ตอนที่ 114 นี่หรือคือพรานบุญ
“ไอ้พรานบุญ ไอ้บุญมีคนมาหา ไอ้บุญเอ๊ยยย”
มิ่งร้องเรียกพรานบุญซ้ำ ๆ ทว่าเรียกเท่าไหร่ก็ไม่มีการขานตอบรับ เสียงของมิ่งจึงดังขึ้นเรื่อย ๆ และสุดท้ายความอดทนของเขาก็หมดลง ภาษาที่หลุดออกมาจึงไม่ค่อยรื่นหูเท่าไหร่นัก
“ไอ้เหี้ยบุญ ออกมาสักทีสิวะ”
“เอ้อ รู้แล้วโว้ย ! จะแหกปากหาพ่อเอ็งเหรอไอ้มิ่ง คนกำลังขี้อยู่ เรียกอยู่ได้”
พรานบุญตะโกนนำออกมาก่อน แล้วตัวของเขาจึงปรากฏตามมา เขาเป็นชายวัยกลางคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับมิ่งและผู้ใหญ่บ้าน และเขาก็เป็นคนปากร้ายนิสัยไม่น่าคบนัก แต่เขาก็เป็นคนเก่งมีความสามารถที่พึ่งพาได้เป็นอันดับต้น ๆ ของหมู่บ้านเลยทีเดียว ถ้าหากเขาไม่มีนิสัยขวานผ่าซาก และปากหมาเป็นที่หนึ่ง เขาก็คงเป็นที่รักของคนในหมู่บ้านและสามารถเข้าชิงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านได้ไม่ยากเลย
เหนือภพมองพรานบุญตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เขาเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างกำยำสูงประมาณ 170 เซนติเมตร สวมใส่กางเกงเลสีน้ำเงินเข้มที่ยาวถึงเข่าเท่านั้น ช่วงอกเปลือยของเขาปรากฏรอยสักอักขระอาคมอยู่ทั่วทั้งด้านหน้าและด้านหลัง มีรอยสักยาวพ้นชายกางเกงของเขาลงมาด้วย เหนือภพค่อนข้างแน่ใจว่าพรานบุญต้องสักไว้ทั่วทั้งตัวแน่ ๆ อีกทั้งพรานบุญยังมีเครื่องรางของขลังประเภทไสยเวทย์ห้อยอยู่เต็มคอ ดูก็รู้ว่าเขาคือจอมขมังเวทย์เต็มขั้น ทำให้เหนือภพนึกสางลำไพร ยัยแม่หมอตัวร้ายคนนั้น
“มีอะไร”
พรานบุญแสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์อย่างไม่ปิดบัง ขณะมองไปยังผู้มาเยือน แล้วเขาก็หยุดสายตาที่เหนือภพครู่หนึ่ง เขารับไหว้อย่างแกน ๆ ก่อนจะหันมองไปยังทิว
“นั่นไอ้ทิว ลูกไอ้ทิศนี่หว่า ข้านึกว่าเอ็งตายตามพ่อเอ็งไปแล้วซะอีก”
ทิวได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับสำลัก ก่อนจะทำใจยกมือไหว้อย่างมีมารยาท จากนั้นมิ่งก็บอกเล่าสิ่งที่ผู้ใหญ่บ้านสั่งให้พรานบุญฟัง
พรานบุญตบหน้าผากตัวเองดังป๊าบ
“พวกเอ็งนี่มันโง่ดักดานชิบหาย ที่ดี ๆ ไม่อยากไป แต่เสือกอยากไปตาย เออ ไปบอกผู้ใหญ่ละกัน เดี๋ยวกูรับหน้าที่นี้เอง แต่อย่าลืมของกูล่ะ ส่งให้ตรงเวลาหน่อย เบี้ยวกูตลอด ไอ้พวกเวร”
