Ep.190 - คืบคลานน่าสมเพช
4/4
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.190 - คืบคลานน่าสมเพช
หลินเต๋อหรงตะลึงงัน
ตลอดทั้งกระบวนการ ฉินเฟิงใช้ออกเพียง 2 - 3 กระบวนท่าเท่านั้น แต่กลับสามารถสยบผู้ใช้วรยุทธโบราณในเลเวล F9 ลงชนิดอีกฝ่ายไร้ซึ่งหนทางขัดขืน
ชะโงกหน้าออกมาทางหน้าต่าง ก้มมองลงเบื้องล่าง แน่นอนว่าพ่อบ้านตระกูลซินยังไม่ตาย อย่างไรก็ตาม สภาพของเขาในเวลานี้น่าสมเพชเป็นอย่างยิ่ง มิเพียง 2 กระดูกไหล่ในตอนแรก ตอนนี้สองกระดูกขายังแตกร้าว ฝืนยืนหยัดแทบไม่ไหว จำต้องใช้แรงส่งจากคางและหน้าท้อง ลากตัวเองที่กำลังบาดเจ็บสาหัสคลานหนีไป ทุ่มสุดแรงไม่กล้าหยุด
แม้อีกฝ่ายจะตกอยู่ในสภาพน่าสงสาร แต่หลินเต๋อหรงซึ่งโดยปกติเป็นคนดี มีเมตตาตลอดมาก็ไม่คิดใส่ใจ เพราะนี่คือสิ่งที่เรียกว่าคนชั่วต้องรับกรรม!
“ฉินเฟิง เธอนี่จริงๆเลยนะ เจอกันทีไรก็สร้างเรื่องอัศจรรย์ให้ตาแก่อย่างฉันตลอดเลย เจ้าเด็กตัวดี!” หลินเต๋อหรงถอนหายใจ
เมื่อเห็นเด็กที่ตนทุ่มเทชุบเลี้ยงมาแต่เล็ก เติบใหญ่สร้างสมชื่อเสียงให้แก่ตนเอง มันช่างมีความสุขซะจริงๆ!
“ผู้อำนวยการ ผมสร้างความเดือดร้อนให้กับคุณอีกแล้ว” ฉินเฟิงก้มหน้าสำนึกผิด
“ไม่หรอก เป็นตาแก่อย่างฉันต่างหากที่คอยฉุดรั้งเธอ เธอน่ะมีพัฒนาการที่เร็วมาก แต่มีจิตใจภักดีคอยคิดแต่จะตอบแทนบุญคุณ ดังนั้นเลยเป็นฉันที่คอยรั้งเธอไว้”
“ผู้อำนวยการ อย่าพูดแบบนี้เลย สำหรับผู้มีพระคุณอย่างคุณ ต่อให้รั้งผมไว้ชั่วชีวิต ผมก็ยินดี!” ฉินเฟิงกล่าวน้ำเสียงเฉียบขาด
“ฮ่าฮ่าฮ่า” หลินเต๋อหรงหัวเราะร่าอย่างมีความสุข
แล้วทั้งสองก็สนทนาอย่างเป็นกันเอง เกี่ยวกับเหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้น ในระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา สถานการณ์ทางฝั่งหลินเต๋อหรงเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
เนื่องจากเขาเป็นคนสนิทของฉินเฟิง และฉินเฟิงคือผู้ว่าการสถานชุมชนเฟิงหลี การจัดอันดับสถานะระดับสูงในสถานชุมชนเฉิงเป่ยเลยเกิดการเปลี่ยนแปลงจนสับสนวุ่นวาย หลายคนคิดว่าชีวิตจากนี้ของหลินเต๋อหรงคงมิแคล้วโจนทะยานขึ้นสู่สรวงสวรรค์ ดังนั้นเลยมีนักธุรกิจร่ำรวยหลายคนเข้ามาประจบเขา เพื่อดูว่าจะสามารถหาผลประโยชน์อะไรได้หรือไม่
และเป็นเรื่องยากที่หลินเต๋อหรงจะปฏิเสธ เนื่องจากคนร่ำรวยเหล่านั้นระวังตัวแจ พวกเขาเพียงบริจาคเงิน แต่ไม่ได้บอกวัตถุประสงค์ว่าให้เอาไปทำอะไร นี่คล้ายกับเป็นการติดสินบนหลินเต๋อหรงทางอ้อม
