ตอนที่ 36
ตอนที่ 36
ตอนนี้คือปี 2021
ในปี 2020 ที่ผ่านมา โลกเกิดการเปลี่ยนแปลกไปมากมายหลายอย่าง
ทั้ง ‘ผู้ตื่นขึ้น’ และ ดันเจี้ยน ต่างมีจำนวนมากขึ้น
สถานการณ์ของดันเจี้ยนตอนนี้ เริ่มไม่ใช่ปัญหาเล็กๆอีกต่อไป แต่มันกลับกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่สังคมต้องเผชิญหน้า
ที่ดันเจี้ยนโผล่ขึ้นมาบ่อยๆ เป็นเพราะว่า ‘ผู้ตื่นขึ้น’ ส่วนใหญ่ละเลยการโจมตีดันเจี้ยน
จึงทำให้มันโผล่ขึ้นมามากมายเต็มไปหมด
แต่โชคยังดีที่ยังไม่มีมอนสเตอร์หลุดออกมาจากดันเจี้ยน
“ในอนาคต ดันเจี้ยนที่นายเห็นจะมีมากกว่านี้อีก ถึงจำนวนผู้ตื่นขึ้นจะมีมากขึ้นก็จริง แต่ผมคิดว่า พวกเขาคงจัดการปัญหาได้ไม่หมดแน่ๆ”
“นายกำลังจะบอกว่า เรื่องที่นายเล่า จะเกิดขึ้นในอนาคตแน่ๆ?.
“มีโอกาสอย่างน้อย 90 เปอร์เซนที่จะเกิดขึ้นจริง”
ถ้าเป็นไปตามคำพูดของซูฮยอน ดูเหมือนสถานการณ์ตอนนี้จะเกินกว่าระดับรุนแรงไปไกลโข
ลีจุนโฮในฐานะผู้ตื่นขึ้นที่มีประสบการณ์
ทำให้เขาสามารถจินตนาการฉากต่างๆตามคำพูดของซูฮยอนได้เกือบทั้งหมด
แค่จินตนาการถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตลีจุนโฮก็ขนลุกไปหมดแล้ว
ใบหน้าของลีจุนโฮเปลี่ยนไปเป็นสีเขียวคล้ำทันที เขาวางตะเกียบไว้บนชามข้าวแล้วพูด
“มะ..มันจบสิ้นแล้ว”
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าทั่วทั้งโลกเกิดการระบาดของดันเจี้ยนขึ้น
ไม่ต้องคิดให้มากความ โลกมนุษย์ที่อาศัยอยู่ ได้ถึงกาลอวสานแน่ๆ
หลังจากที่ซูฮยอนได้เล่าเรื่องในลีจุนโฮฟัง
ซูฮยอนอยากรู้จริงๆว่าเขาจะกระตือรือร้นกับมันหรือป่าว
เมื่อลีจุนโฮตั้งสมาธิและตั้งใจฟังเรื่องเล่าของซูฮยอน
มันทำให้เขาไม่สามารถปล่อยปละละเลยเรื่องนี้ได้อีกต่อไป
ถึงแม้ตอนนี้เหตุการณ์ร้ายๆที่เล่ามาจะยังไม่เกิดขึ้น แต่ถ้ามันเกิดขึ้นมาจริงๆล่ะ?