“เออ ได้ กูจะบอกให้”
มิ่งรับคำอย่างรำคาญใจ ก่อนจะรีบจากไปในทันที เมื่อพรานบุญเห็นว่ามิ่งไปแล้ว เขาก็หันหลังไปจัดของใส่ย่าม แล้วก็ตะโกนไล่หลังมาบอกเหนือภพกับทิว
“พวกเอ็งไปเตรียมของไป บ่ายโมงออกเดินทาง”
“ข้าพร้อมแล้ว ไปตอนนี้เลย”
เหนือภพพูดอย่างมุ่งมั่น เพราะกว่าจะถึงเวลาบ่ายโมง เขาต้องรอไปอีก 6 ชั่วโมง นั่นมันเสียเวลาอย่างมาก
“เอ๊ะ เอ็งนี่ยังไง มึงพร้อมแต่กูไม่พร้อมโว้ย ! กูหิว ถ้ารอไม่ได้พวกมึงก็เดินนำไปก่อนเลย ชิบหายสั่งกูอย่างกับลูก”
พรานบุญพูดจบก็ขึ้นเรือนไปอย่างมีโทสะ เหนือภพหัวคิ้วกระตุก เขาพยายามทำใจให้เย็นดั่งลำธาร โชคดีที่มีทิวอยู่ด้วย เขาจะได้มีอีกคนช่วยเหนี่ยวรั้งอารมณ์ไว้
“พี่ชาย ใจเย็นพรานบุญแกก็เป็นแบบนี้ล่ะ นิสัยอย่างนี้มาตั้งแต่เด็ก ถึงจะปากหมาพูดไม่เข้าหู แถมยังอารมณ์แปรปรวนยังกะผู้หญิง แต่แกก็เป็นคนดี พี่ชายไว้ใจเขาได้”
เหนือภพพยักหน้า ก่อนจะเขียนจดหมายอาคมเพื่อรายงานความคืบหน้าของภารกิจ ให้แก่สมาคมฮันเตอร์ตามกฎที่ต้องมีการตอบรับจดหมายทุกวันเพื่อให้รู้ว่าฮันเตอร์ที่ออกไปทำภารกิจในที่ต่าง ๆ ยังมีชีวิต และมีการเคลื่อนไหวตลอด หากไม่มีการเคลื่อนไหวภายในสามวัน ทางสมาคมฮันเตอร์จะถือว่าภารกิจนั้นเป็นโมฆะและส่งทีมใหม่เข้ามาตรวจสอบพร้อมทั้งจัดการเก็บกวาดภารกิจ
6 ชั่วโมงผ่านไป
พรานบุญก็เดินออกมาเจอเหนือภพในเครื่องแบบเดินป่า เครื่องแบบที่ว่าก็คือกางเกงเลตัวเดิม รองเท้าหนัง และก็ผ้าโพกหัวสีน้ำเงินเข้ม นอกจากนี้เขายังมีกระเป๋าเป้สัมภาระใบใหญ่ที่อัดแน่นไปด้วยเครื่องมือเครื่องใช้ อาหาร ยา ที่นอน ผ้าห่ม มีดหมอ หน้าไม้ กระบอกลูกศรสี่กระบอก ดาบยาวลงอาคมสะพายหลังอีกเล่ม หากมองผิวเผินเขาดูคล้ายกับเหนือภพมากเลยทีเดียว ด้วยสภาพที่ต้องขนสัมภาระมากมาย
เหนือภพก็แบกสัมภาระที่เต็มไปด้วยอาหารเครื่องครัวขนาดพกพา สะพายดาบยาวสองเล่ม พ่วงด้วยหอกยาวแบบต่อที่แบ่งเป็นสามท่อนเฉียงด้านหลัง ดาบแส้สะพายขวางด้านหลังเอว รอบเอวมีมีดหมออีกนับสิบเล่ม ที่ถูกจัดวางเอาไว้ให้ง่ายต่อการหยิบจับ
ส่วนทิวนั้นเมื่อได้อยู่กับเหนือภพก็ทำให้เขาเรียนรู้ที่จะพกอาวุธหลายเล่ม สัมภาระเครื่องใช้ อาหารแห้ง และเสื้อผ้าผลัดเปลี่ยนให้ติดตัวอยู่เสมอ
