถุดิบ 80% ของตัวเอง แต่บางส่วนมีปริมาณเกินไป อย่างเช่นเนื้อของควายเขาเงิน ดังนั้นเขาเลยรบกวนให้กองทัพทุ่งล่า ช่วยขนส่งพวกมันทั้งหมดไปยังสถานชุมชนเฟิงหลี …