“หากเป็นแบบที่นายว่า มันร้ายแรงจริงๆ ฉันจะลองช่วยดูก็แล้วกัน”
“ขอบคุณ”
ซูฮยอนพูดขอบคุณออกมาอย่างโล่งใจ
ถ้าหากลีจุนโฮสามารถทำให้ผู้มีอำนาจเชื่อในคำพูดของซูฮยอนได้ล่ะก็
เรื่องที่เขากังวลมาโดยตลอดจะถูกยกออกจากอกอย่างสบายใจ
ถึงกระนั้น ซูฮยอนก็ไม่รู้อยู่ดีว่าในอนาคตฝันที่เขาเคยวาดไว้จะเป็นจริงหรือไม่
เพราะกระตัดสินใจมันขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้มีอำนาจล้วนๆ
<<ฉันไม่ควรคาดหวังกับมันมากเกินไป>>
เคสนี้มันก็เหมือนกับการพนันที่ไม่รู้ว่าจะออกหัวหรือออกก้อย
ถ้ามันล้มเหลวเขาคงต้องไปว่างแผนการอีกครั้ง
“จริงสิ..ทำไมมันถึงบังเอิญขนาดนี้นะ”
“นายกำลังพูดถึงเรื่องอะไรกัน”
“ก็เรื่องที่พวกเรากำลังพูดกันอยู่ไง ประจวบเหมาะจริงๆ นายรู้ไหมที่อันซัน มีดันเจี้ยนระดับสีเขียวโผล่ออกมา”
ดันเจี้ยนระดับสีเขียนมันไม่ได้โผล่ออกมาบ่อยนัก
ที่สำคัญ ดันเจี้ยนระดับสีเขียวเกณฑ์คนที่มี แรงค์ A เท่านั้น ในการเข้าไปโจมตีดันเจี้ยน
แต่ถ้าสถานการณเลวร้ายลง ทางสำนักงานจะลง ผู้ตื่นขึ้น แรงค์ S ไปช่วย
ถ้าหากตอนนี้เกิดการระบาดของดันเจี้ยนขึ้น เมืองทั้งเมืองได้ตกอยู่ในอันตรายแน่ๆ
เพราะตอนนี้ผู้ตื่นขึ้นส่วนใหญ่ ต่างให้ความสนใจไปกับดันเจี้ยนระดับสีเขียวเกือบทั้งหมด
มันหมายความว่า ตอนนี้ ทั้ง โซล และ คย็องกี กำลังขาดกำลังรบ
“จริงๆ ถ้าฉันไม่มาเจอนาย ฉันก็คงไปอยู่ที่ดันเจี้ยนระดับสีเขียวเหมือนกัน”
“ฮ่า ฮ่า ลำบากแย่เลย”
“นายอย่างคาดหวังกับฉันมากไปนะ ฉันเชื่อนายก็จริง แต่ไม่รู้ว่าพวกเขาจะเชื่อนายหรือป่าว”
“ฉันเข้าใจ ฉันจะเตรียมแผนลำรองไว้เอง”
ตอนนี้ทั้งซูฮยอนและลีจุนโฮทำอะไรมากไม่ได้ เพราะพวกเขายังมีอำนาจไม่พอ
ฉะนั้นพวกเขาจึงทำได้ตามกำลังของตัวเองเท่านั้น
“รีบกินต่อเถอะ อาหารเย็นชืดหมดแล้ว”
ซูฮยอนกลับมาสนใจอาหารของเขาอีกครั้ง พร้อมนึกถึงเรื่องที่จะทำต่อไป
<<หลังจากกินอาหารเสร็จ ฉันต้องรีบเข้าหอคอยอีกครั้ง”
* * *
ใช้เวลาไม่นาน พวกเขาทั้งคู่ก็ทานอาหารกันเสร็จ
ลีจุนโฮรู้ว่าไม่สามารถรั้งซูฮยอนเอาไว้ได้นาน
เพราะพวกเขาทั้งคู่มีเรื่องที่ต้องทำหลายอย่าง
เมื่อซูฮยอนเดินมาถึงรถสปอร์ตของเขา
ซูฮยอนก็ครุ่งคิดว่า เขาควรกลับบ้านมั้งดีไหม
เพราะเขาไม่ได้เจอ ชินซูย็องมานานแล้ว
<<หวังว่าเธอคงสบายดี>>
ไม่แน่เธออาจกำลังคิดว่า ซูฮยอนทำงานหนักอยู่ก็ได้ เลยไม่มีเวลาว่างมากนัก
'จริงสิ โทรไปหาดีกว่า หวังว่าเธอคงไม่ว่าอะไรนะ'
ติ๊ด
ซูฮยอนกดหารายชื่อ แล้วโทรไปหาแม่ของเขา
“ฮัลโหล”
แม้จะไม่ได้ยินเสียงของเธอมานาน แต่ซูฮยอนรู้สึกสบายใจถูกครั้งที่ได้ยินเสียงของเธอ
เสียงของเธอฟังดูเร่งรีบ ดูเหมือนเธอพึ่งจะคุยกับลูกค้าพึ่งเสร็จ
“ฮัลโหล แม่กำลังทำอะไรอยู่”
“แม่กำลังคุยกับลูกค้าอยู่นะสิ ดีนะที่ลูกค้าออกไปพอดี เลยทำให้แม่มีเวลาคุยกับลูก”
หลังจากที่ซูฮยอนมีเงินมากพอ เขาก็เปิดร้านเล็กๆที่ขายเกี่ยวกับเครื่องประดับและอัญมณี ในแม่ของเขา 1 ร้าน
หลังจากร้านของเธอเปิดทำการ เธอไม่เคยหยุดทำงานเลยแม้แต่วันเดียว ลูกค้าของเธอเข้าออกร้านเป็นว่าเล่น
ต้องของขอบคุณความสามารถและสกิลการขายของเธอ ที่ทำให้ร้านขายอัญมณีเป็นไปได้อย่างราบลื่น
