บทที่ 121
แสงอรุณลาลับขอบฟ้า หลังจากทานเนื้อย่างเสียบไม้จนอิ่ม ทั้งสามก็ขึ้นไปบนกิ่งไม้โคจรลมปราณพอรอเวลา แสงสว่างจากดวงจันทร์สาดส่องผ่านใบไม้ถึงพื้น เสียงร้องคำรามของปีศาจดังสนั่นมาจากบนเขา เกือบสามชั่วยาม ทั้งสามก็ลืมตาขึ้นมาพร้อมกับสะบัดมือนำอาวุธคู่ใจออกมาถือไว้ พื้นดินสั่นสะเทือนเสียงดัง เงามืดค่อยๆลอยมาปกคลุมแสงจากดวงจันทร์ เป็นเงาของปีศาจตัวใหญ่ สูงโปร่งผิวมันวาว รูปร่างคล้ายมนุษย์เพียงแต่แขนและขายาวกว่า ไม่มีดวงตามีจมูกและเพียงปากที่มีฟันแหลมคม บริเวณหัวไหล่ด้านขวา มีปีศาจอีกตน รูปร่างคล้ายกันแต่เล็กกว่า ถือไม้เท้าผูกติดกับหัวกะโหลกมนุษย์ มีดวงตาดวงใหญ่หนึ่งดวงสีแดง
ชายหนุ่มทั้งสามคนกำชับอาวุธในมือแน่น ไม่ถึงสองลมหายใจปีศาจตนเล็กกรีดร้องออกมาพร้อมกับชี้ไม้เท้ามาที่ชายหนุ่มทั้งสาม ปีศาจตัวใหญ่ง้างมือขวาฟาดเข้ามาอย่างรวดเร็ว เปรี้ยง เกราะสายฟ้าออกมาต้านรับได้อย่างทันท่วงที เย่เตากระโดดลงจากกิ่งไม้พร้อมกับเรียกสัตว์อสูรออกมา ในจังหวะนั้นเย่เตาก็ลงไปยืนบนหลังของสัตว์อสูรพุ่งทะยานขึ้นบนฟ้าพร้อมกับฟาดฟันดาบออกไป ปราณดาบสีแดงพุ่งทะยานออกไป เปรี้ยง ปะทะกับม่านพลังสีม่วงที่ปีศาจตนเล็กเรียกออกมาจากไม้เท้า เนี่ยฟงถึงกับขมวดคิ้วหันไปเอ่ยกับหยางเวย
“หยางเวยเจ้าเห็นปีศาจตัวเล็กที่หัวไหล่ด้านขวาหรือไม่”
“ข้าเห็นแล้ว มีสิ่งใดรึ”
“เจ้าโจมตีด้านนอกให้ข้าที ข้าจะแอบเข้าประชิด”
“ได้ตามนั้น”
เมื่อกล่าวสิ้นเสียงหยางเวยก็ฟาดฟันมีดอันแปลกประหลาดในมือออกไป ปราณมีดสีม่วงพุ่งทะยานเข้าหาปีศาจ เนี่ยฟงโบกสะบัดมือวงอักขระศักดิ์สิทธิ์ก็บดบังเนี่ยฟงหายไปจากบริเวณ เย่เตาอยู่บนฟ้าก็ค่อยฟาดฟันดาบลงมา หยางเวยเองก็กระหน่ำฟาดฟันดาบในมืออีกทั้งยังคอยกระโดดหลบไปมาหลบหนีการโจมตีจากปีศาจตัวใหญ่ เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง ม่านพลังสีม่วงยังคงกางต้านรับปราณดาบอย่างไม่ลดละ เสียงการต่อสู้ดังสนั่นลั่นป่า เกือบหนึ่งเค่อเนี่ยฟงก็แอบเข้ามาในระยะใกล้ มีดสั้นในมือกลายเป็นดาบอย่างรวดเร็ว เนี่ยฟงฟาดฟันดาบออกไปด้วยท่าดาบตัดสายฟ้า ปราณดาบสีฟ้ามีประกายสายฟ้าล้อมรอบพุ่งเข้าหาปีศาจตัวเล็ก เปรี้ยง ร่างกายขาดเป็นสองท่อนเลือดสีเขียวพุ่งกระฉูด แสงสีม่วงพุ่งเข้าร่างชายหนุ่มทั้งสาม
ในจังหวะนั้นเองปีศาจตัวใหญ่ก็ใช้จมูกดมบางอย่างไม่ถึงครึ่งลมหายใจมันก็กรีดร้องออกมาเสียงดัง ใช้มือทั้งสองข้างฟาดไปมา ต้นไม้น้อยใหญ่หลุดกระเด็น เย่เตาโชคดีที่อยู่บนฟ้า แต่เนี่ยฟงและหยางเวยต้องพุ่งหลบหนีออกมาอย่างรวดเร็ว ไม่นานปีศาจตัวใหญ่ก็หยุดกรีดร้อง มันใช้มือทั้งสองข้างที่มีเล็บแหลม กรีดเฉือนบริเวณดวงตา ไม่นานก็มีดวงตาดวงใหญ่สีแดงก่ำลืมขึ้นมาเปรอะไปด้วยเลือดสีเขียว มันหันไปมา ในที่สุดก็พบเจอชายหนุ่มทั้งสาม มันกรีดร้องเสียงดังอีกครั้งใช้มือทั้งสองฟาดไปมา เสียงลมดังหวีดหวิว เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง ตูม ตูม ตูม ต้นไม้หักโค่นกระจุยกระจาย
