Dual Cultivation บทที่ 420: รึว่าเจ้าจำคู่หมั้นของตนเองมิได้แล้ว (ฟรี)
Dual Cultivation บทที่ 420: รึว่าเจ้าจำคู่หมั้นของตนเองมิได้แล้ว
“โชคดี ซูหยาง” หวังชูเหรินกล่าวกับเขาหลังจากที่พวกเขาเข้าไปในโคลีเซียมแล้ว เธอกล่าวต่อว่า “อย่างไรก็ตามข้าจักหาสถานที่ประชุมให้กับท่าน เพียงแค่บอกให้ข้าทราบว่าเมื่อไหร่ที่ท่านต้องการ และข้าจักดำเนินการให้กับท่าน”
เพราะว่าโอสถสู่ปฐพี หวังชูเหรินถูกถล่มด้วยตระกูลและสำนักใกล้เคียงในทวีปตะวันออกในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ ทุกฝ่ายต่างต้องการที่จะพบกับนักปรุงยาลึกลับหรืออย่างน้อยก็ต้องการที่จะซื้อโอสถสู่ปฐพี
“อืม… ข้าจักต้องดูสถานการณ์หลังจากการแข่งขันระดับภูมิภาคก่อน ข้าจักบอกให้เจ้าทราบหลังจากนั้น” ซูหยางกล่าว
“ข้าเข้าใจแล้ว มีอยู่กว่าหนึ่งร้อยตระกูลและเจ็ดสิบกว่าสำนักที่แจ้งข้าว่ามีความต้องการที่จะเข้าร่วมการประชุม ดังนั้นนั่นจักต้องมีคนมากมายที่นั่น” หวังชูเหรินพยักหน้า
ครั้นเมื่อพวกเขาเข้าไปภายในโคลีเซียมแล้ว สำนักหงค์สวรรค์และนิกายดอกบัวเพลิงก็ให้กำลังใจนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยสองสามคำก่อนที่จะปล่อยให้พวกเขาอยู่ตามลำพังเพื่อจะมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ชมการแข่งขัน
“เป็นอย่างนี้เองรึ เมื่อมานึกดูว่าข้าได้สงสัยว่าเราจักสามารถมาถึงจุดนี้ได้หรือไม่เมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อน”
หลังจากที่รออยู่ชั่วขณะ ซื่อตงก็เดินขึ้นมาบนเวทีด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ความตื่นเต้นในดวงตาของเขาไม่อาจจะซ่อนได้
“ข้า ซื่อตง ยินดีต้อนรับทุกคนที่นี่ในวันนี้สำหรับการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศของการแข่งขันระดับภูมิภาค”
ผู้ชมต่างพากันตะโกนกึกก้องด้วยความตื่นเต้น
“แม้ว่าพวกท่านเกือบทั้งหมดได้รู้จักชื่อของพวกเขาเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ให้ข้าได้แนะนำพวกเขาอีกครั้งอย่างเป็นทางการ”
“อันดับแรกและสำคัญที่สุด พวกเรามีสำนักเมฆม่วงที่ก่อนนี้ได้รับตำแหน่งระดับสูง กลายเป็นสำนักระดับสูง และผู้ที่ได้นำชัยชนะนับตั้งแต่วันแรกมาสู่พวกเขาก็คือศิษย์อันดับหนึ่ง หงอวี้เอ๋อร์ ซึ่งเป็นผู้ที่น่าตระหนกได้เข้าสู่เขตอัมพรวิญญาณแม้ว่าจะยังมีอายุน้อย”
“อันดับต่อไป เรามีคู่ต่อสู้ของพวกเขา นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและแม้ว่าพวกเขาจะมีจำนวนศิษย์น้อยและอยู่ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างซับซ้อน พวกเขาก็สามารถทำให้โลกตื่นตระหนกด้วยความสวยหล่อและความแข็งแกร่งของพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้นเช่นเดียวกันพวกเขาก็ยังมีคนที่อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณ ซูหยาง ซึ่งไม่เพียงแต่จะเป็นผู้นำนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย แต่ก็ยังคงเป็นคนของตระกูลซู หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่”
“อะไรนะ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ยอมให้เจ้าสำนักเข้าร่วมในการแข่งขัน ข้ามิเคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน” ผู้ขมบางคนรู้สึกงงงวย
“แต่ก็มิมีกฏว่าเจ้าสำนักเข้าร่วมมิได้อยู่จริง ตราบเท่าที่พวกเขามีอายุและพลังการฝึกปรือตรงตามข้อกำหนด พวกเขาล้วนยอมให้เข้าร่วม” บางคนที่มีความรู้มากกว่าในเรื่องกฏกล่าวขึ้น
ไม่นานหลังจากนั้น ซื่อตงก็กล่าวว่า “ตอนนี้เมื่อมิมีสิ่งอื่นแล้ว ขอเชิญทั้งสำนักที่น่าประทับใจทั้งสองขึ้นบนเวที”
“โออออ”
เสียงโห่ร้องจากผู้ชมดังขึ้นกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
หลังจากนั้นไม่นานสำนักทั้งสอง นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย และ สำนักเมฆม่วง ก็ก้าวขึ้นบนเวทียืนเผชิญหน้ากัน
“...”
