ตอนที่ 37
ตอนที่ 37
[การทดสอบชั้นที่ 20 ระดับที่ 10 กำลังเริ่ม]
เมื่อสายตาของซูฮยอนค่อยๆปรับสภาพ
สิ่งแรกที่ซูฮยอนเห็นเลยก็คือกำแพงปราสาทที่ตั้งเด่นตระหง่านพร้อมกับทหารอีกจำนวนมายืนเฝ้าอยู่
ทหารที่ยืนเรียงกันเป็นแถวราวมดงาน แค่มองครั้งเดียวซูฮยอนก็รู้ได้ทันที่ว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่
<<หืม...เหมือนจะโดนรุมเลยแฮะ>>
ซูฮยอนหันไปมองรอบตัว ดูเหมือนเขาจะยืนอยู่คนเดียวจริงๆด้วย ซึ่งต่างกับทหารที่ยืนเรียงรายกันอยู่นับไม่ถ้วน
[การทดสอบเริ่มได้]
[ทหารและทหารรับจ้างนับพันกำลังปกป้องปราสาทที่ห้ามผ่านของอาณาจักรแกรนดาลัม ภารกิจของคุณ ใช้วิธีใดก็ได้ ทำลายปราสาทให้ได้]
[รื่อถอนปราสาท ไม่จำกัดวิธี คุณสามารถหาพันธมิตรภายในสมรภูมิแห่งนี้มาช่วยได้]
[แต่โปรดจำไว้ คุณไม่ใช่ศัตรูของพวกเขา]
[คุณมีเวลาหนึ่งเดือนในการทำภารกิจครั้งนี้ให้เสร็จสมบูรณ์]
[ถ้าคุณตายหรือเลยกำหนดเวลา ภารกิจจะล้มเหลวทันที]
[กรุณารื้อถอนปราสาท]
[แบไต๋ความลับของปราสาท]
[รางวัลที่ได้รับ ขึ้นอยู่กับความสามารถของคุณ]
การบรรยายเนื้อหาภารกิจค่อนข้างยาว
ซูฮยอนหลังจากฟังจนจบ เขาก็เริ่มเข้าใจเรื่องราวคร่าวๆ
<<ดูท่าทางปราสาทแห่งนี้จะไม่ธรรมดาซะแล้ว>>
จุดประสงค์สำคัญของภารกิจ คือให้ค้นหาความลับของปราสาท...
แสดงว่าต้องให้คุณทำลายปราสาทลงได้ คุณอาจไม่ผ่านภารกิจ
จุดสำคัญของภารกิจยังไม่หมดแค่นั้น ทหารและทหารรับจ้างทุกคนไม่ใช่ศัตรูของคุณ
ซึ่งมันตรงกับคำบอกใบ้ของผู้อารักขาเป๊ะๆ
<<อย่าฆ่าใคร...>>
แต่ทำไมกัน...หรือว่าชีวีตของทหารคือตัวกำหนดของรางวัล?
ตามปกติระบบให้หอคอยไม่ได้ให้ความสำคัญกับชีวีตของผู้คนมากขนาดนี้
ภารกิจในหอคอยส่วนใหญ่จะเป็นการบู้ล้างผลาญซะมากกว่า
ภารกิจช่วยเหลือมันก็มีเหมือนกัน แต่มันมีจำนวนที่น้อยมากๆ
<<พวกเขาไม่ใช่ศัตรูงั้นเหรอ..>>
ซูฮยอนเงยหน้าขึ้นมองดูปราสาทแล้วเกาหัวตัวเองเบาๆ
“เป็นเรื่องที่ดูยุ่งยากจริงๆ”
ซูฮยอนหลับตาลงแล้วปลดปล่อยพลังเวทย์ของตัวเองออกไป
รัศมีพลังเวทย์ของซูฮยอนค่อยๆขยายตัวปกคลุมปราสาทอย่างช้าๆ
ไม่เวลานานพลังเวทย์ของซูฮยอนก็กระจายไปทั่วบริเวณรอบๆ
จนซูฮยอนสามารถรับรู้ได้ถึงลมหายใจของทหารทุกนาย
<<ดูเหมือนพวกเขาส่วนใหญ่จะใช้พลังเวทย์ได้ด้วยแหะ>>
ทหารรับจ้างส่วนใหญ่ ถ้าลองมาเปรียบเทียบกับผู้ตื่นขึ้น พวกเขาก็มีพละกําลังเท่ากับแรงค์ C
ถึงแม้จะมีทหารบ้างส่วนจะไม่มีพลังเวทย์ แต่ถ้ามองสรีระจากภายนอก ดูเหมือนพวกเขาจะถูกฝึกมาเป็นอย่างดี
