ตอนที่ 39
ตอนที่ 39
เพียว เพียว
ตูม ตูม
การโจมตีของทหารยังคงยิงออกมาเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง
ทั้งหอกน้ำแข็ง หอกไฟ ต่างบินไปทิศที่ซูฮยอนยืนอยู่ แต่มีหรือที่เขาจะปล่อยให้ตัวเองโดนการโจมตีง่ายๆ เขายกดาบขึ้นมาแล้วโจมตีตอบโต้กลับไป จนหอกน้ำระเบิดออกมา
ซูฮยอนยกมือทั้ง 2 ข้างขึ้นมา แล้วป้องกันเศษออกหอกน้ำแข็งที่กระเด็นมาหาตัวเขา
แต่ทันใดนั้น คลื่นสัญญาณของ ลิชชี่ กลับอันตรธานไป
ดูเหมือนมันก็สัมผัสได้ถึงซูฮยอนด้วยเช่นกัน มันจึงชิงหนีไปก่อน
ซูฮยอนเงยหน้าขึ้นไปมองบนปราสาทอีกครั้ง
‘อืม...เจองานหยาบมาอีกแล้ว’
ลิชชี่ของชั้นที่ 20 มันแตกต่างกับลิชชี่ ในดันเจี้ยนหลายเท่า
เพราะลิชชี่ในดันเจี้ยนมันมีระดับความสามรถที่ต่ำมากๆ เหตุเป็นเพราะมันยังไม่ได้กลายเป็นลิชชี่อย่างสมบูรณ์
ซึ่งมันต่างกับครั้งนี้ เพราะว่าลิชชี่ที่อยู่ในชั้นที่ 20 มันมีอำนาจเหลือล้นจนเลยจินตนาการของผู้คนไปไกลโข
‘ลิชชี่บนชั้นที่ 20 งั้นเหรอ...’
การมีอยู่ของลิชชี่ อาจทำให้ชั้นที่ 20 เกิดการเปลี่ยนแปรงหลายอย่าง
ลิชชี่ มันคือมอนสเตอร์ที่มีสติปัญญาเป็นของมันเอง พวกมัน มีความรู้เรื่องเวทมนต์หลายแขนง
เมื่อลิชชี่สามารถใช้เวทมนต์ได้ มันจึงจัดเป็นตัวปัญหาอันดับต้นๆ ที่จัดการยากมากๆ
ซูฮยอนคิดว่าลิชชี่ของชั้นที่ 20 อาจจะยังไม่ใช่บอสประจำชั้น...
ถ้างั้น....
‘แสดงว่า เจ้าพวกลิชชี่กำลังทำอะไรบางอย่างอยู่สินะ’
ไม่แน่สิ่งที่ซูฮยอนคิดอยู่ อาจเป็นคีย์หลักสำคัญในการผ่านภารกิจครั้งนี้ก็ได้
‘ช่างเถอะ เลิกคิดเรื่องนี้ก่อน’
วุป
อยู่ๆร่างกายของซูฮยอนก็หายไปจากจุดเดิมแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
ทหารที่รับหน้าที่โจมตีด้วยเวทมนต์ เมื่อสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังชีวิตที่หายไป เขาจึงตะโกนแจ้งเตือนออกมาทันที
“เป้าหมายหายไปแล้ว”
“ควานหาตัวมันให้เจอเร็วเข้า”
แม้ทหารจะแบ่งกองกำลังออกไปค้นหามากมายแต่พวกเขาก็กลับมาอย่างมือเปล่า
ไม่ว่าจะค้นนานแค่ไหน พวกเขาก็ไม่เจอซูฮยอนเลยแม้แต่น้อย แม้แต่เงาก็ไม่เห็น
[เร้นเงา]
วุป
ร่างกายของซูฮยอนไปปรากฏตัวอยู่ใต้รูปปั้นทองสัมฤทธิ์