นั่นคือสาเหตุที่หลินเต๋อหรงเก็บเงินเหล่านั้นเอาไว้ ยังไม่ได้ใช้จ่ายออกไป เผื่อไว้ในกรณีที่คนเหล่านั้นเอ่ยข้อเรียกร้องที่มากเกินไปออกมา และตนไม่สามารถตอบสนองได้ ก็แค่คืนเงินที่อีกฝ่ายเคยให้มา เป็นอันจบ
และไหนๆฉินเฟิงก็มาเยี่ยมด้วยตัวเองแล้ว หลินเต๋อหรงจึงตัดสินใจบอกเล่าเรื่องนี้ออกไป เพราะเกรงว่าฉินเฟิงจะเข้าใจผิด คิดว่าเขารับบริจาคในนามของฉินเฟิง
“ไม่จำเป็นต้องเตรียมคืนเงินบริจาคหรอกครับ ยอมรับมันไว้ทั้งหมดนั่นแหละ เพราะอีกเดี๋ยวคุณคงต้องใช้มัน” ฉินเฟิงกล่าว “ผู้อำนวยการครับ ที่ผมมาในวันนี้ เนื่องจากอยากขอร้องให้คุณย้ายไปสถานชุมชนที่อยู่ในความรับผิดชอบของผม เพื่อให้เด็กกำพร้าคนอื่นๆ ได้รับการปฏิบัติอย่างดี ในอนาคต พวกเขาจะได้เป็นกำลังสำคัญของสถานชุมชนเฟิงหลี”
แม้ตอนนี้ต้องเริ่มจากศูนย์ และจำเป็นต้องฝึกฝนเด็กๆให้มีความสามารถ แต่ในอีก 10 ปีข้างหน้า ฉินเฟิงมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าเขาสามารถสร้างสถานชุมชนเฟิงหลีให้กลายเป็นที่ประจักษ์ของผู้คน!
ความแข็งแกร่งระดับหนึ่ง เขาก็มีมันในครอบครองแล้ว
เจตจำนงก็หนักแน่น เป้าหมายก็ชัดเจน
ดังนั้นที่ยังขาดอยู่คือการวางรากฐานของสถานชุมชนเฟิงหลีให้พร้อมมุ่งสู่อนาคต!
“ถ้าเธอยินดีต้อนรับกระดูกผุๆอย่างฉัน ก็ตกลง!” หลินเต๋อหรงหัวเราะลั่น
หลังจากทั้งสองสนทนาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฉินเฟิงก็กล่าวคำร่ำลา ออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไป
บัตรเชิญจากตระกูลซินถูกเก็บเอาไว้ในอุปกรณ์มิติของเขา ขณะที่ในใจเริ่มขบคิด
ไม่คาดเลยว่าตระกูลซินจะทำถึงขนาดนี้ กล้าบุกมาถึงบ้านเขาได้อย่างไร
ในเมื่อเล่นกันถึงขนาดนี้ ก็อย่าตำหนิเขาแล้วกันว่าโหดร้าย … ได้เวลาเชือดไก่ให้ลิงดูแล้ว!
แต่ในฐานะที่เป็นฉินเฟิง เขาย่อมไม่กระทำการใดๆโดยไม่มีแผนรองรับ งานเลี้ยงวันเกิดผู้นำตระกูลซินจะถูกจัดขึ้นในอีก 3 วัน ดังนั้นเป็นธรรมดาที่เขาจะไม่นิ่งเฉย
“พละกำลังกาย และพลังสมาธิต่างก็มาถึงเลเวล E แล้ว ดังนั้นไม่มีทางพัฒนาได้ในระยะเวลาสั้นๆ แต่กำลังภายในของฉันยังไม่เปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพไปถึงเลเวล E งั้นอันดับแรกคงต้องเริ่มเสริมสร้างกำลังภายในก่อน!”
หากเขาไม่ใช้ทักษะลับกลืนดารา งั้นตัวเลือกที่ดีที่สุด แน่นอนว่าย่อมเป็นใช้พลังพิเศษติดตัวดูดกลืน ช่วยดูดซับตัวยา
เม็ดยาฟ้าฟื้น คือยาในกลุ่มของเลเวล F แต่ฉินเฟิงไม่ตั้งใจจะใช้สิ่งนี้ เนื่องจากมันเสียเวลามากไป
“งั้นสิ่งที่ฉันต้องซื้อก็คือ เม็ดยาหวนคืนสู่ความเที่ยงแท้!”