มันเป็นเรื่องที่ยากมากๆ ในการโค่นล้มปราสาทที่มีกำแผงสูงชัน และประตูเหล็กที่หนาเตอะ แถมยังมีทหารรับจ้างอีกนับพันค่อยเฝ้ายามอยู่
ตามคำบอกใบ้ของผู้อารักขา ถ้าเป็นไปได้ห้ามซูฮยอนฆ่าคนมั่วซั่วเด็ดขาด
<<เฮ้อ ทำไมอุปสรรคมันเยอะขนาดนี้>>
อยู่ๆความยากของภารกิจก็พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
ถ้า ‘ผู้ตื่นขึ้น’ คนอื่นมายืนอยู่ตรงนี้ พวกเขาคงคิดในใจว่ามันจะผ่านไปได้เหรอ
เพราะภารกิจแบบนี้มันไม่ควรโผล่ออกมาในชั้นที่ 20 ด้วยซ้ำ
แน่นอน ‘ผู้ตื่นขึ้น’ คนอื่นอาจคิดว่ามัน ไม่มีทางผ่านไปได้
แต่สำหรับซูฮยอน เขาคิดว่ามันน่าจะเป็นไปได้
<<1 เดือนงั้นเหรอ>>
ประจวบเหมาะจริงๆ เวลาที่ซูฮยอนตั้งไว้ในการเคลียร์มันให้สมบรูณ์ ก็เป็นเวลาหนึ่งเดือนเหมือนกัน
ใจความสำคัญของภารกิจ ดูเหมือนเขาสามารถสร้างพันธมิตรได้
ไม่แน่ ในช่วงเคลียร์ภารกิจ ซูฮยอนอาจมาถึงทางตัน จนหาทางไปต่อไม่ได้ ฉะนั้นเขาจึงจำเป็นต้องหาพันธมิตรในปราสาทแห่งนี้เพื่อเดินหน้าต่อไป
แต่ว่า...
“สำเร็จให้ได้ก่อน 1 เดือนงั้นเหรอ”
ตุบ ตุบ
ซูฮยอนค่อยๆเดินไปทางปราสาทอย่างช้าๆ
“มันเป็นเวลาที่นานเกินไป”
ถ้าเป็นไปได้ซูฮยอนอยากทำให้มันเสร็จเร็วกว่านี้ เพราะเวลาตั้ง 1 เดือน เขาสามารถทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง
ซูฮยอนมีความมั่นใจลึกๆว่า ตัวเองจะทำสำเร็จ
* * *
ปราสาทขนาดยักษ์ที่สูงหลายร้อยเมตร
แค่มองจากที่ไกลๆ ก็เห็นมันได้อย่างชัดเจน
ซูฮยอนเดินเข้าไปเรื่อยๆอย่างไม่รีบร้อน เพราะเวลาของเขายังเหลืออีกเยอะ
ทุกๆก้าวของซูฮยอน ยิ่งเขาเข้าใกล้ปราสาทมากเท่าไหร่
เขาก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ผิดปกติจากภายในของปราสาท
เหตุผลที่ซูฮยอนเดินโต้งๆมาแบบนี้
เพราะซูฮยอนอยากรู้ว่าคนเฝ้าปราสาท เมื่อเห็นว่ามีคนมา เขาจะมีปฏิกิริยายังไง
“หยุด”
เมื่อระยะห่าง ระหว่างซูฮยอนกับปราสาทย่นลง เขาก็ได้ยินเสียงทหารเฝ้ายามตะโกนลงมา
ซึ่งน้ำเสียงของเขาดังไปไกลกว่าปกติ
ซูฮยอนรู้สึกว่าน้ำเสียงของทหารเฝ้ายามมีพลังเวทย์ผสมอยู่หน่อยนึง
ซูฮยอนหยุดเดินและค่อยๆเงยหน้าขึ้นไปมองต้นตอของเสียง
ไม่นานเสียงที่เคยกล่าวเตือน ก็ดังออกมาอีกครั้ง
“เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป มาทางไหน กลับไปทางนั้นซะ”
น้ำเสียงที่ส่งออกมา กดดันกว่าเมื่อกี่หลายเท่า
ซูฮยอนพยายามตั้งสมาธิแล้วเพ่งสายที่เต็มไปด้วยพลังเวทย์
ถึงแม้มันจะระยะทางมันจะไกล แต่สายตาของซูฮยอนก็สามารถมองเห็นเจ้าของเสียงที่ส่งออกมาอย่างชัดแจ๋ว