ซูหยางและหงอวี้เอ๋อร์จ้องมองกันและกันอย่างลึกซึ้งเงียบๆ
แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ซูหยางยืนใกล้ชิดกับเธอขนาดนี้ ความรู้สึกของเขาก็เหมือนกับว่าพวกเขาได้รู้จักกันมานานหลายร้อยปีแล้ว
ส่วนสำหรับหงอวี้เอ๋อร์นั้น เธอเพียงแค่แสดงรอยยิ้มให้กับเขา
“ธ-เธอยิ้ม นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นรอยยิ้มของเธอแบบนั้น”
เหล่าศิษย์ของสำนักเมฆม่วงต่างพากันตกใจเมื่อเห็นสีหน้าแบบนั้นบนใบหน้าของหงอวี้เอ๋อร์ เมื่อพวกเขาเพียงคุ้นเคยกับการเห็นสีหน้าจริงจังบนใบหน้าเธอ
“คำนับ” ซื่อตงตะโกน และทั้งสองสำนักก็โค้งคำนับกัน
“โชคดี ขอให้ผู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุดชนะ” กูกว่านถิงพูดกับโหลวหลานจี
“โชคดีสำหรับท่านและศิษย์ของท่านเช่นกัน” โหลวหลานจีพยักหน้า
หลังจากทักทายกันแล้ว แต่ละสำนักก็เดินไปที่ขอบเวที
“ท่านเจ้าสำนัก เราจะส่งใครขึ้นไปเป็นคนแรก” หนึ่งในบรรดาศิษย์ถามกูกว่านถิง
“พวกเรามารอดูกันว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะส่งศิษย์คนไหนขึ้นเป็นคนแรก” เขาตอบกลับหลังจากที่ครุ่นคิดชั่วขณะ
ในเวลานั้นอีกฝั่งหนึ่ง โหลวหลานจีก็ถามว่า “เราควรส่งใครเป็นคนแรก ซูหยาง”
ซูหยางยักไหล่และกล่าวว่า “มิมีความสำคัญอะไรที่จะส่งใครเป็นคนแรกเพราะมิว่าอย่างไร เราก็จักชนะในที่สุด”
“เช่นนั้นเรามารออีกสักนิดว่าสำนักเมฆม่วงจะส่งใครมาก่อน”
หลายนาทีผ่านไปแต่ก็ยังไม่มีฝ่ายไหนที่ตัดสินใจส่งนักสู้คนแรกออกมา
“อืมม… พวกท่านกำลังจะส่งนักสู้ของพวกท่านมาในเร็วนี้หรือไม่” ซื่อตงเบื่อกับการรอคอยหลังจากที่ผ่านความเงียบไปหลายนาที
“ร-รอสักครู่” โหลวหลานจีกล่าว
“เราจักส่งคนของพวกเราเร็วๆนี้” กูกว่านถิงก็พูดเช่นกัน
“ได้… แต่เร็วหน่อย…” ซื่อตงส่ายหน้าและรอพวกเขาต่อไป
“นี่เป็นเรื่องตลกที่ไร้สาระ” หงอวี้เอ๋อร์กล่าว “ยังไงผลลัพธ์ของการต่อสู้นี้ก็จักขึ้นกับการต่อสู้ของข้ากับซูหยางเท่านั้น”
“เช่นนั้น..”
“ข้าจักไปเป็นคนแรก” หงอวี้เอ๋อร์พลันกล่าว
“อะไรกัน แต่เจ้าจำเป็นต้องสงวนพลังเอาไว้สำหรับต่อสู้กับซูหยาง จะเป็นอย่างไรถ้าพวกเขาส่งคนอื่นมาทำให้เจ้าสิ้นเปลืองแรง” กูกว่านถิงพูดพร้อมขมวดคิ้ว
“ท่านมิต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น ในเมื่อ…” หงอวี้เอ๋อร์ชี้ไปยังเวที
“อะไรรึ” กูกว่านถิงหันไปมองดูเวที ที่ซึ่งชายหนุ่มรูปงามกำลังเดินไปยังบริเวณกึ่งกลาง
“เขาไปเป็นคนแรกรึ” กูกว่านถิงดวงตาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ เมื่อเขาไม่คาดว่าซูหยางซึ่งเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดจะขึ้นไปบนเวทีเป็นคนแรก
“หงอวี้เอ๋อร์ เจ้ารออะไรอยู่ ขึ้นมาบนนี้มาคุยกัน” ซูหยางกล่าวเสียงดังหลังจากที่ไปถึงกลางเวที
หงอวี้เอ๋อร์เผยรอยยิ้มเล็กน้อยก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนเวที ยืนห่างตรงหน้าซูหยางเพียงไม่กี่เมตร
“ซูหยาง… มิเจอกันสักพักแล้วนะ” เธอกล่าวกับเขาด้วยสายตารักใคร่ ราวกับว่าสุดท้ายเธอก็ได้พบกับคนรักหลังจากที่แยกจากกันเป็นเวลานานหลายปี
“เจ้าว่าสักพักรึ… แต่ว่า”สักพัก“นั้นนานเท่าไหร่กัน” ซูหยางถามเธอ “เจ้าจริงแล้วเป็นหงอวี้เอ๋อร์หรือว่าใครกัน”
“มีอะไรผิดไปรึ ที่รัก รึว่าเจ้าจำคู่หมั้นของตนเองไม่ได้แล้ว” เธอหัวเราะคิกคักเปี่ยมเสน่ห์ จนทำให้ทุกคนที่นั่นรู้สึกเหมือนกับว่าหัวใจของตนเองถูกบีบคั้น