ตอนที่ 2 : ท่านอาจารย์ ข้าจะแสดงให้ท่านเห็นว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า
“ฮ่าฮ่า นี่เจ้าหวังว่าจะให้ข้ารับเจ้าเป็นศิษย์งั้นหรือ? นี่เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใครในสถานที่แห่งนี้” จื่อฉางเหอ หัวเราะขึ้น
ผมสีม่วงของเขาตวัดไปรอบ ๆ เจ้าหมาป่าที่เขาขี่อยู่ก็ได้คำรามออกมาราวกับว่ามันคือจื่อฉางเหอคนที่สอง
“ข้ารู้ว่าท่านคือวีรบุรุษอัจฉริยะแห่งตำหนักยุทธ์ ด้วยทักษะที่โดดเด่นหาใครเทียบ ท่านจะต้องเป็นผู้อาวุโสลำดับที่สิบเก้าแน่นอน” เซี่ยงเส้าหยุนยกยออย่างออกนอกหน้า ผู้อาวุโสที่สิบเก้า นั่นคือคำที่ทหารยามทั้งสองใช้เรียกอีกฝ่าย
“เช่นนั้นแล้วอะไรที่ทำให้เจ้าคิดว่าข้าจะรับผู้ฝึกยุทธ์ระดับพื้นฐานขั้นสามเป็นศิษย์กันล่ะ?” จื่อฉางเหอถามด้ายความอยากรู้อยากเห็นต่อผู้ที่เข้ามาประจบเขา
“ถ้าหากว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับพื้นฐานขั้นที่สามทั่วไป พวกนั้นคงไม่ได้ท่านชายตามอง ทว่าข้าคือ เซี่ยงเส้าหยุน หาใช่คนธรรมดา! ตั้งแต่ข้าเกิดก็ได้มีเมฆมงคลลงมาจากสวรรค์ ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆสีม่วง เหล่าสรรพสัตว์นับหมื่นต่างคำราม เหล่าบุปผานับพันต่างเบ่งบาน ในเวลาที่ข้าถือกำเนิด” เซี่ยงเส้าหยุน โอ้อวดอย่างไม่อายฟ้าดิน
ก่อนที่จะจบบทสนทนา หน้าผากของจื่อฉางเหอก็ปรากฎริ้วรอยเป็นเส้นดำ เขาเอ่ยคำขัด
“พอได้แล้ว หยุดโอ้อวดเสียที ถ้าเจ้าเก่งอย่างที่เจ้าว่า เจ้าก็ไม่น่าจะติดอยู่ที่ระดับเริ่มต้นนี้”
“เฮ้อไม่เคยมีใครเชื่อว่าสิ่งที่ข้าพูดมันเป็นความจริง” เซี่ยงเส้าหยุนถอนหายใจกับตัวเอง
“บอกมา ว่าเจ้าไปได้ผลึกวิญญาณระดับสูงนี่มาจากที่ไหน?” จื่อฉางเหอเปลี่ยนเรื่องพูด
เซี่ยงเส้าหยุนลังเลชั่วขณะก่อนจะตอบไปว่า “ข้าเก็บมันได้จากแม่น้ำ”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ผลึกวิญญาณมันหาง่ายแบบนั้นน่ะ?” จื่อฉางเหอพูดในขณะทำสีหน้าเบื่อหน่าย
เขาไม่เชื่อคำของเซี่ยงเส้าหยุนแม้แต่น้อย
ด้วยสีหน้าหดหู่เล็กน้อยเซี่ยงเส้าหยุนลดมือลงและพูด
“ถ้าหากท่านไม่เชื่อข้า งั้นก็ลืมมันไปเสียเถิด” เขาก้มหัวลงพร้อมกับพูดว่า
“ดูเหมือนว่าท่านจะไม่มีความตั้งใจที่จะรับข้าเป็นศิษย์ ถ้าอย่างนั้นโปรดคืนผลึกวิญญาณมาให้ข้า”
ได้เห็นว่าเด็กหนุ่มกล้าที่จะถามเพื่อให้ผู้อาวุโสที่สิบเก้าคืนผลึกวิญญาณ ทหารยามทั้งสองคิดกับตัวเองอยู่เงียบ ๆ เจ้าหนูนี่จะต้องไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเป็นแน่ ช่างกล้าที่จะทวงถามของที่กำลังอยู่ในมือของผู้อาวุโสที่สิบเก้า
ทหารยามทั้งสองรู้ว่าท่านอาวุโสที่สิบเก้ามีชื่อเสียงไปทั่วในตำหนักยุทธ์จนถึงขนาดนี้ผู้คนต่างเรียกขานเขาว่า “ขุนนางอัสนีสีม่วง”
ด้วยสีหน้าตกใจ จื่อฉางเหอถาม “เจ้าหนู ข้านึกว่าเจ้าจะนำสิ่งนี้มาเสนอให้กับข้าเสียอีก?”