พรานบุญพาเหนือภพและทิวไปทางตะวันออกของหมู่บ้าน เส้นทางที่พรานบุญเลือกใช้นั้นเป็นเส้นทางปลอดสัตว์อสูร ทำให้เหนือภพรู้สึกเบื่อหน่ายและรู้สึกว่าเขาใช้เวลาไม่คุ้มค่า ไม่สามารถหาของดี ๆ เอาไปขายได้เลย แต่เขาก็ไม่กล้าออกนอกเส้นทาง เพราะกลัวพรานบุญ โดยเฉพาะปากของพรานบุญ มันเป็นสิ่งอัปมงคลอันดับต้น ๆ ที่เหนือภพไม่อยากได้ยิน ดังนั้นเขาจึงเชื่อฟังพรานผู้นำทางเป็นอย่างดี อย่างน้อยหากเขาทำให้พรานบุญอารมณ์ดี เขาก็พอจะลดวาจาที่ไม่รื่นหูได้บ้าง
ด้วยการนำทางของพรานบุญ ใช้เวลาเพียงค่อนวัน เหนือภพและทิวก็มองเห็นป่ากล้วยจากระยะปลอดภัย พวกเขามองเห็นดงต้นกล้วยขนาดใหญ่ยักษ์ แต่ละต้นมีความสูงอย่างน้อยสิบเมตร ลำต้นใหญ่ขนาดหนึ่งคนโอบ ใบกล้วยแต่ละใบใหญ่มากพอที่จะปิดร่างชายตัวโตสองคนได้จนมิด กล้วยแต่เครือก็มีนับร้อยผลแต่ละผลมีขนาดเท่าผลฝัก มันใหญ่มากทั้งยังส่งกลิ่นหอมหวนชวนชิม แม้พวกเขาจะอยู่ห่างจากป่ากล้วยดังกล่าวเป็นร้อยเมตร แต่ก็ยังได้กลิ่นหอมนี้
“พวกเอ็งจะทำอะไรก็รีบทำซะ ข้ามีเวลาให้แค่สี่โมงเย็น หากพวกเอ็งช้า เอ็งก็กลับหมู่บ้านกันเอง”
“ครับ ๆ”
ทิวรับคำ ก่อนจะวิ่งตามเหนือภพไป เพราะเหนือภพนั้นพุ่งตัวออกไปตั้งแต่ในเสี้ยววินาทีที่พรานบุญจะอ้าปากพูดคำแรกแล้ว
‘เจออะไรไหม’
เหนือภพพูดผ่านจิตกับพญานาค ขณะยืนพิงอยู่บนกิ่งต้นพิกุลขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้ป่ากล้วย หากเขาเดินก้าวเข้าไปอีกเพียงสองก้าว เขาก็จะสามารถสัมผัสต้นกล้วยที่อยู่นอกสุดของป่ากล้วยได้
‘แปลก’
‘ยังไง’
‘ข้าสัมผัสได้ถึงพลังสัตว์อสูรที่ไม่ธรรมดาจากป่านี้ พลังของมันอาจจะพอ ๆ กับข้าหรือเหนือกว่า แต่มันแตกต่างจากของวานรตัวเมื่อคืนเด่นชัด ทั้งพลังและกลิ่นอายแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง’
พญานาคอธิบายเพียงเท่านั้น ทำให้เหนือภพพยายามทบทวนข้อมูลที่เขารวบรวมมาตั้งแต่มาถึงหมู่บ้านแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นเบาะแสจากลุงจบ คำบอกเล่าจากชาวบ้าน ไหนจะวานรตัวเมื่อคืนอีกที่ดูแปลก ๆ จนแม้แต่พญานาคผู้ทรงปัญญาก็ยังไม่เข้าใจ
‘เดี๋ยวนะ’
เหนือภพนึกถึงเบาะแสที่ถูกส่งมาจากสำนักงานฮันเตอร์ ไม่ใช่สัตว์อสูร งั้นเหรอ ? เหนือภพต้องการยืนยันความคิดตัวเอง เขาจึงเอ่ยถามพญานาคในจิตทันที
‘เจ้าว่า วานรตัวเมื่อคืนใช่สัตว์อสูรหรือเปล่า ?’