ฉินเฟิงเชื่อมต่อกับเครือข่ายนักสู้ เข้าสู่ห้องประมูลกลุ่มหวันซ่ง ในแต่ละวัน เม็ดยาหวนคืนสู่ความเที่ยงแท้มีจำหน่ายเป็นจำนวนจำกัด ดังนั้นเลยมีราคาที่แพงมากๆ
ทว่าในวันนี้ เม็ดยาหวนคืนสู่ความเที่ยงแท้กลับถูกขายออกไปหมดแล้ว
อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงทราบดี ว่าในห้องประมูลยังคงมีสต็อกเก็บไว้สำหรับพวกตระกูลใหญ่
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉินเฟิงก็ติดต่อกับผู้จัดการอันเจิ้งเว่ยที่ประจำสาขาเมืองเฉิงหยาง
“สวัสดีผู้ว่าการฉิน” อันเจิ้งเว่ยอีกฝั่งวิดีโอเผยรอยยิ้มพอเป็นพิธีแก่ฉินเฟิง
“ไม่ทราบว่าผู้ว่าการฉินมีอะไรให้รับใช้ ทางเราพร้อมยินดีบริการคุณอย่างเต็มที่”
ถึงปากจะกำลังกล่าว แต่แนวสายตากลับกวาดมองลง เมื่อเห็นโลโก้เลเวล E ของฉินเฟิง แววตาของเขาก็ทอประกายประหลาดใจ
อย่างไรก็ตาม อันเจิ้งเว่ยยังคงปกปิดสีหน้าเอาไว้ได้เป็นอย่างดี
ในฐานะนักธุรกิจ หน่วยข่าวกรองของอันเจิ้งเว่ยนับว่าทำงานได้เป็นอย่างดี เขารู้ว่าวันเกิดครบรอบ 60 ปี ของผู้นำตระกูลซินจะมาถึงในอีก 3 วัน และฉินเฟิงเองก็ได้รับเชิญ ไปในฐานะไก่ที่เตรียมถูกเชือด
ยังไงก็ตาม ฉินเฟิงเพิ่งกลับมาจากเมืองหาน แม้ไม่มีวัตถุดิบระดับราชันย์สัตว์ร้าย แต่ก็ได้รับวัตถุดิบระดับนายพลมามากมาย ดังนั้นอันเจิ้งเว่ยเลยเฝ้าหวังว่าจะได้รับการติดต่อจากฉินเฟิง เฝ้ารอคอยให้อีกฝ่ายขายมันให้แก่ตนเองอย่างใจจดใจจ่อ
มิฉะนั้นหากตระกูลซินลงทัณฑ์ฉินเฟิงไปแล้ว เกรงว่าวัตถุดิบที่กล่าวมา ทั้งหมดคงมิแคล้วถูกป้อนเข้ากระเป๋าตระกูลซิน ทางกลุ่มหวันซ่งไม่อาจเข้าไปก้าวก่ายได้อีก!
แต่ใครจะคิด ว่าฉินเฟิงจะสามารถยกระดับได้รวดเร็วถึงขนาดนี้ ครั้งก่อนเขาสามารถสังหารเลเวล E ลงได้ทั้งๆที่ตนอยู่ในเลเวล F7 แต่ปัจจุบันเขาทะยานขึ้นสู่เลเวล E เป็นที่เรียบร้อย ดังนั้นมีโอกาสเป็นไปได้ที่เขาจะสานต่อตำนานสังหารข้ามระดับเหมือนคราวก่อนอีกครั้ง ซึ่งในกรณีนี้ไม่เป็นผลดีต่อตระกูลซินเลย
ข้อสรุปที่อธิบายมาข้างต้นกำลังกลั่นกรองอยู่ในหัวของอันเจิ้งเว่ย แต่แล้วเจ้าตัวก็ถูกฉินเฟิงเรียกสติกลับมา
“ผมต้องการเม็ดยาหวนคืนสู่ความเที่ยงแท้สักหนึ่งชุด อีกทั้งยังมีบางสิ่งอยากจะเสนอขายในเวลาเดียวกัน และบางสิ่งที่ว่ามานี้ ไม่สะดวกที่จะแสดงมันผ่านวิดีโอ” ฉินเฟิงกล่าว
“โอ้ แล้วมันคืออะไรกัน?” อันเจิ้งเว่ยมองฉินเฟิงคล้ายจะหยั่งเชิง เอ่ยถามด้วยท่าทีส่อความหมายประมาณว่า ถ้าไม่น่าสนใจ เขาจะปฏิเสธนะ
ฉินเฟิงถอนหายใจ ยอมหยิบอุปกรณ์รูนสีเทาเงิน 4 ชิ้นออกมา
