ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 146 ตอนที่ 2
ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 146 ตอนที่ 2
"เป็นยังไงบ้างคะ?"
"เก่งมาก เด็ก ๆ พวกนี้เก่งกันอย่างที่ฉันคิดเลย"
ชายแก่คงกำลังพูดออกมาตามมารยาท แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นมันก็ยังคงเป็นสิ่งที่ฟังรื่นหูอยู่ดี มิโซนำชาออกมาพร้อมกับโยคังที่เตรียมไว้
"ไว้ดูเสร็จแล้วจะกินนะ"
เสียงปฏิเสธเบา ๆ ที่แสนชัดเจน มิโซไม่ถามอีกและหันไปเก็บขนมไว้ ชายแก่กำลังมองดูเด็ก ๆ อย่างจริงจัง โดยไม่ละสายตาไปไหนเลย เพราะแบบนั้น มิโซจึงยิ่งรู้สึกกังวลเสียมากกว่าใคร ๆ เขาจะว่ายังไงนะ? ในที่สุด การแสดงก็จบลง และเด็ก ๆ ก็หันมามองทางพวกเขา
เสียงปรบมือดังขึ้นจากมุนจูง มิโซภูมิใจมาก ราวกับว่าตัวเธอคือคนที่ถูกชมเสียเอง
"นี่มันดีเกินกว่าจะเป็นการแสดงฟรี ๆ เลยนะเนี่ย"
มุนจูงลุกขึ้นจากที่นั่ง
"อาจารย์?"
"ฉันไม่มีอะไรจะพูดมาก รู้สึกเหมือนจะมาทำให้เสียเวลากันสินะ ขอโทษด้วย"
"ไม่เลยค่ะ"
มิโซเองก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน
"ถ้าฉันอยู่ต่อเด็ก ๆ มันจะมีแต่เกร็งกันเปล่า ๆ เพราะงั้นขอตัวก่อนล่ะ"
"จะไปแล้วเหรอคะ?"
"เด็กพวกนี้น่ะเก่งมาก ฉันไม่มีอะไรจะติว่าหรอก โดยอย่างยิ่งเมื่อพวกเขามีครูเก่ง ๆ แบบนี้ด้วยแล้ว"
"อย่ากังวลเรื่องฉันเลยค่ะ"
มิโซเรียกเหล่าสมาชิกชมรมเข้ามาหาทันที มุนจูงพยายามจะห้ามเธอไว้ แต่เธอเองก็จะปล่อยเขากลับไปทั้ง ๆ แบบนี้ไม่ได้ เพราะเธอไม่รู้เลยว่าจะได้มีโอกาสเจอเขาอีกครั้งเมื่อไหร่
"ขอล่ะค่ะ ฉันยังมีเรื่องที่ขาดอีกมาก ฉันอยากทำให้อะไรให้เด็ก ๆ มันหลายอย่างเลย แต่ฉันก็ยังไม่เก่งพอ แต่อาจารย์น่ะไม่ใช่"
"ฉันเองก็ไม่ได้เก่งกาจอะไรขนาดนั้นหรอก"
"แต่ก็ยังเก่งกว่าฉันค่ะ อย่าปฏิเสธเลย"
นั่นคือความรู้สึกของมิโซ เพราะแม้แต่ทุกวันนี้ เธอก็ยังคงใช้ผลงานของมุนจูงเป็นแรงบันดาลใจในการฝึกซ้อม ทุกผลงานตั้งแต่ยุคขาวดำมาจนถึงยุค 4 สี และการได้รับคำแนะนำจากตำนานแบบนั้นมันคงช่วยพัฒนาเด็ก ๆ ได้มาก
มุนจูงได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ออกมา หรือว่าเขามีงานอื่นต้องไปต่อเหรอ?
"ถ้าอาจารย์มีงานต้อง..."
"ไม่ใช่หรอก มันแค่... ฮ่าฮ่า"
ตอนนั้นเอง
"ช่วยแนะนำเราสักนิดสักหน่อยได้ไหมครับ เหมือนเล่าเรื่องให้หลาน ๆ ฟัง"
นั่นคือมารุ มุนจูงหยุดคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะนั่งลงอีกครั้ง มิโซยกชูนิ้วโป้งให้มารุ เป็นเด็กที่ดีจริง ๆ
"ฉันคงจะให้คำแนะนำในฐานะนักแสดงไม่ได้มากหรอกนะ เพราะฉันแก่เกินกว่าจะตามวงการทันแล้ว แต่... ถ้ามันเป็นแค่คำแนะนำง่าย ๆ ฉันก็ยังพอให้ได้ อยากฟังกันไหม?"
มุนจูงมองดูที่สมาชิกชมรมอย่างถี่ถ้วน
"ขอบคุณครับ" มารุพูดขึ้น ก่อนจะนั่งลง
เด็กคนอื่น ๆ เองก็ทำตามมารุ พอมีมารุช่วยเป็นคนกลาง อะไร ๆ มันก็ง่ายขึ้นจริง ๆ
"พวกหนูคงไม่รู้ฉันหรอกนะ ฉันมันก็คนแก่ที่ชอบการแสดง จึงทุ่มเทชีวิตให้มันก็เท่านั้น มีใครในนี้คิดจะทำการแสดงอย่างจริง ๆ จัง ๆ ไหม?"