“เอ่อคือ...ผมขอเข้าไปพักผ่อนสัก 2-3 วันไม่ได้เหรอครับ”
“ไม่ได้ ที่นี้ไม่เหมาะแก่คนธรรมดาแบบเจ้า”
ทหารเฝ้าประตูที่กำลังพูดกลับซูฮยอน
อยู่ๆเขาก็รู้สึกแคลงใจขึ้นมา
ด้วยระยะห่างระหว่างเขากับซูฮยอนมันห่างกันมา
ฉะนั้นถ้าเสียงธรรมดาทั่วไปส่งมา มันไม่มีทางได้ยินแน่ๆ
ถ้าอยากให้เสียงเดินทางผ่านอากาศมาได้ไกลขนาดนี้ มันจำเป็นต้องใช้พลังเวทย์อัดลงไปด้วย
“แก..แกเป็นใครกันแน่?” ทหารถามด้วยความหวาดระแวง
“ผมก็เป็นแค่นักเดินทาง ที่เผอิญผ่านทางมา.....ผมขอยืมปราสาทของพี่ชายพักผ่อนหน่อยได้ไหม แค่ไม่กี่วันเอง...”ซูฮยอนเริ่มพูดปั้นน้ำเป็นตัวอีกครั้ง
“พี่ชาย ทำไมเราไม่ลงมาคุยกันดีๆข้างล่างล่ะครับ”
“ไอ้เด็กบ้านี้”
ดูเหมือนบนปราสาทจะเกินการรวมพลฉุกเฉินขึ้น เพราะซูฮยอนได้ยินเสียงฝีเท้าเต็มไปหมด
ทหารเฝ้าประตู ตอนนี้คิดว่าซูฮยอนคือศัตรูของพวกเขา
ตอนแรกทหารเฝ้าประตูไม่ได้รู้สึกถึงภัยคุกคามเลยสักนิด เพราะพวกเขาเห็นผู้มาเยือนมาแค่คนเดียว
แต่พอพวกเขาสัมผัสได้ถึงพลังเวทย์ของซูฮยอน พวกเขาจึงเกิดอาการหวาดกลัวขึ้น
ซึ่งซูฮยอนก็ไม่แปลกใจมากนัก เพราะเขารู้อยู่แล้วว่ามันต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแน่ๆ
“เอาล่ะ..”
เมื่อซูฮยอนรู้ว่าอีกฝ่ายเตรียมต่อสู้
เขาก็ค่อยๆหยิบดาบแกรมที่ห้อยอยู่ตรงเอวขึ้นมา
“สุดท้าย เรื่องที่เคยคาดคิดไว้ก็เกิดขึ้นจนได้”
กริ๊ก
ซูฮยอนค่อยๆถ่ายเท พลังเวทย์ลงไปในดาบของเขา
เหนือศีรษะของซูฮยอน มีลูกธูนจำนวนมากลอยละล่องอยู่บนท้องฟ้าเหมือนห่าฝน
ฟรึ้บ
ซูฮยอนตัดสินใจกระโดดถอยหลังไปหนึ่งครั้ง ก่อนที่เขาจะกระโดดขึ้นไปบนอากาศ
การกระโดดของซูฮยอน ทำให้ร่างกายของเขาลอยอยู่เหนือลูกธูนจำนวนมาก
“ยิงไปอีก”
ชายที่มีหน่วยก้านดูดี สั่งการในทหารยิงธูนไปอีกชุด
เพียววววว
ลูกธูนนับพันพุ่งตรงไปหาซูฮยอนอีกครั้ง
ซูฮยอนยอมรับว่าทักษะการยิงธูนของทหารพวกนั้น ดีเยื่ยมมาก
แม้ซูฮยอนจะยืนอยู่ไกลจากพวกเขา แต่ลูกธูนที่พุ่งมา กลับตรงมาหาเขาอย่างแม่นยำ
ตูม
อยู่ๆดาบของซูฮยอนก็ระเบิดเปลวเพลิงออกมา
ซูฮยอนสะบัดดาบไปเหนือศีรษะของตัวเอง
จนคลื่นเปลวเพลิงลอยไปปะทะกับลูกธูน
เมื่อลูกธูนถูกเผาไหม้ ซูฮยอนถึงตัดสินใจพุ่งไปด้านหน้าด้วยความเร็วที่ตามองไม่ทัน
เมื่อร่างกายของซูฮยอนหายไป
ทหารหลายนายก็พากันเพ่งเล็งหาตัวของซูฮยอนทันที
แต่ด้วยความเร็วที่ซูฮยอนแสดงออกมา มีน้อยคนนักที่จะมองตามได้ทัน
“ตรงนั้นไง”