ไม่ต้องสงสัยเลย ว่าทั้งหมดนี้คืออุปกรณ์รูนมิติ อีกทั้งความจุยังมีขนาดใหญ่
และ3 ใน 4 ชิ้นนี้ เป็นสินสงครามที่ฉินเฟิงชิงมาจากสามคนของตระกูลซิน ที่ส่งมาสังหารตน หนึ่งในนั้นเป็นแหวนของเลเวล E ‘ซินกวง’ ที่เขาสังหารทิ้งไปบนสังเวียน
ในเวลานั้น ตอนที่กระบวนท่าวรยุทธพลุไฟสงครามของฉินเฟิงปะทุโหม ทุกคนต่างคาดเดาไปว่าอุปกรณ์รูนมิติของซินกวงคงถูกทำลายลงไปด้วย
แต่ที่จริงแล้ว สิ่งพวกนี้มันถือว่าเป็นรางวัลจากการต่อสู้ของฉินเฟิง ดังนั้นเขาเลยไม่คิดทำลายมัน อย่างเช่นอุปกรณ์รูนมิติของศาสตราจารย์หวาง เขาก็เก็บไว้ ของมือปืนบางส่วนในห้องทดลองเองก็เก็บมาเช่นกัน ทำให้ปัจจุบัน ในมือของเขามีอุปกรณ์รูนมิติอยู่กว่า 8 ชิ้น
อุปกรณ์รูนมิติเหล่านี้มีค่ามาก
หนึ่งตร.ม เทียบเท่ากับ 5 ล้าน ยิ่งขนาดกว้างก็ยิ่งมีมูลค่าเพิ่มขึ้น
และในบรรดาอุปกรณ์รูนมิติในมือฉินเฟิง เป็นของศาสตราจารย์หวางที่มีพื้นที่กว้างขวางถึง 30 ตร. ม. เทียบได้กับมูลค่าถึง 150 ล้าน!
เมื่อเห็นอุปกรณ์รูนเหล่านี้ อันเจิ้งเว่ยก็กลายเป็นตะลึงงัน
“นี่มัน …”
“คุณก็น่าจะรู้ข่าวแล้ว ว่าตอนนี้ทางตระกูลซินเห็นผมเป็นหนามตำตาของพวกเขา ผมบังเอิญได้รับอุปกรณ์รูนพวกนี้มาระหว่างเดินทางออกจากเมืองเฉิงหยาง พอดีว่ามี 3 คนเข้ามาขวางทาง แล้วจากนั้น …” ฉินเฟิงไม่ได้กล่าวต่อว่า 3 คนนั้นเป็นอย่างไร แต่เพียงมองอุปกรณ์รูนมิติในมือ ก็ไม่จำเป็นต้องการคำอธิบายใดๆอีก
เพราะไม่บอกก็รู้ว่าคงจบชีวิตลงไปแล้วโดยฉินเฟิง
ในขณะเดียวกัน การช่วงชิงสมบัติอย่างอุปกรณ์รูนมิติของผู้อื่น ถือว่าเป็นกระบวนการที่ยากลำบากมาก มันไม่ใช่สิ่งที่จะขายให้ใครก็ได้ แต่สำหรับกลุ่มหวันซ่ง มันไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร
ถึงสิ่งพวกนี้จะขายได้ยากในเมืองเฉิงหยางก็จริง แต่พวกเขาสามารถส่งมันกระจายไปขายในร้านอุปกรณ์เครือหวันซ่งเมืองอื่นได้ แค่นี้ก็เป็นอันจบ!
เพราะทางตระกูลซินคงไม่ตั้งใจจะไล่ควานหาอุปกรณ์มิติไปถึงฟูเฉิง หรือเมืองไห่หรอก!
สำหรับกลุ่มหวันซ่ง อุปกรณ์มิติจะเป็นของใคร พวกเขาไม่สนขอแค่ทำกำไรได้ก็พอแล้ว!
ดังนั้นข้อเสนอขายของฉินเฟิงในครั้งนี้ ถือว่าไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร
“ผู้ว่าการฉิน ฉันคิดว่าพวกเราควรพบกันเพื่อพูดคุยเป็นการส่วนตัว” อันเจิ้งเว่ยกล่าวอย่างจริงใจ
ฉินเฟิงพยักหน้า “ตกลง ตอนนี้ผมอยู่ที่บ้าน เชิญคุณเข้ามาได้เลย!”
**พรุ่งนี้เลื่อนเวลาลงเป็นช่วง 4 - 5 ทุ่มครับ ผมมีกินเลี้ยง **
***และอาจลงไม่ครบ 4 ตอน แต่จะมีชดเชยให้ภายหลังครับ***