ในระยะไกลๆทหารหลายนายยังคงตามหาซูฮยอนกันให้จ้าละหวั่น
แต่หารู้ไม่ ซูฮยอนได้แอบเข้ามาให้ปราสาทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
‘ต้องรออีกหน่อย ถึงสกิลจะใช้ได้อีกครั้ง’
‘เร้นเงา’ เป็นสกิลที่เหมาะแก่การแทรกซึม
ซึ่งซูฮยอนซื้อมันมาจากชั้นที่ 15 เขาเสียคะแนนความสำเร็จไปเป็นจำนวนมาก กว่าจะได้มันมาครอบครอง
มันเป็นสกิลที่ ‘ผู้ตื่นขึ้น’ สายนักฆ่าชอบใช้กัน
เพราะขอแค่ระยะสายตาของผู้ใช้มองเห็นเงา ผู้ใช้ก็สามารถเคลื่อนย้ายได้ทันที
มันเป็นสกิลเคลื่อนย้ายที่มีประโยชน์มากๆสกินหนึ่ง
ถึงมันจะดี แต่มันก็มีข้อเสียเหมือนกัน
เพราะเงาที่ผู้ใช้จะแทรกซึมได้ ต้องใหญ่กว่าขนาดตัวของผู้ใช้
‘อืม...ฉันควรเพิ่มพูนความสามารถของสกิลดีไหมนะ’
สกิลเร้นเงามาอยู่แค่ระดับที่ 1 เท่านั้น เลยทำให้มันไม่สามารถใช้งานออกมาได้บ่อยนัก
‘หรือฉันควรปล่อยมันไว้ แล้วไปเพิ่มสามารถของสกิลอื่นแทน?’
‘อืม....ช่างเถอะ..เดียวค่อยคิดเรื่อนี้ที่หลัง’
‘พวกเขาไม่น่าจะหาฉันเจอหรอกนะ’
ซูฮยอนที่ยืนหลบอยู่หลังรูปปั้นทองสัมฤทธิ์ค่อยๆชะโงกหน้าออกไปตรวจสอบดู
เขาเห็นทหารหลายนายลาดตระเวนอยู่ทั่วพื้นที่
โชคดีที่พวกเขาหาซูฮยอนไม่เจอ แต่ถ้าซูฮยอนยังยืนอยู่จุดเดิมต่อไป มีหลังโดนพวกเขาเจอตัวแน่ๆ
[เร้นเงา]
ทันใดนั้น สายตาของซูฮยอนก็เห็นเงาไรบางอย่างจากระยะไกลๆ ทำให้ซูฮยอนสามารถใช้สกิลเร้นเงาออกมาได้อีกครั้ง
ด้วยเหตุนี้ ทำให้แผนการแทรกซึมเข้าสู่ปราสาทของซูฮยอนผ่านไปได้ด้วยดี
ข้างในปราสาท มันเต็มไปด้วยความว่างเปล่า มันไม่มีทหารเลยแม้แต่นายเดียว
ดูทาท่างนายทหารส่วนใหญ่จะถูกส่งออกไปข้างนอกจนหมด เพื่อป้องกันไม่ให้ซูฮฺยอนบุกรุกเข้ามาในปราสาทได้
ถึงแม้ซูฮยอนจะลักลอบเข้าปราสาทมาได้สำเร็จ แต่ข้างในมันก็เงียบเหงาจนวังเวงมันไม่มีอะไรผิดปกติเลยสักนิด
‘หืม..ก็ดูธรรมดา ไม่เห็นพิเศษตรงไหน’
‘ฉันจำเป็นต้องเดินสำรวจไหม?’
ขนาดปราสาทค่อนข้างใหญ่โต
มันเป็นเรื่องที่ยากมากๆ ที่จะสำรวจปราสาทให้หมดทุกซอกทุกมุมภายใน 1 วัน
‘ถ้างั้น...’
ซูฮยอนค่อยๆก้มหน้าของตัวเอง แล้วมามองพื้นของปราสาท
“คนที่มีลับลมคมในมักชอบอาศัยอยู่ใต้ดินกันสินะ”
ซูฮยอนเก็บกิ่งไม้ไว้ด้านหลัง และค่อยๆหยิบดาบแกรมขึ้นมาแทน
ทันใดนั้น...