ถึงแม้จะมองเห็น...แต่มันสายไปแล้ว...เพราะซูฮยอนมาถึงหน้าประตูของปราสาทเป็นที่เรียบร้อย
“ฉันจะทำลายมันในครั้งเดียวให้ดู”
วุป
ซูฮยอนถ่ายเท พลังเวทย์ลงไปในดาบแกรมเต็มกำลัง
ด้วยความแข็งแกร่งและความคมที่วัดไม่ได้
ทำให้ดาบแกรมเหมาะแกการตัดทุกสรรพสิ่ง
ไม่ว่าประตูจะแข็งแรงมากแค่ไหน แต่ซูฮยอนเชื่อว่าดาบแกรมน่าจะตัดมันได้
หมับ
ซูฮยอนจับดาบแกรมเอาไว้ในมืออย่างแน่นหนา
แล้วค่อยๆปล่อยให้เวทย์คลุมตัวดาบอย่างช้าๆ จนดาบแกรมในมือของเขาเริ่มยาวขึ้น
เมื่อดาบแกรมสัมผัสกับคลื่นพลังเวทย์ของซูฮยอน มันก็เกิดการสั่นสะเทือนเบาๆ
ตอนนี้ ดาบในมือของซูฮยอน มีความคมเพิ่มขึ้นอีก 2 เท่า
“ได้ทีล่ะ”
วุป วุป วุป
ซูฮยอนถือดาบในกระชับมือ แล้วเหวี่ยงดาบเข้าไปปะทะกับประตูเต็มแรง
เมื่อดาบที่แข็งแกร่งกับปะทะกับประตูเหล็กกล้า
ประตูที่ปิดอยู่ก็ขาดออกจากกันเหมือนผ่าเต้าหู้
ตูม.................
เศษซากของประตูมันกระจัดกระจ่ายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเต็มไปหมด
จนมันไม่สร้างซ่อมแซมได้อีกต่อไป
“ประตูแตกแล้ว”คนในปราสาทตะโกนออกมา
ซูฮยอนหายใจเข้าไปในปอดลึกๆ หลังจากปล่อยพลังเวทย์ที่มหาศาลออกไป
เมื่อประตูด้านหน้าพัง ทหารอีกหลายสิบนาย ก็พากันออกมาดูที่เกิดเหตุ
“มันถูกตัดจนเละหมดเลย”ทหารนายหนึ่งกล่าวอย่างสั่นกลัว
หลังจากที่ซูฮยอนสะบัดดาบออกไป
ซูฮยอนก็รู้ได้ทันที่เลยว่า ดาบแกรมในมือของเขา มันเป็นดาบที่ดีจริงๆ
***************************
ตามคำร้องขอของซูฮยอน
ทำให้ลีจุนโฮต้องไปหาผู้ตื่นขึ้นที่มีอำนาจมากคนหนึ่งในเกาหลี
ซึ่งเขาอาศัยอยู่ตรงใจกลางเมืองหลวง
ภายในอาหารแห่งนี้ มีผู้ตื่นขึ้นเดินกันยั้วเยี้ยเต็มไปหมด
ลีจุนโฮแสดงบัตรผู้ตื่นขึ้นของตัวเองในเจ้าหน้าที่ดู
ก่อนที่ลีจุนโฮจะเดินเข้าไปในภายอาคาร
ในหมู่ผู้ตื่นขึ้น มีบางคนจำลีจุนโฮได้
เขารีบเดินมาหาแล้วกล่าวทักทายอย่างเป็นกันเอง
“โย้ว ลีจุนโฮไม่ใช่หรือไง อะไรทำให้ทำนายถ่อมาทีนี้ละเนี้ย”
ในขณะที่ลีจุนโฮกำลังเดินอยู่ตามทาง
เจ้าหน้าที่ระดับระดับสูง คิมดูอุย ก็เดินเขามาทัก
เขาคือผู้ตื่นขึ้น แรงค์ A ที่มากฝีมือคนหนึ่ง
พวกเขาทั้งสองคน เคยเจอกันมาก่อนเมื่อนานมากแล้ว
ลีจุนโฮเมื่อเจอคนมาทักทาย เขาก็เดินไปหาและจับมือทักทายตามมารยาท
“สวัสดีครับ ผมมีเรื่องนิดหน่อยนะ ผู้อำนวยการลีอยู่ไหม”
“อยู่สิ ฉันว่าวันนี้เขาไม่น่าจะมีนัดอะไรเป็นพิเศษ”
“งั้นเหรอ เยี่ยมเลย”
“นายมาหาผู้อำนวยการงั้นเหรอ งั้นดีเลยเราไปด้วยกันไหม”
“ไม่เป็นไรครับ ผมไปคนเดียวดีกว่า..”