“ลูกทำงานเสร็จแล้วหรือยัง ลูกไม่ได้ติดต่อแม่มานานเลยนะ”
หลังจากซูฮยอนซื้อห้องเล็กไว้พักผ่อน เขาก็ไม่ค่อยได้กลับบ้านบ่อยนัก
ถึงแม้ซูฮยอนจะไม่ค่อยได้กลับบ้าน แต่ชินซูย็องก็ไม่เคยด่าเขาเลยสักครั้ง
เพราะในเมื่อซูฮยอนมีงานการที่ดีทำ มันจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่ทำให้เธอต้องไปต่อว่าซูฮยอน
ถึงแม้ซูฮยอนจะไม่ค่อยได้มีโอกาสไปหาแม่ของเขา
แต่ถ้าเขามีเวลาว่าง เขามักไปหาเธออยู่เป็นประจำ
“พึ่งเสร็จเองครับ ผมกะว่าจะลุยงานต่อเลย”
“ลุยต่อเลย? ไม่เหนื่อยแย่เลยเหรอลูก”
<<ไม่เหนื่อยเหรอลูก>> เป็นคำที่ซูฮยอนมักได้ยินบ่อยๆ
ชินซูย็องชอบถามแบบนี้กับซูฮยอนเป็นประจำ
ด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วงเป็นใย ทำให้ซูฮยอนรู้สึกชื่นใจทุกครั้งที่ได้ยิน
“ไม่เหนื่อยหรอกครับ ไม่มีคนเคยบอกแม่มั่งเหรอว่าลูกแม่เป็นอัจฉริยะที่ฟ้าประทานมาให้ เพราะฉะนั้นเรื่องแค่นี้สบายมาก”
ความจริงเรื่องที่ซูฮยอนยกย่อออกมามันไม่ใช่เรื่องโกหกเลยสักนิด
ในบรรดาผู้ตื่นขึ้น หรือ แม้แต่ในอเวจีออนไลน์ ต่างยกย่องให้ ซูฮยอน เป็นอัจฉริยะฟ้าประทาน แทบทั้งสิ้น
ถึงแม้ซูฮยอนจะดังแค่ไหน แต่ก็มีเพียงแค่ลีจุนโฮเท่านั้นที่รู้ตัวจริงของซูฮยอน
“ลูกรัก ลูกไม่คิดว่าตัวเองดูมั่นใจเกินหรือป่าว ระวังเถอะสักวันหนึ่ง ลูกได้เจ็บตัวกลับมาแน่ๆ ระวังตัวไว้หน่อยก็ดี”
“ผมรู้ครับ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอก”
“แหม่ลูกคนนี้ อะ แค่นี้ก่อนนะลูก มีลูกค้ามาอีกแล้ว”
“ครับผม ดูแลตัวเองด้วยนะครับ”
และทั้งคู่ก็วางสายกันไป
ปรึ้น
ซูฮยอนขับรถสปอร์ตของเขามุ่งหน้ากลับไปอพาร์ทเม้นท์ที่ซื้อไว้
วันนี้ ซูฮยอนได้ทั้งดาบเล่มใหม่ ทั้งยังได้เล่าเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในอนาคตให้ลีจุนโฮฟัง
แถมยังได้คุยกับคนที่เขาเป็นห่วงอีก
มันเป็นอีกวันที่เขาบรรลุเป้าหมายได้หลายอย่างจริงๆ
<ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า..>
เหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนกว่าจะถึงสิ้น
ซูฮยอนมีความตั้งใจว่าจะเคลียร์หอยคอให้เสร็จก่อนปีใหม่
ตอนนี้ซูฮยอนเตรียมใจพร้อมแล้ว
ชั้นที่ 20
การทดสอบที่แสนทรหดกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
“พร้อมแล้ว ลุยต่อเลยดีกว่า”
ซูฮยอนยืนมือออกไปด้านหน้า
ฉึก
ไม่นานประตูสู่โลกใหม่ก็โผล่ออกมาอยู่ตรงหน้าของเขา
เท้าของซูฮยอนค่อยๆเดินเข้าไปอย่างช้าๆ
* * *
ซูฮยอนมาปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางหิมะที่หนาวเย็น
เมื่อเขาหายใจออกมา ลมหายใจก็เกิดควันเหมือนสูบบุหรี่พวยพุ่งออกมา
ซูฮยอนหันไปมาเพื่อสังเกตบริเวณรอบๆ เมื่อเจอประตูที่เขาต้องการ เขาก็เดินไปทางประตูที่ใหญ่ยักษ์
เมื่อซูฮยอนเดินมาเกือบถึงประตู สายตาของเขาก็เห็นคล้ายๆขอทานกำลังนอนเฝ้าประตูอยู่
บรรยากาศที่คุ้นเคยถูกปล่อยออกมาจากชายวัยกลางคน
ซูฮยอนรู้สึกว่าขอทานที่นอนหลับอยู่ คล้ายๆกับ ผู้อารักขา ของชั้นที่ 10 จริงๆ
“ขอโทษนะครับ ผู้อาวุโสหลับอยู่หรือป่าว”
“หาววววว หืม..”