บึม
เปลวเพลิงที่ร้อนแรงก็ลุกโชนขึ้นบนดาบแกรมของซูฮยอน มันเป็นเปลวเพลิงที่สวยงามจริงๆ.....
เขาจับดาบด้วยมือทั้ง 2 ข้าง ก่อนที่จะปักลงสู่พื้นปราสาทเต็มแรง
ฉึก ตูม
เมื่อดาบแกรมปักลงสู่พื้นของปราสาท มันก็เกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้น
พื้นปราสาทรอบๆเริ่มปริแตกแยกออกจากกัน บรรยากาศรอบๆตัวของซูฮยอนตอนนี้เต็มไปด้วยความร้อนแรงของสกิลที่เขาใช้ออกมา
ครืน ครืน
ทางเดินที่ซูฮยอนยืนอยู่เริ่มพังทลาย เศษหินชิ้นเล็กชิ้นน้อยร่วงหล่นเต็มทางเดินไปหมด
‘หึ ต่อให้ปราสาทแห่งนี้พังให้หมด มันก็ไม่มีความสำคัญกับฉันอยู่ดี’
เพื่อหาทางลัดลงไปข้างล่าง เขาไม่จำเป็นต้องสรรหาวิธีอะไรให้ยุ่งยาก
โคร่ม
พื้นของปราสาทเริ่มทนต่อพลังเวทย์ของซูฮยอนไม่ไหว ในที่สุดมันก็พังลงไปด้านล่าง
ซูฮยอนค่อยๆไต่ลงไปข้างล่างอย่างระมัดระวัง
เมื่อใช้สายตามองดู เขาก็เห็นพลังงานที่ชั่วร้ายลอยอยู่เต็มไปหมด
“บิงโก”
เมื่อมาเจอปราสาทนี้ครั้งแรก ซูฮยอนก็คิดอยู่แล้วว่ามันต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ
ซูฮยอนกังวลว่าพวกมันอาจซ่อนอะไรบางอย่างไว้ในที่มิดชิด แต่ดูเหมือนเขาจะคิดผิด เพราะมันหาเจอง่ายเหลือเกิน
‘อันที่จริงถ้าฉันลงมือทำตั้งนาน ฉันอาจเจอสถานที่แห่งนี้ไปแล้วก็ได้ ฉันไม่น่าคิดมากเลย’
ความจริงการใช้สมองและร่างกาย แทนการใช้พละกำลังเพียงอย่างเดี่ยว มันเป็นเรื่องที่ดีมากๆ
เพราะถ้าคุณบุกเข้าไปโดนไม่รู้อะไรเลย คุณอาจกลายเป็นศพไปนานแล้วก็ได้..........
เมื่อซูฮยอนมั่นใจว่า ข้างล่างน่าจะปล่อยภัย เขาก็ปล่อยตัวทิ้งลงมาอย่างรวดเร็ว
หวืด
ในขณะที่ขาของซูฮยอนสัมผัสกับพื้น ลำแสงสีดำที่ไม่ทราบที่มา ก็พุ่งตรงไปโจมตีเขาทันที
ซูฮยอนกระโดดขึ้นไปบนอากาศเพื่อหลบลำแสงนั้น
เมื่อหลบพ้น เขาก็ปล่อยพลังเปลวเพลิงให้ออกมาจากดาบ แล้วทำการโจมตีส่วนกลับไป
ปัง ปัง
พลังของเปลวเพลิงเข้าไปปะทะกับลำแสงสีดำอย่างจัง
ซูฮยอนหาที่ปล่อยภัยแล้วโฟกัส สายตา ไปต้นทางที่พลังถูกปล่อยออกมา
“ข้าก็คิดว่าหนูที่ไหนมาเดินเพ่นพ่าน ที่แท้ก็เด็กเมื่อวานซืนนี้เอง”
เสียงที่แหบพร่าที่ส่งออกมาจากมุมมืด
แต่เสียงที่พูดออกมากลับไม่เหมือน ลิชชี่ เลยสักนิด มันคงใช้เวทมนต์เพื่อเปลี่ยนเสียงของมัน
“แกมีเป้าหมายอะไรกันแน่”ซูฮยอนถามออกไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ตอนนี้ซูฮยอนรู้แล้วว่า ลิชชี่ มีเกี่ยวข้องอะไรบางอย่างกับปราสาทแห่งนี้
แต่สิ่งที่เขาไม่เข้าใจคือ เจ้าลิชชี่มันมีเป้าหมายเป็นอะไรกันแน่.....
