ตอนที่ 115 ค้างคาใจ
เหนือภพจ้องมองหน้าตาของวานรยักษ์ตัวนี้ให้ชัด ๆ ลักษณะรูปร่างขนาดของมันเหมือนกับวานรยักษ์ที่เขาเจอเมื่อคืนไม่ผิด แต่ช่วงเอวของวานรยักษ์ตัวนี้กลับไม่มีร่องรอยของบาดแผลที่เกิดจากดาบแส้ของเขา เหนือภพจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของมัน แม้มันจะมีดวงตาสีแดงฉานเหมือนกัน แต่กลับให้ความรู้สึกที่ต่างกัน ในแววตาของวานรยักษ์ตัวนี้มีแต่ความหวาดกลัวยำเกรง แต่ในแววตาของวานรยักษ์ตัวเมื่อคืนนั้นเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ชิงชัง แม้เหนือภพจะฉุกใจในความแตกต่างนี้ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“โห พี่ภพ พี่เก่งสุด ๆ ไปเลย ในที่สุดพวกเราก็จัดการสัตว์อสูรตัวนี้ได้สักที”
“พวกเอ็งจะเอายังไงกับมัน”
พรานบุญถาม ขณะดึงอุ้งเท้าวานรขึ้นมาดู
“คงต้องเอากลับหมู่บ้านเพื่อให้ผู้ว่าจ้างยืนยันภารกิจ”
“แล้วก็จะฆ่ามันรึไง”
พรานบุญถามย้ำอีกครั้ง เหนือภพสังเกตเห็นท่าทางแปลก ๆ ของพรานบุญ แต่เขาก็ตอบกลับไปตามปกติ
“จะให้พากลับไปทั้งตัวแบบนี้ คงได้แตกตื่นทั้งหมู่บ้านแน่ เอาแค่หัวมันก็พอ ทิวจัดการเลย”
“ครับพี่”
ทิวชักดาบของตัวเองออกจากปลอกผนึกปราณอาคม เพื่อเตรียมสังหารวานรยักษ์ ทว่าพรานบุญกลับขัดขวางเอาไว้เสียก่อน
“ฆ่าไม่ได้เด็ดขาด ถ้าเจ้าฆ่ามัน ราชาวานรคงได้พิโรธอีกแน่ พวกเอ็งจะทำอะไรก็ทำ ข้าไม่สน แต่อย่าได้สร้างความเดือดร้อนให้พวกข้า”
ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือเพราะอะไร สิ้นเสียงของพรานบุญก็เกิดมีเสียงของบรรดาลิงในป่าดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกันอย่างต่อเนื่อง ฟังดูฮึกเหิมทรงพลัง เจี๊ยก ค่อก ๆ เจี๊ยก ค่อก ๆ สนั่นป่า มันดังอยู่รอบกลุ่มของเหนือภพ เพื่อแสดงตัวว่าในตอนนี้พวกมันล้อมพวกมนุษย์เอาไว้หมดแล้ว
เหนือภพมองทิวอย่างขอความเห็น ทิวพยักหน้าหงึก ๆ อย่างตื่นกลัว
“พี่ภพ ข้าว่า ข้าเห็นด้วยกับพรานบุญนะ”
เหนือภพมองวานรยักษ์อย่างจนปัญญา ก่อนจะพ่นลมหายใจ แล้วก็มองไปรอบด้านด้วยสายตาเฉียบคม ก่อนจะพูดขึ้นอย่างไม่มีทางเลือก
“งั้นพวกเจ้าก็พามันกลับไปเพื่อยืนยันแก่ผู้ว่าจ้างก่อน เสร็จเรื่องแล้วค่อยปล่อยมันกลับมา คงไม่มีปัญหานะพรานบุญ”
เหนือภพพูดจบก็ปรายตามองพรานบุญหนึ่งที แล้วก็เดินออกไปจากป่ากล้วยด้วยความระมัดระวัง เมื่อเขาเดินออกมาห่างจากทุกคนแล้ว เขาก็ใช้สมาธิคุยกับพญานาคภายในจิต
‘เจ้าเห็นอะไรแปลก ๆ บ้าง’
‘ลิงในป่ากับลิงที่เจ้าจับได้ มันคนละสายพันธ์ุกัน แต่ฝูงลิงกลับออกตัวปกป้องเจ้าลิงหลงฝูงตัวนี้ ข้าคิดว่าหมู่บ้านนี้คงไม่ธรรมดาแล้วล่ะ’