“เถอะน๊า ฉันเองก็มีที่ต้องรายงานเหมือนกัน มันเกี่ยวกับเรื่องดันเจี้ยนระดับสีเขียวที่โผล่ออกมาเมื่อไม่นานมานี้ ไปด้วยกันเถอะ”
หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ลีจุนโฮกพยักหน้าตอบตกลง
ไม่แน่ถ้ารวมคิมดูอูย ได้ด้วยอีกคน
เขาอาจโน้มน้าวผู้อำนวยการลีง่ายขึ้นก็ได้
“ถ้างั้นไปกันเถอะครับ”
ลีจุนโฮและคิมดูอุย พากันเดินไปห้องผู้อำนวยการด้วยกัน
ผู้อำนวยการลี มีหน้าที่ดูแลเรื่องราวต่างๆของผู้ตื่นขึ้น
เขาเป็นชายชราอายุประมาณ 60 ปี
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยฝ้ากระ ดวงตาที่เหี่ยวเฉา พร้อมกับใบหน้าที่มองเฉยเมย
ในอดีตเขาเคยลงสมัครท้าชิงประธานาธิบดีของเกาหลีมาก่อน
ถึงแม้เขาจะไม่ได้ตำแหน่ง ประธานาธิบดี
แต่เขาก็ได้ตำแหน่งเจ้าหน้าที่วุฒิสภาสูงสุดมาครอบครองแทน
แต่ก็ดำรงตำแหน่งนั้นได้ไม่นาน ก่อนที่จะลาออก แล้วผลันตัวมาเป็นผู้อำนวยการแทน
หน้าทีหลักๆของเขาคือ ดูแลความเรียบร้อยของ ‘ผู้ตื่นขึ้น’ และ 'ประชาชน'
“ผู้อำนวยกา รคุณมีแขก”
คิมดูอูย ผู้รับใช้ผู้อำนวยการมานานพูดคุยกับเขาอย่างเป็นกันเอง
ผู้อำนวยการลีเมื่อได้ยินว่ามีแขกมา เขาก็เงยหน้าขึ้นมามองลีจุนโฮอยู่สักพัก
ก่อนที่จะละสายตากลับไปบนเอกสารเหมือนเดิม
“มีธุระอะไรกับฉันหรือ” ผู้อำนวยการลีพูด
ลีจุนโฮที่รู้อยู่แล้วว่าผู้อำนวยการมีนิสัยแบบนี้ ฉะนั้นเขาจึงไม่ใส่ใจอะไรมาก
เขาค่อยเปิดปากพูดอย่างช้าๆ
“ผมมีเรื่องขอร้อง”
“สำคัญไหม?”
“สำคัญครับ มันเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของพลเมือง”
ความปลอดภัยของพลเมือง คือหลักปรัชญาที่ผู้อำนวยการนับถือ
ลีจุนโฮเชื่อว่าถ้าดึงพลเมืองมาเกี่ยวด้วย ผู้อำนวยการลีอาจมีความสนใจขึ้นก็ได้...
“ความปลอดภัยของพลเมืองงั้นเหรอ...”
ผู้อำนวยการค่อยเงยหน้าขึ้นมามองพินิจ ลีจุนโฮ อีกครั้ง
“ไหนลองเล่าให้ฉันฟังสิ”
'สำเร็จ.' ลีจุนโฮถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ ในที่สุดปลาก็ติดเบ็ดสักที
เขาค่อยๆเล่าเรื่องที่ซูฮยอนเคยเล่าให้ฟังอย่างช้าๆ ชัดๆ
“คือ..เรื่องมันเป็นยังงี้ครับ...”