ถ้าเป็นไปได้ซูฮยอนหวังว่าจะได้ข้อมูลบางอย่างจากปากของมัน แค่นิดเดียวก็ยังดี
“ทำไมข้าต้องบอกแกด้วย ในเมื่ออีกไม่นานแกก็ตายแล้ว”
“ทำไมโหดร้ายจัง ทำไมพวกเราไม่ลองมาเจรจากันก่อนละ เพื่อพวกเรามีเป้าหมายเดียวกัน พวกเราจะได้ร่วมมือกันไง”
ลิชชี่เริ่มรวบรวมพลังเวทย์เอาไว้ในมือเพื่อเตรียมโจมตี แต่ซูฮยอนกลับเสมอวิธีพูดคุยกันแทน
ซึ่งประโยคที่ซูฮยอนพูดออกมา มันค่อยข้างโน้มน้าวจิตใจของผู้คนได้เสมอ
ไม่ว่ายังไง พวกลิชชี่ก็ทำทุกวิถีทาง เพื่อให้เป้าหมายของมันสําเร็จลุล่วง
จะดีกว่าไหม....ถ้าได้คนที่แข็งแกร่ง อีกคนไปเป็นพวกด้วย
ซูฮยอนเชื่อว่าอย่างน้อย ลิชชี่ก็ต้องไตร่ตรองดูบาง
อย่างไรก็ตาม..
“ไม่..ข้าไม่เชื่อใจเจ้า”ลิชชี่ตอบอย่างหนักแน่น
“เหตุผลล่ะ”
“เพราะพลังที่แกใช้”
ลิชชี่เลิกเสื้อฮู้ขึ้น จนเผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของมัน
มันชี้นิ้วไปทางซูฮยอนแล้วพูดต่อ
“พลังของแก เป็นปรปักษ์กับพลังของพวกเรา”
“โห้...ขนาดนั้นเลย?”
เปลวเพลิงของซูฮยอน เป็นปัญหากับมันโดยเฉพาะ
ธรรชาติของเปลวเพลิงก็มีลักษณะคล้ายๆกับแสงสว่าง
มันเลยทำให้พลังของซูฮยอนขัดกับพลังของลิชชี่
ซึ่งมันก็เหมือนกับแสงสว่างและความมืดที่ไม่อาจอยู่รวมกันได้
ลิชชี่มองซูฮยอนด้วยความเหยียดหยาม
“น่าเสียดายจัง”
บึม
ซูฮยอนปลดปล่อยเปลวเพลิงออกมา ก่อนที่มันจะพันรอบๆตัวของเขาและลิชชี่
ไม่นานอุณหภูมิในปราสาทก็ร้อนขึ้น
ด้วยพลังเปลวเพลิง ทำให้ลิชชี่ต้องกระโดดถอยหลังออกไป แล้วเรียกพลังแห่งความมืดขึ้นมาเพื่อปกป้องร่างกายจากความร้อน
“ถ้างั้น ผมของจัดการแกก่อนก็แล้วกัน”
เมื่อซูฮยอนพูดจบ เขาก็เข้าประชิดตัวลิชชี่อีกครั้ง
ด้วยพลังเปลวเพลิงของซูยอน ทำให้ลิชชี่ได้แต่ถอยหนีไปเรื่อยๆเท่านั่น
แต่ทันใดนั้น อยู่ๆมันก็หยุดอยู่กับที่ แล้วกล้าเผชิญหน้ากับซูฮยอนโดยตรง
“แกคิดว่า ข้ามีคนเดียวหรือไง”
พรึ่บ พรึ่บ
ข้างใต้ของพื้นดิน มีบุรุษชุดดำโผล่ขึ้นมาอีก 3 ตัว
เมื่อเห็นดังนั้นซูฮยอนก็แสดงสีหน้าสับสนออกมา เพราะทั้ง 3 ตัวมีออร่าที่เหมือนกันเป๊ะๆ
‘เรื่องราวต่างๆมันชักจะเริ่มซับซ้อนขึ้นแล้วเฮะ’
ลิชชี่ไม่ได้มีเพียง 1 ตัว แต่กลับมีเพิ่มมาอีก 3 ตัว...