เนี่ยฟงและหยางเวยรีบพุ่งหลบหนี เป็นเย่เตาที่ฟาดฟันปราณดาบออกมาช่วยเหลือ เปรี้ยง เปรี้ยง เนี่ยฟงรีบเก็บดาบในมือโบกสะบัดมือขวาประกายสายฟ้าพุ่งออกจากมา ปรากฏวงอักขระศักดิ์สิทธิ์ขึ้นที่พื้น ไม่ถึงหนึ่งลมหายใจเนี่ยฟงก็ซัดฝ่ามือลงพื้น เถาวัลย์สีฟ้ามีประกายสายฟ้าพุ่งเข้าไปที่ขาของปีศาจ เถาวัลย์สีฟ้าพุ่งเข้าไปรัดจนแน่น หยางเวยฟาดฟันมีดในมือเข้าช่วยเหลืออีกทาง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เนี่ยฟงโคจรลมปราณไปที่วงอักขระศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับยกมือขวาขึ้นมาแล้วกระชากเข้าหาตัวอย่างรวดเร็ว เถาวัลย์สีฟ้าที่รัดขาของปีศาจไว้ถูกกระชากอย่างแรง ปีศาจที่กำลังสนใจเย่เตาและหยางเวยไม่ทันระวัง ล้มตัวมาด้านหน้า
หยางเวยรีบพุ่งทะยานไปบนกิ่งไม้ ฟาดฟันมีดในมือไปที่ลำตัวของปีศาจ เปรี้ยง ทันทีที่ปีศาจล้มลง ตูม เสียงดังสนั่น เย่เตาก็กระโดดออกจากหลังสัตว์อสูร โคจรลมปราณไปที่ดาบ ฟาดฟันออกไป ปราณดาบสีแดงพุ่งเข้าหาปีศาจบริเวณคอด้านหลัง หยางเวยเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ฟาดมีดในมือไปที่คอของปีศาจเช่นกัน ปราณดาบสีแดงและปราณมีดสีม่วงเข้าปะทะอย่างรวดเร็ว เปรี้ยง เลือดสีเขียวพุ่งกระฉูดออกมา ไม่นานก็กลายเป็นแสงพุ่งเข้าหาชายหนุ่มทั้งสาม แต่ว่ายังไม่ทันจะทำอะไรต่อ ทั้งสามก็ถูกปีศาจอีกแปดตัวล้อม
ปีศาจทั้งแปดตนรูปร่างคล้ายมนุษย์แต่ตัวใหญ่กว่า มีหนามแหลมขึ้นที่ด้านหลัง มือซ้ายเป็นกรงเล็บ ส่วนมือขวามีลักษณะคล้ายดาบเล่มโต ไม่มีสิ่งใดต้องกล่าว หยางเวยแสยะยิ้มพุ่งเข้าปะทะพร้อมกับอสรพิษดำที่ติดตามมาด้านหลัง เย่เตากระโดดขึ้นบนหลังสัตว์อสูรอีกครั้งเพื่อโจมตีจากด้านบน เกราะสายฟ้าหมุนวนต้านรับการโจมตีด้านนอกเป็นระยะ เนี่ยฟงคอยฟันดาบในมือออกไปเป็นระยะในจังหวะเข้าสังหารปีศาจ ลำแสงสีต่างๆพุ่งเข้าหาชายหนุ่มทั้งสาม ลมปราณที่หดหายจากการต่อสู้ถูกเข้ามาแทนที่พร้อมกับมีส่วนที่เหลือมาเพิ่มพลังปราณอีก ทั้งสามประดุจพยัคฆ์ใดฝูงแกะ ปราณดาบและปราณมีดปลิวว่อน
จากการปะทะที่รุนแรงทำให้ปีศาจจำนวนไม่น้อยมุ่งหน้ามาทางนี้ ทั้งสามหาได้สนใจลงมือสังหารจนหมดสิ้น เสียงจากการปะทะดังสนั่นเขา เกือบรุ่งสางเสียงการปะทะถึงจะเงียบเสียงลง กลุ่มชายยุทธหลายกลุ่มเร่งออกเดินทางมาที่นี่ ทันทีที่มาถึงทุกคนต่างตกตะลึงกับภาพที่เห็น สภาพป่าถูกทำลายไปเป็นบริเวณกว้าง ต้นไม้ถูกเผาทำลายอีกทั้งยังมีพิษสีม่วงตกค้างจากพิษที่อสรพิษดำพ่นออกมา ชายหนุ่มทั้งสามหลังจากสังหารปีศาจทั้งคืน ทั้งสามก็หาที่สงบสำหรับพักผ่อนเอาแรงบนกิ่งไม้ใหญ่ เนี่ยฟงวางวงอักขระศักดิ์สิทธิ์สำหรับสร้างเป็นอาณาเขต อีกทั้งยังใช้บดบังจากสายตาผู้อื่น