เด็กสามคนยกมือขึ้น มารุ เดมยัง และเกนซุค
"หมายความว่าที่เหลือทำเป็นงานอดิเรกสินะ"
"ครับ/ค่ะ"
มุนจูงหลับตาลง หนังตาเหี่ยว ๆ นั้นกำลังสั่นเครือ ทุกคนเองก็ได้แต่นั่งนิ่ง มองดูชายแก่นึกถึงอดีต
"การแสดง... มันคือชีวิตของฉัน และมันก็คือสิ่งที่ฉันใช้เพื่อหากิน ใช้เพื่อเลี้ยงลูก และใช้มันเพื่อช่วยเตรียมตัวหลังเกษียณ หลาย ๆ ครั้งฉันเหนื่อย แต่มันก็สนุกมาก จนถึงจุดหนึ่งฉันอยากจะล้มเลิก และจุดหนึ่งที่ฉันคิดว่าดีแล้วจริง ๆ ที่เลือกมาทำการแสดง เพราะแบบนั้นพอฉันได้มาเห็นเด็ก ๆ แบบพวกเราแล้วฉันถึงอยากบอกให้ฟังสองอย่าง หนึ่ง จงฝึกต่อไป สอง มันจะมีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นกับเรามากมายในวงการ แม้มันจะดูเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม"
มุนจูงเคาะหัวเข่าตัวเองอยู่หลายที
"ถ้าคิดจะทำการแสดงเป็นงานอดิเรก มันก็คงไม่มีอะไรจะสนุกไปได้มากกว่านั้นแล้ว เราคงได้เจอคนที่น่าสนใจมากมาย และได้เล่นเป็นตัวละครที่น่าสนุกหลากหลาย ชีวิตจะมีแต่ความสนุกและตื่นเต้น เพราะแบบนั้นฉันจะบอกไว้เลย เหล่าคนที่ทำมันเป็นงานอดิเรก จนทำมันต่อไปเรื่อย ๆ ตราบเท่าที่ร่างกายยังไหว"
เด็ก ๆ เกือบทุกคนพยักหน้าออกมา แต่มิโซก็เห็นได้ชัดเจนว่าเด็กสามคนที่บอกว่าจะแสดงอย่างเป็นจริงเป็นจังไม่ได้พยักหน้าตาม
"และสำหรับคนที่คิดจะทำมันเป็นอาชีพ... ฉันอยากจะบอกพวกเราว่าให้กลัวตัวเองให้มากที่สุด ระหว่างที่เราแสดงไป เราจะได้เจอประสบการณ์ต่าง ๆ มากมาย ทั้งความผิดพลาดอันขมขื่น และความสำเร็จอันหอมหวาน สิ่งเหล่านั้นมันจะช่วยให้เราพัฒนาขึ้นได้ ทักษะของเราเองก็จะเดินหน้าไปเรื่อย ๆ แต่ฉันอยากจะบอกไว้ก่อนว่าการแสดงได้เก่ง ไม่ได้หมายความว่าจะประสบความสำเร็จเสมอไป"
คำพูดอันแสนขื่นขม แต่ก็เป็นสิ่งที่ทั้งสามคนต้องได้ยินเช่นกัน
"ถ้า ปรากฏว่าเกิดดังขึ้นมา เราก็ต้องใช้เวลามองดูตัวเองให้ดี สิ่งที่อันตรายมากกว่าน้ำลายคนอื่นก็คือสายตาของตัวเอง เมื่อไหร่ก็ตามที่เราถูกความหยิ่งยโสและศักดิ์ศรีกลืนกิน เราก็จะเปลี่ยนจากดาราดังกลายเป็นแค่เศษหินข้างถนน และ..."
มุนจูงลุกขึ้นยืนอีกครั้ง คราวนี้ แม้แต่มิโซก็ไม่กล้าที่จะหยุดเขา เพราะเขาลุกขึ้นด้วยแรงที่มั่นคงและทรงพลังขนาดนั้น
"ฉันจะบอกแบบนี้เสมอกับเด็ก ๆ ที่เข้ามาขอให้ฉันสอนอะไรให้ จงอดทนในตอนที่อยากยอมแพ้ จงเลิก ในตอนที่คิดว่าทำมันมาพอแล้ว ถ้าทำแบบนั้นได้ เราก็จะไม่โดนศักดิ์ศรีและเงินกลืนกินไป"
* * *
มุนจูงมองกลับขึ้นไปที่ชั้น 5 ระหว่างที่เขาเดินออกมาจากโรงเรียน
"ที่รัก"
เขาอยากจะพูดอะไรมากมาย แต่สุดท้ายก็ต้องรีบออกมาด้วยความรีบร้อน มันไม่ใช่เพราะว่าเขามีธุระหรือไม่ชอบบรรยากาศในนั้น เหตุผลคือเขาตื่นเต้นมากเกินไป การได้เห็นเด็ก ๆ แสดงออกมาด้วยความสุขมันทำให้เขาอยากแสดงบ้าง เขาแค่พูดเรื่องที่อยากบอกกับเด็ก ๆ ก่อนจะเดินออกมา
"ยังไงฉันก็คงเป็นนักแสดงจริง ๆ นั่นแหละ"
มุนจูงยิ้มออกมาระหว่างที่เดินผ่านประตูโรงเรียน เขารอไม่ไหวแล้วที่จะได้อ่านบทบาทใหม่ของตัวเอง