Ep.204 - วินวินทั้งสองฝ่าย
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.204 - วินวินทั้งสองฝ่าย
“ในช่วงแรกระหว่างการก่อสร้างสถานชุมชน ฉันได้ทำการออกแบบคฤหาสน์หลังนี้ และขอให้เพิ่มเติมพื้นที่บางส่วนโดยเฉพาะ : ลึกลงไป 60 เมตร มีห้องลับที่ถูกเจาะเป็นโพรงใหญ่ กินพื้นที่ภูเขาเกือบครึ่งลูก ภายในแยกออกเป็นชั้น เป็นชั้น เอาไว้ใช้เพาะและเก็บพืชพันธุ์ติดเชื้อ”
ฉินเฟิงกล่าวด้วยความสุข
“และเนื่องจากดินพวกนี้เป็นธาตุมืด ดังนั้นมันเลยเป็นสถานที่เหมาะสมที่สุดในการฝึกสมาธิสำหรับฉัน!”
แม้จะครอบครองศิลานรก แต่ฉินเฟิงยังคงต้องฝึกฝนเพิ่มเติมเกี่ยวกับรูนมืดให้มากกว่านี้ ดังนั้นเขาจำเป็นต้องมีสถานที่เหมาะสมสำหรับมัน ยิ่งไปกว่านั้น ใต้ดินทั้งสิบชั้นที่นี่ก็ถูกปลูกไว้ด้วยสมุนไพรมืด
ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ซูซิงฝูจัดทำให้เป็นพิเศษ
ผู้ใช้อบิลิตี้ธาตุมืดหายากก็จริง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าวัตถุดิบเกี่ยวกับธาตุมืด จะหายากตามไปด้วย
เพราะกระสุนของมือปืน สามารถนำมาดัดแปลงเป็นธาตุใดก็ได้ เหมือนอย่างชิหลงที่เคยใช้กระสุนไฟยิงใส่มดเหล็กดำ ดังนั้นแม้ผู้ใช้อบิลิตี้ธาตุมืดจะมีน้อย แต่อำนาจที่พวกเขาครอบครองนั้นทรงพลังและมีประโยชน์มาก ยกตัวอย่างเช่นกระสุนปืนธาตุมืดเหมาะในการใช้ต่อสู้กับสัตว์ร้ายที่มีพลังชีวิตต่ำแต่พลังโจมตีสูง เช่นสัตว์ร้ายทะเลอย่างแมงกระพรุนกลายพันธุ์
ดังนั้นซูซิงฝูเลยคิดว่าฉินเฟิงคงอยากจะสร้างผลิตภัณฑ์บางอย่างที่ไม่ซ้ำกับใครในสถานชุมชนเฟิงหลี เขาจึงเห็นด้วยกับความคิดเห็นนี้ และสร้างห้องลับให้ตามที่ฉินเฟิงต้องการ
“ฟังดูเยี่ยมไปเลย! ในเมื่อต่อจากนี้ไปมันจะกลายเป็นคลังสมุนไพรของพวกเรา งั้นฉันจะช่วยด้วย! ว่าแล้วก็ไปชิงต้นไม้สมาธิจากเมืองเฉิงหยางมาปลูกที่สวนหน้าบ้านบ้างดีกว่า!
ไป๋หลีปิ๊งไอเดียขึ้นมา
ฉินเฟิงเมื่อได้ยินก็ขนลุกชัน และเร่งกำจัดความคิดนี้ออกจากหัวเธอทันที
“เรื่องต้นไม้สมาธิเอาไว้ค่อยคิดกันทีหลัง ยิ่งไปกว่านั้น พื้นที่ที่จะปลูกมัน จำเป็นต้องมีพลังงานวิญญาณฟ้าดินที่มากพอ และสภาพแวดล้อมพิเศษที่แตกต่างกันออกไป อย่าคิดทำอะไรไร้สาระเชียว!”
ประเด็นสำคัญก็คือ เรื่องที่ผลไม้สมาธิถูกขโมยไปยังไม่ได้ข้อสรุปชัดเจน หากเวลานี้ไป๋หลีชิงต้นไม้สมาธิออกมาอีก นั่นไม่ได้หมายถึงเป็นการประกาศสงครามหรอกหรือ?