คลืน คลืน
ปราสาทเริ่มเกิดการสั่นสะเทือนอีกครั้ง..............
***********************************
ความร้อนแรงของเปลวเพลิง ร้อนระอุจนทะลุออกไปด้านนอกของปราสาท
เมื่อแม็กซ์แมนสัมผัสได้ถึงรัศมีความร้อน เขาก็สั่งให้ทหารทุกนายหยุดอยู่กันทีก่อน
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่...”
‘อย่าบอกนะว่าผู้บุกรุก ได้แอบเข้าในปราสาทแล้ว?’
แค่เขาเพียงคนเดียวก็กำราบทหารนับพันนายได้
แค่เขาเพียงคนเดียวก็สามารถทำลายประตูที่แข็งแกร่งลงได้
แค่เขาเพียงคนเดียวก็สามารถต่อต้านการโจมตีของทหารเวทมนต์ได้
เขาเป็นปีศาจหรือไง
แม้แม็กซ์แมนจะอยู่ในสมรภูมิมาหลายสิบปี แต่เขาก็ไม่เคยเจอปีศาจแบบนี้มาก่อน
ฉะนั้น แม็กซ์แมนต้องทำทุกวิธีทางเพื่อหยุดเขาให้ได้
ถ้าหากผู้บุกรุกเข้าไปในปราสาทแล้วจริงๆ พวกเขาก็ไม่สามารถข่มตาหลับลงได้
แต่ทว่า....
‘ผู้บุกรุกตกลงเป็นศัตรูกับพวกเขาจริงหรือป่าว?’
แม็กซ์แมนแปลกใจจริงๆที่รับได้รายงายความเสียหายจากทหารชั้นผู้น้อย ว่าไม่มีทหารบาดเจ็บล้มตายเลยแม้แต่นายเดียว
พอมาลองคิดดูดีๆผู้บุกรุกไม่ได้ถือดาบเข้าปะทะ แค่กลับใช้กิ่งไม้เล็กๆเข้าโจมตีแทน
แน่นอน..ถ้าเขาอยากฆ่าทหารด้วยกิ่งไม้ เขาก็สามารถทำได้
เพราะเขามีสกิลที่ตัดได้แม้กระทั่งประตูเหล็ก นับประสาอะไรกับร่างกายของมนุษย์
แต่ถึงอย่างนั้น...ผู้บุกรุกกลับไม่ทำ
ซึ่งหมายความว่าเขาพยายามหลีกเสียงการฆ่าฟัน
‘แต่ทำไมกัน...?’
แม็กซ์แมนไม่สามารถเข้าใจได้เลยจริงๆ
แม้แม็กซ์แมนจะดูสับสน แต่เขาก็เริ่มเอะใจอะไรบางอย่าง
‘ต้องมีเรื่องอะไรบ้างอย่างเกิดขึ้นแน่ๆ’
ความรู้สึกอันตรายและหวาดระแวงไม่ได้เกิดขึ้นจากผู้บุกรุกอีกต่อไป เพราะผู้บุกรุกไม่ได้มีเจตนาสังหารทหารชั้นผู้น้อยของเขา
แม้เด็กคนนั้นจะเป็นผู้บุกรุกก็จริง แต่แม็กซ์แมนเริ่มคิดแล้วว่า เด็กคนนั้นอาจไม่ใช้ศัตรูจริงๆก็ได้
เพราะการโจมตีของเขาหลีกเลี่ยงจุดตายของทหารแทบทั้งสิ้น
‘ถ้างั้น...ความรู้สึกไม่สบายใจ เกิดจากอะไรกันแน่?”
“หัวหน้า!”