“นั่นมันเป็นเงื่อนไขถ้าหากท่านรับข้าเป็นลูกศิษย์ต่างหาก” เซี่ยงเส้าหยุนที่ไม่ยอมอ่อนข้อพูดกับจื่อฉางเหอ
จื่อฉางเหอเปลี่ยนสีหน้าเป็นเย็นชาอย่างช้า ๆ และกำลังเผยความโกรธ ในฐานะที่เป็นยอดฝีมือของระดับการแปรสภาพ ผู้คนมากมายไม่อาจทนต่อการจ้องมองที่กดดันของเขาได้
แต่ยังไงก็ตามเซี่ยงเส้าหยุนกลับยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสงบ และจ้องกลับไปยังตัวเขาราวกับว่าตัวเขาไม่ได้รับผลกระทบอย่างสมบูรณ์
“ถ้าหากว่าท่านไม่ต้องการที่จะรับข้าเป็นศิษย์ส่วนตัว เช่นนั้นก็ปล่อยให้ข้าเข้าไปยังตำหนักยุทธ์” เซี่ยงเส้าหยุนเจรจาต่อรอง
“โฮ่โฮ่ น่าสนใจจริง ๆ ก็ได้ข้าจะฟังคำขอของเจ้า” จื่อฉางเหอหัวเราะ เขาได้พบกับเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา ช่างดูน่าสนใจจึงตัดสินใจให้โอกาสแก่เด็กหนุ่ม นี่อาจจะถือได้ว่าเป็นสิ่งตอบแทนผลึกวิญญาณระดับสูงก็ได้
“ขอบพระคุณท่านมาก ท่านอาจารย์!” เซี่ยงเส้าหยุนหัวเราะอย่างมีความสุขและถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ช้าก่อน ข้ายังไม่ใช่อาจารย์ของเจ้า รอจนกระทั่งเจ้าผ่านบททดสอบที่จะเข้าไปยังตำหนักยุทธ์เสียก่อน ถ้าหากว่าเจ้าผ่านมันไม่ได้ อย่าได้มาโทษข้าถ้าหากข้าจับเจ้าโยนกลับออกไปข้างนอก” จื่อฉางเหอบอกความจริงที่น่ารังเกียจก่อนที่เรื่องราวจะดำเนินขึ้น
“ท่านไม่ต้องเป็นกังวลหรอก” เซี่ยงเส้าหยุนพูดอย่างมั่นใจขณะที่ทุบหน้าอกของตัวเอง หลังจากนั้นเขาก็บ่นพึมพำกับตัวเองเบา ๆ
“อย่าลืมคำสัญญาที่จะรับข้าเป็นศิษย์ส่วนตัวของท่านเชียวล่ะ!”
แม้ว่าเซี่ยงเส้าหยุนจะกระซิบ จื่อฉางเหอกลับได้ยินทุกคำพูดอย่างชัดเจน
เขาพูดอย่างไม่ยินดี “เจ้าหนูนี่มันช่างหลงตัวเองเสียจริง ก็ได้! ข้า จื่อฉางเหอจะได้เห็นกับตาว่าเจ้าเป็นอัจฉริยะที่น่าทึ่งตัวจริงหรือไม่”
หลังจากที่เขาพูดจบ จื่อฉางเหอได้ส่งสัญญาณให้หมาป่าของเขายืนขึ้น เขายกเซี่ยงเส้าหยุนขึ้นด้วยแขนเพียงข้างเดียวเหมือนกับยกไก่ก่อนจะวิ่งผ่านเข้าไปยังประตูหลักของตำหนักยุทธ์
“เฮ้! เฮ้! นี่ท่านทำแบบนี้กับข้าได้ยังไง? ทำไมท่านถึงไม่ยอมให้ข้าขี่หมาป่าของท่านเข้าไปล่ะ” เซี่ยงเส้าหยุนบ่นออกมาด้วยความไม่พอใจ
“เจ้าหนูข้าคือหมาป่าผู้ยิ่งใหญ่ไม่ใช่สิ่งที่คนด้อยค่าเช่นเจ้าจะขี่ได้หรอกนะ” เจ้าหมาป่าเอ่ยขึ้นอย่างคล่องแคล่ว
“หวา นี่มันสัตว์อสูรพูดได้!” เซี่ยงเส้าหยุนตะโกนออกมาด้วยความประหลาดใจ
เขาโน้มตัวลงและกล่าวว่า “ก็นะ ข้าเองก็ไม่เคยขี่ขยะเช่นเจ้ามาก่อนเหมือนกัน อันที่จริงข้าเองก็เคยขี่ราชาแห่งสัตว์อสูรมาก่อน!”