ฉินเฟิงพยายามชักแม่น้ำทั้งห้า สุดท้ายไป๋หลีก็ยอมล้มเลิกเรื่องต้นไม้สมาธิ แต่ความตั้งใจที่จะนำต้นไม้หรือสมุนไพรบางอย่างมาปลูกไว้ในสวนหน้าบ้านของไป๋หลีก็ยังมีอยู่ๆดี
หลังจากนั้น ฉินเฟิงก็เบนสายตาไปมองสถานชุมชนเฟิงหลีอีกครั้ง เวลาได้ล่วงเลยไปกว่าหนึ่งเดือนครึ่ง ความคืบหน้าของสถานชุมชนก็ดำเนินไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน ปัจจุบัน กำแพงเมืองวงแหวนรอบแรกได้ถูกสร้างขึ้นแล้ว!
แน่นอน ว่ายิ่งสถานชุมชนเฟิงหลีเติบโตขึ้นมากเท่าไหร่ ก็จะปรากฏวงแหวนรอบสอง , สาม , สี่ , ห้าและหก ตามมาเรื่อยๆ ค่อยๆพัฒนาและขยายพื้นที่เมืองออกไปอย่างช้าๆ
สำหรับในตอนนี้ กำแพงชั้นเดียว ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว!
“ส่งข่าวออกไปให้สมาชิกระดับสูงทั้งหมดของเฟิงหลี ว่าวันนี้จะมีประชุม! และผู้ว่าการเจิ้งก็จะมาด้วย”
ฉินเฟิงออกคำสั่ง
พอทราบข่าว สมาชิกระดับสูงทั้งหมดของสถานชุมชนเฟิงหลีก็เริ่มเคลื่อนไหวทันที!
…
เจิ้งหยางไม่มีเวลาได้พักผ่อนเลยตั้งแต่ช่วงดึกเมื่อวาน ทว่าผู้ใช้วรยุทธโบราณน่ะแข็งแกร่งมาก ดังนั้นไม่ต้องกล่าวถึง 1 คืน ด้วยการสนับสนุนจากกำลังภายใน ต่อให้ไม่หลับไม่นอนกว่า 3 วันเต็มๆก็ยังสบาย!
เมื่อถึงช่วงเวลาบ่ายโมง เจิ้งหยางก็เดินทางมาถึงสถานชุมชนเฟิงหลี
ช่วงเดือนครึ่งที่ผ่านมา เขาไม่เคยแวะมาดูการเปลี่ยนแปลงของสถานชุมชนเลย
กลับมาอีกที ก็พบกับสิ่งปลูกสร้างที่ดูใหม่เอี่ยม พัฒนาไปอีกระดับเสียแล้ว
“มีฉินเฟิงเป็นผู้นำของสถานชุมชนแห่งนี้ อนาคตของพวกเขาคงไร้ขีดจำกัด”
เจิ้งหยางถอนหายใจ
ซ้ายขวาข้างกายเจิ้งหยาง เป็นสองผู้ใช้พลังเลเวล F ครอบครองพลังที่ไม่อ่อนแอ และเมื่อทั้งสองเห็นสถาปัตยกรรมเหล่านี้ ในดวงตาก็ฉายแววริษยา อยากจะยึดครองเป็นของตนเอง
แต่เมื่อนึกถึงความแข็งแกร่งของฉินเฟิง พวกเขาก็ล้มเลิกความคิดนี้ไป แต่ก็ยังไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้!
“ท่านผู้ว่าการจะมอบสถานชุมชนเฟิงหลีให้กับฉินเฟิงจริงๆน่ะหรือ? หลังจากลองวิเคราะห์ดู สิ่งเหล่านี้สามารถสร้างเงินทองให้กับท่านได้อย่างมหาศาล เจ้าหนูฉินเฟิงก็แค่คนที่โชคดี ดันได้รับคำอนุมัติจากเทศมนตรีเพียงเพราะแค่เขาไม่ต้องการให้กลุ่มคนในเลเวล E เกิดความขัดแย้งกันก็เท่านั้นเอง”
“ใช่ๆ พูดได้ถูกต้องแล้ว เขาสามารถขึ้นเป็นผู้นำได้ด้วยวิธีคดโกง ฉะนั้นไม่สมควรครอบครองเมืองนี้” เลเวล F อีกคนกล่าว
เจิ้งหยางหยุดฝีเท้ากระทันหัน หันมองผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา กล่าวเสียงหม่น “แต่เขาสังหารหลินเซิงลงเมื่อวานนี้ พื้นที่รับผิดชอบทั้งหมดของหลินเซิงไร้ซึ่งผู้นำ ถ้าฉันไม่ให้เขาครอบครองเมืองเฟิงหลี งั้นฉันควรจะส่งมอบเมืองเฉิงเป่ยกว่าครึ่งที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของหลินเซิงให้แก่เขาแทนใช่ไหม?”