“ข้าก็คิดเหมือนกัน”
เหนือภพกลับหมู่บ้านไปพร้อมกับวานรยักษ์ ทว่าความสำเร็จนี้กลับไม่ได้สร้างความยินดีให้กับชาวบ้านมากนัก เพราะสิ่งที่ชาวบ้านเหล่านี้อยากเจอมากที่สุดไม่ใช่วานรยักษ์ แต่เป็นบุตรสาวของตนที่หายไป อย่างน้อยขอเพียงซากศพ เศษเสื้อผ้า หรือสิ่งของที่ใช้ยืนยันสถานะของพวกนางบ้างก็ยังดี แต่พวกเหนือภพกลับไม่พบอะไรเพิ่มเติมเลย
เหนือภพใช้ความคิดอย่างหนักเพื่อจะจบภารกิจนี้ เขาต้องรู้ให้ได้ว่าใครเป็นผู้บงการและคนที่เหนือภพสงสัยมากที่สุดก็ยังเป็นพรานบุญ เพราะท่าทีของพรานบุญที่มีต่อวานรยักษ์มันดูผิดแปลกไปจากชาวบ้านจริง ๆ ครั้งแรกที่ชาวบ้านเห็นวานรยักษ์ต่างก็แทบจะพุ่งเข้ามาฆ่าอสูรร้ายให้ตายด้วยมือตัวเอง ทว่าพรานบุญกลับออกตัวปกป้องมันอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเหนือภพกับทิวถูกเรียกหาโดยผู้ใหญ่บ้าน เขาจึงได้ทำอะไรบางอย่าง ก่อนจะแยกตัวออกจากพรานบุญ
“ข้าขอบใจฮันเตอร์มาก หากไม่ได้ฮันเตอร์อย่างพวกท่าน ข้าเองก็ไม่รู้จะจัดการเจ้าสัตว์ประหลาดนี้ได้ยังไง อ่ะนี่ เงินในถุงนี่ถือเป็นรางวัลพิเศษของท่าน”
ผู้ใหญ่บ้านพูดจบก็ยื่นถุงเงินให้เหนือภพและทิวคนละถุง ก่อนจะอธิบายเสริมอีกว่า
“เรื่องภารกิจการจ้างวาง ข้าได้ทำเรื่องส่งจดหมายไปยังสมาคมฮันเตอร์พร้อมเงินว่าจ้างแล้ว พวกเจ้าสามารถพักอยู่ที่นี่ต่อได้หรือจะเดินทางกลับเลยก็ได้”
เหนือภพมองผู้ใหญ่บ้านอย่างสงสัย ทำไมเขาจึงรู้สึกว่าท่านผู้ใหญ่บ้านพยายามผลักไสไล่ส่งให้พวกเขารีบกลับนัก แต่เขาก็ไม่พูดอะไรในเมื่อหมดสัญญาว่าจ้างแล้วก็ทางใครทางมัน นี่เป็นเรื่องปกติ หลังจากนี้เขาค่อยเดินทางไปรับเงินภารกิจที่สำนักงานฮันเตอร์อีกที
“ละ ละ แล้วเรื่องหญิงสาวที่หายไปล่ะครับ”
ทิวถามขึ้นด้วยเสียงตะกุกตะกัก เขาเองก็คาใจเรื่องนี้ไม่น้อยไปกว่าเหนือภพ ทว่าเหนือภพคิดต่างออกไป ตอนแรกเหนือภพคิดว่าจะต้องตามหาตัวหญิงสาวชาวบ้านกลับมาด้วยถึงจะจบภารกิจได้ แต่หากภารกิจมันได้ ณ ตอนนี้เลยก็ยิ่งดี เพราะเขารู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ให้ความรู้สึกไม่ค่อยดีนักเกี่ยวกับหมู่บ้านแห่งนี้ โดยเฉพาะผู้ใหญ่บ้านที่ดูเหมือนจะพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ
“เรื่องนั้นพวกเจ้าไม่ต้องกังวล ขอเพียงมีเจ้าลิงนี่ ข้าก็มีวิธีตามหาลูกบ้านของข้าได้แล้ว เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลหรอกทิว เจ้าไปทำเรื่องของเจ้าเถอะ”
“อ่อ งั้นพวกข้าก็ไม่รบกวนท่านผู้ใหญ่แล้วครับ พวกข้ามีภารกิจที่จะต้องไปทำต่อ ไว้เจอกันใหม่เมื่อมีโอกาส สวัสดีครับ”
ทิวยกมือขึ้นไหว้อย่างมีสัมมาคารวะ ส่วนผู้ใหญ่ก็กล่าวคำอวยพรต่อเล็กน้อย