ผู้อารักขาเมื่อได้ยินเสียงคนเรียก เขาก็เงยหน้าขึ้นไปมองซูฮยอน แล้วหาวออกมา
เขามือทั้ง 2 ข้าง ขยี้ตาของตัวเอง เพื่อให้สายตาของเขาเลิกขี้เกียจ
“แล้ว..มีธุระอะไรกับข้าละ ถึงมาปลุกข้าแต่เช้า”
“เอ่อคือ..ผู้อาวุโสเหนื่อยอยู่หรือป่าวถ้าใช่เดียวผมมาใหม่”
“ไม่ ข้าไม่เหนื่อย แต่ก่อนอื่น..” ผู้อารักขายืนมือที่ดูเป็นมิตรภาพไปทางซูฮยอน
“ค่าผ่านทาง”
นิสัยของผู้อารักขาช่างเหมือนกันอย่างกับแกะ พวกเขางีบหลับเกือบทั้งวัน
เมื่อพวกเขาตื่นจากการงีบหลับ เขาจะไม่ลืมไถ่เงินกับ 'ผู้ตื่นขึ้น' ที่ขอผ่านเข้าประตู ช่างเป็นสกิลการไถ่เงินที่หน้าด้านจริงๆ
ซูฮยอนเชื่อว่าคะแนนความสำเร็จของผู้อารักขาคงมีจำนวนที่ใช้ทั้งชาติก็ไม่หมดแน่ๆ
“ผู้อาวุโสต้องการเท่าไหร่ครับ”
เมื่อผู้อารักขาได้ยินคำตอบของซูฮยอน
เขาก็มองหน้าของซูฮยอนตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วถอนหายใจเบาๆออกมา ก่อนตอบกลับไป
“เธอเป็นเด็กที่แปลกประหลาดจริงๆ”
“ใครๆก็บอกผมแบบนั้นเหมือนกัน”
“ค่าผ่านทางข้าไม่ขอมากนักหรอก ข้าขอแค่ 100,000 พอ”
มันเป็นค่าผ่านทางที่มีมูลค่าสุดจริงๆ ถ้า ‘ผู้ตื่นขี้น’ คนอื่นมาได้ยืน พวกเขาคงเป็นลมล้มพับไปแล้ว
100,000 คะแนนความสำเร็จ เป็นคะแนนที่ผู้ตื่นขึ้นทุกคนต้องบากบั่นเกือบครึ่งหนึ่งของชีวีตกว่าจะรวบรวมมาได้
ที่สำคัญ ต่อให้พวกเขารวบรวมมันมาได้ แต่ซูฮยอนเชื่อว่าพวกเขาคงมีไม่ถึง 100,000 คะแนนแน่ๆ
ผู้ตื่นขึ้นส่วนใหญ่เมื่อได้คะแนนความสำเร็จมา พวกเขาจะรีบใช้เพื่ออัพเกรดความสามารถของัตวเองทันที
ถึงแม้มันจะเป็นคะแนนจำวนวนมาก แต่ซูฮยอนก็ใช้มันออกไปอย่างไม่ลังเล
เมื่อซูฮยอนยืนมือไปจับกับผู้อารักขา คะแนนความสำเร็จก็ถูกโอนไปโดยอัตโนมัติ
[ 100,000 คะแนนความสำเร็จ ถูกใช้ ]
ผู้อารักขามองซูฮยอนอย่างแปลกใจ เขาไม่คิดว่าซูฮยอนจะใจง่ายขนาดนี้
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า”อยู่ๆผู้อารักขาก็หัวเราะออกมาอย่างคนเสียสติ
ผู้อารักขาหัวเราะไปนานพอสมควร ก่อนที่เสียงของเขาจะค่อยๆเบาลง เขาเอามือล่วงกระเป๋าตัวเองแล้วพูด
“คนประหลาดๆมักมีอยู่ทุกที่สินะ แล้วเธอต้องการอะไร?”