เลเวล F ทั้งสองคนอึ้ง พูดไม่ออกไปพักหนึ่ง
“การทำอะไรสักอย่าง อย่าคิดแต่ว่าจ้องจะเอาสิ่งนั้นมา วิธีการรักษามันไว้ให้อยู่กับเรานานๆต่างหากที่สำคัญ ถ้าไม่มีฉินเฟิง ตอนนี้ฉันคงไม่สามารถคุมทั้งเฉิงเป่ยได้อย่างง่ายดาย และไม่เกิดความเสียหายเป็นวงกว้างแบบนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นถือว่าฉันติดหนี้เขา”
“ฉะนั้น ตอนนี้จะพูดเรื่องไร้สาระก็ไม่เป็นไร แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าฉินเฟิง อย่าให้ฉันได้ยินว่ามันถูกเปล่งออกจากปากพวกนายโดยเด็ดขาด เข้าใจใช่ไหม!”
“เข้าใจครับ! พวกเราพลั้งปากโดยไม่คิดไตร่ตรอง ขออภัยท่านผู้ว่าการ”
“พวกเราจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกแล้ว!”
…
เมื่อคนเหล่านี้มุ่งหน้าลึกเข้ามาใจกลางสถานชุมชนเฟิงหลี สหายเก่าก็เข้ามาทักทายพวกเขา มิใช่ใครอื่น แต่เป็นซูซิงฝู อดีตลูกน้องของเจิ้งหยาง มองไปยังร่างที่ดูอวบอ้วนขึ้นมาหลายกิโล ก็พอจะจินตนาการได้ ว่าเขาได้ดิบได้ดีขนาดไหนในเฟิงหลี
“ทำความเคารพท่านผู้ว่าการ!” ซูซิงฝูดูกระอักกระอ่วนใจ มองไปยังเจิ้งหยางด้วยความอึดอัดเล็กน้อย ทั้งยังรู้สึกสำนึกผิด
เป็นธรรมดาที่ซูซิงฝูจะทราบข่าว ว่าวันนี้เจิ้งหยางมาหาฉินเฟิงเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องหุ้น
“สหายซู จากนี้ไปนายต้องประจำอยู่ที่นี่ ฉะนั้นอย่ากดดันมากจนเกินไป ความสามารถของนายโดดเด่นจริงๆ ก่อนหน้านี้ในเฉิงเป่ย ถือว่าฉันทำผิดต่อนายแล้ว ที่มอบหน้าที่ไม่เหมาะสมให้” เจิ้งหยางตบบ่าของซูซิงฝูเบาๆ
“ท่านผู้ว่าการ ขอบพระคุณจริงๆ หากท่านต้องการเรียกใช้กระผมอีกครั้ง ขอแค่พูดมันออกมา!” ซูซิงฝูรู้สึกโล่งใจขึ้นหลายส่วน และเกิดความสำนึกคุณเจิ้งหยางอย่างสุดซึ้ง
ทั้งสองสนทนาและหัวเราะลั่นไปตลอดทาง เดินเข้ามาในตึก แล้วตรงสู่ห้องประชุม
ฉินเฟิงก้าวออกมาข้างหน้าเพื่อต้อนรับเขา
“ผู้ว่าการเจิ้ง รู้สึกเป็นเกียรติจริงๆที่คุณเข้ามาเยี่ยมเยือนบ้านอันต่ำต้อยของผม”
“ฮ่าฮ่า อย่าพูดแบบนั้นสิ เพราะทางฉันเองก็ยังไม่ได้ขอบคุณผู้ว่าการฉินเรื่องก่อนหน้านี้เลย”
ทั้งสองแสดงออกถึงมารยาทที่ดีต่อกัน และแยกย้ายไปนั่งประจำที่ตน
ตำแหน่งที่นั่งของเจิ้งหยางอยู่สุดปลายของโต๊ะยาว ในขณะที่ฉินเฟิงอยู่หัวแถวของโต๊ะ นั่งตรงข้ามกัน
ถัดออกไปซ้ายขวาของเจิ้งหยางมีลูกน้องของเขานั่งประกบ ส่วนด้านข้างของฉินเฟิงมีผู้คนเป็นจำนวนมาก นั่งกันเป็นแถวซ้ายขวา เยอะยิ่งกว่าที่เจิ้งหยางจินตนาการเอาไว้
แม้เจิ้งหยางจะสามารถรักษาสีหน้าให้สงบดังเดิม แต่ในหัวใจของเขายิ่งนานก็ยิ่งพองโตด้วยความประหลาดใจ
สำหรับที่นั่งฝั่งขวาติดกับฉินเฟิง เป็นธรรมดาคือไป๋หลี ทว่าด้านซ้ายของเขากลับเป็นคนหนุ่มที่มีร่างกายผอมแห้งเป็นอย่างมาก ลักษณะท่าทีก็ดูค่อนข้างแปลกประหลาด … มันแปลกประหลาดตรงไหนน่ะหรือ? เรื่องนี้เจิ้งหยางเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน แต่กลิ่นอายของชายคนนั้นที่ปลดปล่อยออกมาคือเลเวล E
มิใช่ใครอื่น -- เป็น หลิงหวู่ยี่ นั่นเอง
กล่าวได้ว่าสถานชุมชนเฟิงหลีในตอนนี้ ในแง่กำลังรบ เทียบได้เลยกับเมืองหาน ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขามีผู้ใช้พลังเลเวล E อยู่มากถึง 3 คน!