ดวงอาทิตย์ขึ้นตั้งตรงศีรษะ ทั้งสามหนุ่มก็พุ่งทะยานไปตามกิ่งไม้ใหญ่ บางครั้งพบเจอปีศาจแต่ก็หลบเลี่ยงหาได้เข้าโจมตี ทั้งสามรับรู้แล้วว่าหากเกิดการปะทะกันขึ้น ทั้งสามจะต้องรับมือกับปีศาจจำนวนมากที่พุ่งเข้ามา
“เนี่ยฟงอีกนานหรือไม่”
เนี่ยฟงไม่กล่าวสิ่งใดตอบ ชี้ไปที่ด้านหน้าของหยางเวย เมื่อหยางเวยหันไปมองก็ต้องยกยิ้มอีกครั้ง เพราะภาพที่เห็นคือเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่หลายสิบคนโอบ ตรงโค่นต้นไม้มีโพรงขนาดใหญ่ เนี่ยฟงรีบพุ่งทะยานเข้าไปพร้อมกับโบกสะบัดมืออีกครั้งประกายสายฟ้าพุ่งออกจากมา ปรากฏวงอักขระศักดิ์สิทธิ์สีแดงขึ้นที่ด้านหน้าของโพรงไม้ หยางเวยรับรู้ทันทีรีบสะบัดมือนำอาวุธออกมาถือไว้พร้อมกับหันไปมองรอบด้าน เช่นเดียวกับเย่เตา เกือบสองเค่อวงอักขระศักดิ์สิทธิ์สีแดงก็กลายเป็นสีฟ้าทั้งหมด เนี่ยฟงหันไปมองหยางเวยและเย่เตา
“พวกเราเข้าไปด้านในกันเถอะ”
สิ้นเสียงกล่าวเนี่ยฟงก็เดินผ่านวงอักขระศักดิ์สิทธิ์เข้าไปในโพรงไม้ติดตามมาด้วยหยางเวยและเย่เตา เมื่อทั้งสามผ่านเข้ามา ด้านในเป็นโพรงไม้ขนาดใหญ่ ตรงกลางมีศิลาจารึกตั้งอยู่ รอบด้านมีแก่นพลังปราณวางไปเกลื่อนพื้น หยางเวยหัวเราะเสียงดังพุ่งค่อยๆเดินเข้าไปหยิบแก่นอสูรทีละก้อนอย่างอารมณ์ดี เนี่ยฟงหันไปมองเย่เตา พร้อมกับสะบัดมือขวานำขวดยาโยนให้แก่เย่เตา
“เย่เตา ข้าคงใช้เวลาอ่านศิลาจารึกอีกนาน เช่นนั้นเจ้าก็เพิ่มพลังลมปราณเถอะ ที่นี่มีแก่นพลังปราณจำนวนไม่น้อย หวังว่าเจ้าจะตัดผ่านระดับนะ”
เย่เตารีบก้มศีรษะขอบคุณเนี่ยฟง แต่ก็ถูกยกมือขวาขึ้นมาห้ามเสียก่อน หลังจากนั้นเนี่ยฟงก็เดินเข้าไปที่ศิลาจารึก
“บัดซบพวกเจ้าทั้งเจ็ดคนพ่ายแพ้ให้แก่เด็กน้อยที่พึ่งหัดเดินรึ”
ผัวะ เสียงตบด้วยหลังมือขวาของชายหนุ่มผู้หนึ่งที่มีอารมณ์โกรธอย่างเห็นได้ชัด
“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกมันมาจากไหน”
“ไม่ทราบขอรับ พวกข้าเห็นว่าเป็นเด็กน้อยคิดจะข่มขู่ เพียงแต่ว่า”
“เหอะ เพียงแต่ว่าพวกเจ้าถูกจัดการ อีกทั้งยังถูกปล้นสมบัติไปอีก”
กล่าวสิ้นเสียงชายหนุ่มผู้นั้นก็เรียกดาบเล่มโตมาอยู่ในมือฟันไปที่ลำคอของชายฉกรรจ์ผู้หนึ่ง เลือดสีแดงสดพุ่งออกจากลำคอ ศีรษะกระเด็นร่วงลงพื้น
“เจ้าสมควรตาย ที่เก็บสมบัติเอาไว้ไม่ได้”
ชายฉกรรจ์ทั้งห้ายืนตัวสั่นสะท้านไปด้วยความกลัว
“ข้าให้เวลาพวกเจ้าสามวัน ตามหาตัวพวกมันให้เจอ ข้าจะต้องเอาสมบัติของข้ากลับมา”