“เหอะ ข้าอยากจะกินเจ้าเด็กเหลือขออย่างเจ้าให้หมดในคำเดียวเสียจริง” จ้าวหมาป่าบ่นด้วยความเกรี้ยวกราด
จ้าวหมาป่าเป็นสัตว์อสูรที่ยิ่งใหญ่ แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่เขากลับโดนเด็กหนุ่มเรียกว่าขยะ ยิ่งกว่านั้นสิ่งที่น่าโมโหยิ่งกว่าคือเจ้าเด็กเหลือขอนี่ยังโอ้อวดว่าตัวเขาเองเคยขี่ราชาแห่งสัตว์อสูรมาก่อน มันเป็นสิ่งที่ไม่น่าให้อภัยจริง ๆ
จ้าวหมาป่าชำเลืองมองไปยังเซี่ยงเส้าหยุน จื่อฉางเหอแสดงออกอย่างซับซ้อนในดวงตาของเขาก่อนจะคิดกับตัวเองว่า หรือว่าเจ้าเด็กเหลือขอนี่จะมีเบื่องหลังที่น่าพิศวงกันนะ?
พื้นที่ซึ่งอยู่ในครอบครองโดยตำหนักยุทธ์นั้นกว้างใหญ่มาก มันเหมือนกับหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่อยู่ในเมืองอีกทีหนึ่ง ภายในมีพื้นที่กว้างที่เปิดโล่ง เป็นพื้นที่ฝึกฝนสำหรับเหล่าลูกศิษย์ชั้นนอก เข้าไปข้างในอีกหน่อย มีต้นไม้ใหญ่มากมายถูกปลูกชิดกันก่อให้เกิดป่าขนาดย่อม ซึ่งจะได้ยินเสียงคำรามของสัตว์อสูรออกมาเป็นครั้งคราว ภายในป่ายังมีศาลเก่าแก่อยู่มากมาย บางศาลก็มีหมอกควันออกจากข้างใน มันเหมือนภาพแกะสลักที่โอ่อ่า
หลังจากที่พวกเขามาถึงพื้นที่เปิด ก็ได้พบกับแผ่นหินแผ่นหนึ่ง ที่นั่นจื่อฉางเหอได้เหวี่ยงเซี่ยงเส้าหยุนขึ้นไปบนแผ่นหิน
โครม!
“โอ๊ะ นี่ท่านพยายามจะฆ่าข้าหรือไง?” เซี่ยงเส้าหยุนร้องออกมาอย่างน่าสังเวช เขาตะโกนราวกับหมูที่กำลังจะถูกเชือด นั่นทำให้เกิดความสับสนวุ่นวายและดึงความสนใจแก่เหล่าลูกศิษย์ชั้นนอกที่กำลังฝึกฝนอยู่ในพื้นที่นี้ ทำให้ทุกคนหันไปยังทางต้นเสียง
“อ๊ะ นั่นคงไม่ใช่ท่านขุนนางอัสนีสีม่วงใช่มั้ย? ในที่สุดข้าก็ได้พบผู้ที่ข้าหลงไหล”
“นี่มันเรื่องจริงงั้นหรือ ท่านอาวุโสที่สิบเก้าเนี่ยนะ? ดูสิ่งที่เขากำลังขี่อยู่สิ นั่นมันหมาป่าอสูรตัวยักษ์ นี่มันช่างเป็นสัตว์อสูรที่น่าอัศจรรย์เสียจริง!”