นั่งถัดลงมา เป็นซูซิงฝูและหลินเต๋อหรงตามลำดับ
สองคนนี้เจิ้งหยางรู้จักเป็นอย่างดี
ส่วนคนอื่นๆเขาไม่รู้จัก แต่ก็พอได้รับข้อมูลมาบ้าง
---ที่นั่งถัดลงมาได้แก่ หลิวซู , วังเฉิน , เหอหลี , เซ่าเซี่ยง คนเหล่านี้ได้รับการช่วยเหลือจากฉินเฟิงในเมืองหาน เป็นผู้ใช้พลังเลเวล F นอกจากคนเหล่านี้ เป็นคนที่มีใบหน้าไม่คุ้นเคย
อย่างเช่นหลิวเฮ็ง เดิมเป็นพ่อค้าทาสเตรียมมุ่งหน้าสู่เมืองไห่ แต่ตัดสินใจวกกลับมาส่งทาสให้ฉินเฟิง ปัจจุบันได้ดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าแผนกประชาสัมพันธ์ของสถานชุมชนเฟิงหลี รับหน้าที่รวบรวมกำลังพลให้กับชุมชน เพิ่มปริมาณประชากร ดังนั้นเลยได้รับเดรดิตพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนครองตำแหน่งเมื่อไม่นานมานี้
และคนสุดท้าย … เป็นโจวฮ่าว!
โจวฮ่าวคือคนเดียวในห้องประชุมที่มีเลเวล G แต่กลับไม่มีใครกล้าดูถูกเขา เพราะบนไหล่เขา มีมดสีทองตัวขนาดเท่าฝ่ามือกำลังนอนหมอบอยู่ มันมีปีกเล็กมาก ดูไม่เข้ากับขนาดร่างกายเอาเสียเลย
--นั่นคือนางพญามดทองเลเวล F ที่กำลังค่อยๆพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บ ปีกใหม่ของมันกำลังงอก ทว่าเวลานี้ตัวมันกลับกำลังสั่นสะท้าน คล้ายพยายามเร้นกายให้ดูจืดจางมากที่สุด
ก่อนหน้านี้สองลูกน้องของเจิ้งหยาง ไม่เต็มใจที่จะยอมรับฉินเฟิง แต่ในเวลานี้เมื่อเห็นสมาชิกระดับสูงของเมืองเฟิงหลี พวกเขาก็เงียบเป็นเป่าสาก ไม่กล้าพูดจาไร้สาระอีกต่อไป
การประชุมดำเนินไปด้วยดี
เจิ้งหยางถ่ายโอนหุ้น 40% ให้แก่ฉินเฟิง จากนั้นก็เอ่ยปากว่าจะมอบถนนการค้าที่พลุกพล่านที่สุดถึง 2 แห่งของสถานชุมชนเฉิงเป่ย รวมไปถึงย่านขายสินค้าระดับไฮเอนด์ที่ฉินเฟิงเคยซื้อเสื้อผ้ากับไป๋หลี นอกจากนี้ยังมีถนนที่ตั้งของร้านค้าอุปกรณ์กลุ่มหวันซ่งในจตุรัสกลาง ...