เมื่อได้ยินเสียงเรียกจากนายทหาร แม็กซ์แมนก็ค่อยๆหันหน้าไป
“กระผมตรวจจับสัญญาณได้จากในปราสาท กระผมคิดว่ามันน่าจะเข้าไปในปราสาทเรียบแล้วขอรับ”
“อืม..แล้วรู้ตำแหน่งของมันไหม”
“มันอยู่ชั้นใต้ดินขอรับ”
“ไปรวบรวมกำลังผลของทหารและทหารรับจ้างมาเดี๋ยวนี้...ไม่เดี๋ยวก่อน..”
แมกซ์แมนสายหัวแล้วออกคำสั่งใหม่
“เลือกเฉพาะคนที่ยังขยับร่างกายไหวก็พอ ข้าจะไปกับพวกเขาด้วย”
*****************************
ตูม ตูม
ซูฮยอนโดนสกิลของลิชชี่ จนร่างกายของเขากระเด็นไปกระแทกกับผนังของชั้นใต้ดิน
“น่าโมโหเป็นบ้า...”ซูฮยอนลุกขึ้นแล้วหันไปมองรอบๆ
เขาเห็นลิชชี่ 1 ตัว ที่ยืนอยู่ห่างไกลจากตัวอื่นๆ กำลังยื่นมือออกมาเพื่อร่ายคาถาอะไรสักอย่าง.....
วุป
ดูเหมือนพวกมันจะแอบเตรียมตัวกันมานาน เพราะพลังเวทย์ของพวกมัน เริ่มก่อตัวกันจนมีขนาดใหญ่ขึ้น
มันเป็นประเภทเวทมนต์ที่ซูฮยอนคุ้นเคยเป็นอย่างดี
‘พระแสงความมืดแห่งการชี้นำ’
มันเป็นเวทมนต์แห่งความมืดที่มีอนุภาพร้ายแรง มันสามารถปลิดชีพศัตรูได้อย่างง่ายดาย
เปลวเพลิงทั่วๆไป ไม่สามารถยับยั้งมันได้พลังของมันได้
“เวรจริงๆ”
บึม
เปลวเพลิงบนดาบของซูฮยอนจากสีแดงฉาน อยู่ๆก็กลายเป็นสีครามที่สดใส่
ซูฮยอนเหวี่ยงดาบออกไปด้านหน้า
ฉึก
ในที่สุด ม่านพลังของ ‘พระแสงความมืดแห่งการชี้นำ’ ก็แยกออกจากกัน จนสุดท้ายร่างกายของลิชชี่ที่กำลังร่ายคาถาอยู่ก็เผยออกมา
“เพื่อการชี้นำ..”
เสียงของลิชชี่ที่ร่ายคาถาอยู่เริ่มเกิดการสั่นคลอนและหวั่นเกรง
เมื่อเห็นดังนั้น ลิชชี่อีก 3 ตัว ก็กระโจนมาล้อมตัวของซูฮยอนทันที
“ฟู่...”ซูฮยอนถอนหายใจออกมา
ถ้าซูฮยอนรู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เขาคงรีบปิดฉากไปนานแล้ว
‘เฮ้อ ไม่น่าประมาทเลยเรา’
ดูท่าทางซูฮยอนต้องเปิดไผ่ตายให้มืออีกใบ
‘ฉันไม่อยากใช้มันเลย ให้ตายเถอะ’
คลื่น คลื่น
อยู่แขนของซูฮยอนก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เกล็ดที่โผล่ขึ้นมาจากผิวหนังเริ่มปกคลุมอย่างช้าๆ
เมื่อแขนทั้ง 2 ข้าง ถูกเกล็ดปริศนาปกคลุมจนหมด แววตาของซูฮยอนก็ค่อยๆเปลี่ยนสีไปจนคล้ายๆกับแววตาอสุรกายกระหายเลือด ความรู้สึกและการรับรู้ของซูฮยอน ถูกอัพเกรดขึ้นไปอีกขั้น
“ในเมื่อไม่มีทางเลือก ฉันก็จำเป็นต้องใช้มัน”
[สกิลจำแลง : อิมูกิ ]
ปล. อิมูกิ คือมังกรของเกาหลี