“ท่านขุนนางอัสนีสีม่วง เป็นที่ทราบกันว่าเขาพร้อมกับหอกประจำตัวของเขา มันได้ข่มขวัญเหล่าสัตว์อสูรจากหุบเขาร้อยอสูร จนถึงตอนนี้เหล่าสัตว์อสูรก็ไม่อาจหาญที่จะเข้าใกล้หมู่บ้านอู่อีกต่อไป ข้าหวังว่าข้าจะสามารถแข็งแกร่งแบบเขาได้ในสักวัน!”
“เดี๋ยวก่อนนะ เสียงร้องนั่นมาจากเด็กผู้ชายที่ท่านขุนนางอัสนีสีม่วงพามาด้วยใช่มั้ย? เขาเป็นใครกัน?”
“พวกเขาอยู่ตรงหน้าศิลาแห่งการประเมินค่า หรือว่าท่านอาวุโสที่สิบเก้ากำลังคัดเลือกลูกศิษย์กัน?”
เหล่าลูกศิษย์ชั้นนอกต่างก็พูดคุยกันถึงสิ่งที่พวกเขาพบเจอตรงหน้า
“นี่คือศิลาแห่งการประเมินค่า ไม่เพียงแต่จะทดสอบความแข็งแกร่งของเจ้าเท่านั้น แต่มันยังเผยพรสวรรค์ที่มีมาแต่กำเนิดของเจ้าด้วย ปล่อยหมัดใส่มันดู” จื่อฉางเหอพูดขณะที่กอดอกและมองลงไปยังเซี่ยงเส้าหยุนที่นอนกองอยู่กับพื้น เขาอยากจะรู้ว่าเจ้าเด็กขี้โม้นี่จะมีความน่าอัศจรรย์แค่ไหน
“ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าจะขออนุญาตท่านอาจารย์เพื่อจะแสดงให้เห็น เหนือฟ้ายังมีฟ้า”
เซี่ยงเส้าหยุนพูดด้วยความมั่นใจ ในขณะที่เขาลุกขึ้นจากพื้น เขาปิดตาลง เข้าสู่สภาวะเงียบสงบ เขายืนอยู่ตรงนั้นไม่ไหวติงราวกับว่ามันเป็นการโหมโรงก่อนที่เขาจะปลดปล่อยการเคลื่อนไหวอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา
เหล่าศิษย์กว่าพันคนกำลังกลั้นหายใจ สายตาจับจ้องไปยังเด็กหนุ่มตรงหน้า พวกเขาต่างสงสัยว่าลูกศิษย์ส่วนตัวของท่านขุนนางอัสนีสีม่วงจะน่าทึ่งเพียงใด หลังจากผ่านไปไม่นาน เซี่ยงเส้าหยุนก็ลืมตาขึ้นแล้วเหวี่ยงหมัดของเขาใส่หินศิลาแห่งการประเมินค่า
ตึง!
ศิลาแห่งการประเมินค่ามีการตอบสนองต่อหมัดของเซี่ยงเส้าหยุน มันกระเพื่อมเป็นสีเทาและตามด้วยเส้นบาง ๆ สามเส้นที่แทบจะไม่ควบแน่นตรงหน้าทุกคน พวกเขาต่างตกตะลึง
“นี่.... นี่ข้าตาบอดหรือไร? เขา เขาเป็นแค่ระดับเริ่มต้นขั้นสามเนี่ยนะ!”
“ไม่มั้ง ข้าก็เห็นว่ามีเพียงสามเส้นเท่านั้น และมันยังเป็นสีเทา! เขาเป็นระดับเริ่มต้นขั้นสามของจริง!”
“นี่... นี่เขาเป็นลูกศิษย์ส่วนตัวของท่านขุนนางอัสนีสีม่วงจริงงั้นเหรอ? ข้าสามารถเอาชนะเขาได้ด้วยมือเดียวด้วยซ้ำ”
“นี่หรือความเป็นธรรมของโลก? เจ้าเศษขยะนี่จะมาเป็นลูกศิษย์ส่วนตัวของท่านอาวุโสที่สิบเก้าเนี่ยนะ ข้าไม่อยากจะเชื่อ!”
“เขาคงไม่ใช้ลูกนอกกฎหมายของท่านอาวุโสที่สิบเก้าหรอกนะ?”