‘มีส่วนคล้าย แต่ไม่ใช่ ข้ามั่นใจ’
คำยืนยันเพียงคำเดียวของพญานาคทำให้เหนือภพต้องคิดมุมกลับ ถ้าหากไม่ใช่สัตว์อสูรมันก็คงมีแค่มนุษย์เท่านั้นที่น่าจะทำได้ เขาเคยได้ยินอาจารย์พูดถึงวิชาอาคมแขนงหนึ่งที่สามารถแปลงร่างเป็นสัตว์ร้ายได้ แต่หากเป็นผู้ใช้อาคมแปลงร่างมาจริง เขาก็น่าจะดูออก และพญานาคเองก็น่าจะยืนยันได้
‘แต่ถ้าหากเป็นอาคมชั้นสูงประเภทที่ใช้ซากสัตว์อสูรมาทำพิธี แม้แต่ข้าก็ยากที่จะดูออก’
พญานาคเอ่ยแทรกขึ้นมา ราวกับรู้ว่าเหนือภพกำลังคิดอะไร
‘แต่วิธีนี้ยากที่จะควบคุม ดังนั้นต้องมีผู้มีปราณอาคมขั้นสูงสามคนขึ้นไปช่วยกันทำพิธี ถึงจะพอควบคุมได้’
‘ถ้าหากเป็นมนุษย์อย่างที่ข้าคาดการณ์จริง ข้าว่าคงหาตัวได้ยาก’
เหนือภพพูดผ่านจิต ขณะมองไปทางพรานบุญที่กำลังเดินสำรวจเพื่อช่วยหาเบาะแส แม้พรานบุญเลือกที่จะไม่เป็นฮันเตอร์ แต่เขาก็ถือเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่มีปราณอาคมแข็งแกร่งคนหนึ่ง ดังนั้นเหนือภพก็จำเป็นต้องนับเขาเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะการกระทำก่อนเดินทางของพรานบุญนั้นแปลก เขายังคงไม่เข้าใจว่าทำไมต้องรอถึง 6 ชั่วโมงจึงจะออกเดินทางได้ เหนือภพไม่คิดว่าเป็นเพราะพรานบุญหิวอย่างเดียวหรอก
“ทิวเจ้าพบอะไรบ้าง” เหนือภพตะโกนถามทิวที่เดินสำรวจรอบ ๆ เขตดงกล้วย
“เอ่อ ไม่มีร่องรอยการเคลื่อนไหวของพวกวานรจากด้านในป่ากล้วยออกมาด้านนอกเลยครับ”
เหนือภพรับฟังเสร็จก็บอกให้ทิวลองไปหาเบาะแสอย่างอื่น จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงของพรานบุญดังขึ้น
“ทางนี้โว้ย นั่นมันใช่ไอ้ตัวที่พวกเจ้าตามหาหรือเปล่า”
พรานบุญตะโกนเสียงดัง ก่อนจะชี้ไปยังอีกทิศหนึ่งของป่าที่กำลังมีการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ มันส่งเสียงดังอึกกระทึก จนเหล่านกที่เกาะอยู่บนกิ่งก้านต้นไม้ตีปีกกับพรึ่บพรั่บ แล้วก็บินหนีกันอลหม่าน
พรานบุญคว้าหน้าไม้มาขึ้นสายใส่ลูกศรสะกดอาคม แล้วยิงออกไปพร้อมกับวิ่งเข้าไปหาเหยื่อด้วยท่าทางคล่องแคล่วว่องไว โดยมีเหนือภพถือดาบแส้วิ่งตีคู่มาติด ๆ ส่วนทิวนั่นวิ่งมารั้งท้าย
“มันคือตัวอะไร”
เหนือภพถามพรานบุญในขณะวิ่งตีคู่กันไป นับว่าพรานบุญไม่ธรรมดาเลยที่สามารถวิ่งตีคู่ไปกับเหนือภพได้โดยไม่มีอาการเหนื่อยหอบ
พรานบุญได้ยินเช่นนั้นก็ยังไม่ได้ตอบในทันที เขากระโดดหลบออกด้านข้างกระทันหัน เหนือภพนิ่วหน้าอย่างไม่เข้าใจ ทว่าวินาทีต่อมาเขาก็เข้าใจในการกระทำของพรานบุญ เมื่อก้อนหินขนาดใหญ่พอ ๆ กับกระโหลกมนุษย์ลอยละลิ่วพุ่งมาทางเหนือภพด้วยความเร็วสูงเกินกว่าจะหลบทัน เหนือภพหันไปมองประเมินก้อนหินก้อนนั้น แขนขาของเขากำลังจะขยับหลบด้วยสัญชาติญาณพิเศษ แต่เขาฝืนตัวเองเอาไว้ เขายังไม่ไว้ใจพรานบุญ ดังนั้นหากเก็บงำอะไรได้ก็ควรเก็บงำ
เหนือภพยืนนิ่งกะพริบตาหนึ่งครั้ง ก้อนหินก้อนใหญ่ก็กระแทกมาที่กลางกระหม่อมอย่างจัง
โพล๊ะ !