“แล้วผู้อาวุโสคิดว่าผมกำลังรออะไรอยู่หล่ะ”
“คำพูดของเธอมันดูคลุมเครือเกินไป เธอพูดมาเลยดีกว่า ว่าต้องการอะไร”
“ผู้อาวุโสคิดว่า ผมต้องระวังอะไรไหมครับ”
“ไม่มีนะ”
“ไม่มีเหรอครับ?”
“ใช่แล้ว เธอไม่ต้องระวังอะไรเป็นพิเศษหรอก”
มันเป็นข่าวดีจริงๆ
ไม่มีอะไรต้องระวัง ก็หมายความว่า เส้นทางข้างหน้าของซูฮยอน จะไม่อันตรายถึงชีวีตสินะ
ซูฮยอนรู้สึกไม่พอใจต้องคำพูดของผู้อารักขาเล็กน้อย
“เรื่องที่ผู้อาวุโสพูดเรื่องจริงเหรอครับ”
เขาเสียคะแนนไปตั้ง 100,000 คะแนน แต่คำใบที่ซูฮยอนได้รับกลับมีนิดเดียว
เพราะฉะนั้นซูฮยอนจึงรู้สึกเสียดายคะแนนความสำเร็จที่เสียไปจริงๆ
ความรู้สึกของซูฮยอนตอนนี้เหมือนกับกำลังโดนนักต้มตุ๋นหลอกลวงอยู่
“เธอไม่ต้องกังวล ข้าไม่โกหกเธอหรอก”
“คือว่า...มีคำใบอีกไหมครับ?”
“อืม...ก็อย่างที่ข้าบอกไป เธอไม่ต้องระวังอะไรเป็นพิเศษ เพราะเธอเก่งอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นไปได้อย่าฆ่าคนมั่วซั่ว”
“ผู้อาวุโสหมายความว่ายังไงกันครับ ทำไมถึงห้ามฆ่า”
“ข้าบอกได้แค่นี้ เอาหล่ะไปได้แล้ว หมดธุระของข้าแล้ว”
ผู้อารักขาโบกมือไล่ซูฮยอน
เขาหันหลังกลับไปแล้วนอนลงกับพื้นอีกครั้ง
คำใบที่ผู้อารักขาให้มา มันช่างกำกวมจริงๆ
<<ผู้อารักขาทุกคนเป็นแบบนี้ทุกคนเลยหรอไง>>
คำใบ้ของชั้นที่ 10 ก็กำกวมแบบนี้เหมือนกัน
<<แต่คำใบ้ของพวกเขา ก็ไม่เคยผิดเลยแม้แต่ครั้งเดียว>>
อย่างน้อยตามความคิดของซูฮยอน คำใบ้ของผู้อารักขาคือคีย์เวิร์ดสำคัญในการเคลียร์ชั้นที่ 20
ซูฮยอนอยากรู้จริงๆว่า ตัวตนทีแท้จริงของผู้อารักขา เป็นคนใครกันแน่
*******************************
เมื่อซูฮยอนได้รับคำใบ้มาแล้ว เขาก็ก้มหัวลงเพื่อขอบคุณ และเดินไปทางประตู
ขณะที่ซูฮยอนกำลังยืนอยู่หน้าประตู ข้อความของระบบก็เด้งแจ้งเตือนขึ้นมา
[คิมซูฮยอนคุณพร้อมที่จะเริ่มการทดสอบเลยหรือไม่]
ซูฮยอนพยักหน้ารับ
“เริ่มเลย”
[คิมซูฮยอน การทดสอบในชั้นที่ 20 ของคุณ ได้เริ่มขึ้นแล้ว]
[โปรดเลือกระดับความยาก]
[ระดับ 1-10]
[ยิ่งเลือกระดับสูง ของรางวัลที่ได้จะยิ่งมาก]
ไม่ว่าจะผ่านมาแล้วกี่ชั้น ระบบก็ยังบรรยายเหมือนเดิม
“ระดับ 10”
ซูฮยอนเลือกระดับที่ 10 เหมือนเดิมทุกครั้ง
หลังจากสิ้นเสียงของซูฮยอน ฉากตรงหน้าก็เปลี่ยนไป