“แล้วพวกเราต้องไปที่ไหนต่อครับ”
ทิวถามไปด้วยวิ่งตามเหนือภพไปด้วย หากเขาจำไม่ผิดเหนือภพได้หยิบเอาใบภารกิจมาสองใบ ซึ่งใบหนึ่งเป็นการจ้างงานของผู้ใหญ่บ้าน ส่วนอีกใบเป็นภารกิจของคณะพ่อค้า
พอเหนือภพได้ยินเช่นนั้นก็หยิบใบภารกิจซ้อนอีกใบขึ้นมาดู ก่อนจะเขียนจดหมายไปยังสมาคมฮันเตอร์เพื่อติดต่อผู้ว่าจ้าง เพราะตั้งแต่เขามาถึงหมู่บ้านโอปะเขาก็ไม่เห็นคณะพ่อค้าเลย ดังนั้นเขาจึงรู้สึกแปลกใจนิดหน่อยกับภารกิจนี้
“กลับบ้านเจ้าก่อน ค่อยว่ากันอีกที”
เหนือภพบอก หลังจากส่งจดหมายไปถึงสำนักงานฮันเตอร์ อย่างน้อยเขาก็ต้องใช้เวลาอีกหลายชั่วโมงเพื่อรอจดหมายอาคมตอบกลับจากเมืองหลวง
เมื่อเวลามาถึงเหนือภพก็ได้จดหมายตอบกลับที่แจ้งเกี่ยวกับรายละเอียดงานของคณะพ่อค้า มีข้อมูลแจ้งเปลี่ยนแปลงรายละเอียดกะทันหัน ตอนนี้ผู้ว่าจ้างไม่ได้อยู่ในหมู่บ้านโอปะแล้ว พวกเขาจำเป็นต้องเร่งเดินทางจึงได้ยกเลิกการว่าจ้าง และได้เดินทางออกไปก่อนหน้าที่เหนือภพจะมาถึงหมู่บ้าน แต่พวกเขาเกิดปัญหานิดหน่อย เนื่องจากไม่สามารถใช้เส้นทางหลักได้ พวกเขาจึงได้จ้างชาวบ้านคนหนึ่งนำทางไปยังเส้นทางอีกเส้นที่อ้อมกว่า และก็เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด พวกเขาได้ประสบอีกปัญหา จู่ ๆ คนนำทางก็ชิ่งหนีไป ทำให้พวกเขาได้แต่คลำทางเอาเอง ในตอนนี้พวกเขาจึงตกอยู่ในเขตของรังสัตว์อสูรวานรไบซันมาสองวันแล้ว
“ทิว เจ้ารู้จักวานรไบซันไหม ?”
“รู้จักครับ มีอะไรรึเปล่าครับ”
“ผู้ว่าจ้างของเราติดที่อยู่ในเขตของพวกมัน”
“หา !! ว่าไงนะครับ”
อาวุธที่ทิวกำลังเช็ดทำความสะอาดอยู่ในมือหลุดตกลงพื้นทันที ด้วยความตกใจ
“มะ มะ มันอยู่อีกด้านของป่ากล้วยเลยนะครับ และมันก็อันตรายสุด ๆ ไปเลย พี่คงไม่ได้ล้อข้าเล่นหรอกนะ”
“ข้าจะทำไปเพื่ออะไร รีบเตรียมตัวเร็ว เราต้องเดินทางเดี๋ยวนี้”
“ครับ ครับ”
ทิวรับคำก่อนจะรีบเก็บข้าวของและเสบียงที่จำเป็น จากนั้นก็รีบเดินทางตามเหนือภพไปทันที ตอนนี้เขาเริ่มชินกับนิสัยของเหนือภพบ้างแล้ว ดังนั้นการรีบออกเดินทางในยามวิกาลแบบนี้จึงไม่ทำให้เขาแปลกใจอีก
ส่วนเรื่องรายละเอียดพวกเขาก็พูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่างการเดินทางแทน จากที่ทิวเล่ามาทำให้เหนือภพเริ่มเข้าใจความอันตรายของป่าแถบตะวันตกของหมู่บ้านโอปะมากขึ้น มันไม่ใช่เพราะสัตว์อสูรเพียงอย่างเดียว แต่มันคือความอันตรายจากธรรมชาติล้วน ๆ พื้นที่ส่วนใหญ่แถบนั้นส่วนใหญ่เป็นป่าพรุที่มีดินโคลนที่สามารถดูดกลืนคนลงไปได้อย่างง่ายดาย ยังไม่นับรวมสัตว์มีพิษ และพืชอสูรที่กินสิ่งมีชีวิตเป็นอาหารมากมายที่อาศัยอยู่ที่นั่น