ก้อนหินแตกร้าวเป็นสองซีก พร้อมกับมีฝุ่นดินกระจายเต็มตัวเหนือภพ แต่เหนือภพก็ยังยืนนิ่งโดยปราศจากเจ็บปวดใดใด พรานบุญเห็นเช่นนั้นก็ตบมือชอบใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“บร๊ะ เอ็งนี่ใจมันได้จริง ๆ ระวังล่ะ นี่เป็นเขตของพวกลิงป่าพวกนั้นแล้ว หินพวกนี้มันเป็นแค่คำเตือน ยังมีเรื่องตื่นเต้นยิ่งกว่านี้อีก”
“ยังมีมากกว่านี้หรือครับ”
ทิวร้องเสียงหลง หลังจากที่รอดจากกลุ่มก้อนหินที่พุ่งเข้ามาหลายสิบก้อนอย่างหวุดหวิด โชคดีที่ปราณอาคมด้านการป้องกันของเขาแข็งแกร่ง ไม่เช่นนั้นเกรงว่าเหนือภพคงจะไล่เขาออกจากทีมเนื่องจากว่าเขาเป็นตัวถ่วงมากเกินไป
เหนือภพมองอสูรวานรตัวนั้นด้วยสายมุ่งมั่น จากนั้นเขาก็วิ่งตะลุยเข้าไปหามันโดยไม่เสียเวลาหลบหลีกกลุ่มหินใหญ่ที่พุ่งเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง เมื่อถึงระยะหนึ่งเหนือภพก็เร่งความเร็วที่น่าเหลือเชื่อผสานกับอาคมย่นระยะทาง พริบตาต่อมาเหนือภพก็มายืนตีคู่ประชิดตัววานรขนาดใหญ่ตัวนี้ได้
เขาตวัดดาบแส้โจมตีทันที ด้วยหวังกระชากวานรใหญ่ให้เสียหลักล้มลง ทว่าดาบแส้ของเขากลับถูกกำปั้นวานรยักษ์ปัดออก แต่การโจมตีของดาบแส้นั้นก็สามารถพลิกแพลงได้ตลอดเวลา กลายเป็นว่าการปัดของวานรยักษ์มีส่วนช่วยเสริมแรงเหวี่ยงให้เหนือภพในการโจมตีครั้งต่อไป เหนือภพตวัดดาบแสร้งฟาดใส่ใบหน้าของวานรยักษ์เพื่อบีบให้มันใช้สองมือป้องกันดวงตา จากนั้นเหนือภพก็ตวัดดาบแส้กลับแล้วตวัดรัดขาทั้งคู่ของมันแล้วกระชากเข้าหาตัวเขา วานรยักษ์เสียหลักล้มลง เหนือภพก็กระโดดเหยียบตรึงมันไว้กับพื้นได้ในสุด ในขณะที่พรานบุญกับทิวเพิ่งจะเคลื่อนตัวมาถึงด้วยอาการเหนื่อยหอบ โดยเฉพาะทิว ส่วนพรานบุญนั้นน่าจะเหนื่อยจากการวิ่งไปด่าไปมากกว่า