“ไม่รู้พวกคณะพ่อค้าคิดยังไงถึงเข้าไปที่นั่นกัน แถมยังรอดชีวิตจนส่งข่าวออกมาได้ พี่ภพคิดว่าไง”
“ถ้ามีฝีมือสักหน่อยก็คงไม่ตายง่าย ๆ หรอก”
เหนือภพพูดเรียบ ๆ แต่คำพูดนี้กลับทำให้ทิวรู้สึกอึ้งและก็นับถือเขามากขึ้น เหนือภพในสายตาของทิวนั้นช่างดูมั่นใจและเก่งกล้า
เหนือภพเดินทางไปตามทางลัดตามที่ทิวบอก ใช้เวลาไม่ถึงสองชั่วโมงก็ถึงป่าชายเลนที่ว่า ด้านหนึ่งของป่าติดกับปากแม่น้ำสายใหญ่ที่มีชื่อว่า แม่น้ำอมตะ แม่น้ำนี้เป็นแม่น้ำใหญ่สายเดียวที่ไหลตัดผ่านเมืองหลวงและไหลผ่านลงมาอีกหลาย ๆ เมืองจนมาตัดผ่านที่นี่ และเนื่องจากพื้นที่ป่าแถบนี้เป็นพื้นที่ลุ่มแม่น้ำที่มีระดับพื้นดินต่ำมาก น้ำจากแม่น้ำจึงกัดเซาะเข้ามาท่วมขังเป็นหย่อม ๆ เกิดเป็นหนองน้ำขนาดย่อม ๆ แทรกอยู่ตามริมน้ำ ป่าพรุแห่งนี้จึงนับเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำขนาดใหญ่ของแคว้นอมตะนคร
“สงสัยว่าคงต้องพักที่นี่ก่อน ตอนเช้าค่อยออกตามรอยต่อ”
เหนือภพมองสำรวจภูมิประเทศที่ไม่คุ้นตาอย่างเป็นกังวล เขาไม่รู้ว่าในน้ำที่เจิ่งนองเหล่านี้มีสัตว์อะไรอยู่บ้าง แถมยังมองไม่ออกด้วยว่าโคลนดูดมันอยู่ตรงไหน ยิ่งร่องรอยของคณะพ่อค้าก็ยิ่งมองไม่เห็นในความมืด
“ดะ ดีครับ เราไม่ควรเดินทางกลางคืนใน หนองป่าคลั่ง แห่งนี้”
“หนองอะไรนะ”
“ชาวบ้านสมัยก่อนเรียกที่นี่ว่าหนองป่าคลั่งครับ มันต้องมีอะไรบางอย่างที่คลั่งสมชื่อแน่ ๆ”
“อืม นอนพักเอาแรงก่อนเถอะ”
เหนือภพพูดจบก็พาทิวปีนป่ายขึ้นไปนอนบนต้นไม้ใหญ่ เหนือภพนั่งนิ่งเฝ้ายามอยู่อย่างนั้นทั้งคืน ในขณะที่ทิวนั้นนอนหลับบ้างตื่นบ้าง
เช้าวันรุ่งขึ้นทิวตื่นขึ้นมาในสภาพสะลึมสะลือ ดวงตาลึกโหล ผิวหนังเต็มไปด้วยร่องรอยแมลงกัด นอกจากนี้เขายังรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวใกล้จะไม่สบาย เนื่องจากน้ำค้างและความชื้นของป่าพรุเป็นสิ่งที่เขาไม่คุ้นเคย แต่พอเขาลงจากต้นไม้มาก็เห็นเหนือภพนั่งย่างปลารอเขาอยู่ก่อนแล้ว เหนือภพนั่งย่างปลาอยู่ย่างอารมณ์ดี ด้วยเสียงนกร้องจิ๊บจิ๊บ ขณะพากันออกจากรังไปหาอาหาร และเสียงฝูงปลาที่พากันกระโดดขึ้นเหนือน้ำอย่างเริงร่า
“พี่ภพหลับสบายมั๊ย”
“ข้าไม่ได้หลับ”
ทิวอ้าปากค้าง สมองมึนงงไปชั่วขณะ ในใจของเขาสงสัยมากว่าเหนือภพฝืนทนลืมตาตื่นทั้งคืนโดยไม่มีอาการง่วงนอนได้อย่างไร แถมยังไม่มีรอยถูกแมลงกัดด้วย ผิวพรรณที่โผล่พ้นร่มผ้าของเหนือภพยังคงขาวเนียน ไร้รอยแมลงสัตว์กัดต่อย
“แล้วพี่ไม่เป็นอะไรหรอ ไม่มีตัวอะไรมากัดพี่เลยหรอ”
“มี แต่มันกัดไม่เข้า”
ทิวอ้าปากกว้างยิ่งกว่าเดิม เหนือภพเป็นบุคคลที่อยู่เหนือความคาดหมายของเขาเสมอ