ตอนที่แล้วเรื่องสยองที่ 29 : ใครจะชั่วกว่ากัน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเรื่องสยองที่ 31 : กรรมตามสนอง

เรื่องสยองที่ 30 : ลักพาตัว


เช้าวันเสาร์

วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันพักผ่อนของผม ที่ผมตื่นนอนเช้ากว่าปกติ คงเป็นเพราะเมื่อวานนอนหลับเร็วไปหน่อย อาการปวดท้องได้หายไปแล้ว หลังจากตื่นนอนก็จัดการทำธุระส่วนตัวก่อนออกไปหาอะไรลองท้องให้กับตัวเองด้านนอกของห้อง

กลับเข้ามาในห้องอีกที เมื่อมองไปที่เตียงตอนนี้ พี่น้ำยังคงนอนหลับอยู่ มีหมอนข้างกั้นผมเอาไว้ พร้อมกับผ้าห่มผืนหนาที่ถูกถีบลงไปกองอยู่ที่พื้น เห็นแล้วก็ขำ ได้แต่เดินไปปิดแอร์ที่ตอนนี้เย็นเกินพอดีไปแล้ว เดี๋ยวเจ้าตัวจะป่วยเอา เห็นนอนขดตัวไม่รู้เรื่อง คนอะไรนอนดิ้นได้ขนาดนั้น เมื่อก่อนออกไปหาอะไรลงท้องผมก็ว่าเอาผ้าห่มห่มให้เจ้าตัวรอบหนึ่งแล้วนะ แต่คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง เมื่อเจ้าตัวอยู่ในของร่างผม

น่าจะแข็งแรงดี ...

ผมเดินไปที่ตู้ที่ใช้เก็บของใช้ส่วนตัว ก่อนหยิบกระเป๋ากล้องออกมา คิดถึงแฮะ ไม่ได้หยิบออกมาใช้นานเลยตั้งแต่กลายเป็นวิญญาณเมื่อสองสามเดือนที่แล้ว ว่าแล้วก็เอาออกมาทำความสะอาดสักหน่อยดีกว่า

“อิฐ ทำไรอยู่อะ” เสียงของพี่น้ำดังทักผมขึ้นมาทางด้านหลัง ขณะที่ผมกำลังถอดเลนส์กล้องออกมาจัดการทำความสะอาดอยู่ ไม่รู้ผมทำเสียงดังจนเจ้าตัวตื่นหรือเปล่า

“ทำความสะอาดกล้องครับพี่ ไม่ได้หยิบจับนาน นี่ผมเสียงดังทำพี่ตื่นหรือเปล่าเนี่ย” ผมถามพี่น้ำออกไป

“เปล่าอ่ะ ตื่นเอง นี่อิฐชอบถ่ายรูปหรอ อยู่ห้องนี้มาสองเดือน ไม่เคยรู้ว่าแอบซ่อนกล้องไว้ในห้องนี้ด้วย” พี่น้ำพูดออกมาขำ ๆ พร้อมกับทำท่าบิดขี้เกียจ

“หึ ๆ ครับ งานอดิเรกของผมเลยล่ะ” ผมตอบพี่น้ำไป

“แปลก ชอบถ่ายรูปแล้วทำไมเรียนวิศวะ ไม่ไปเรียนนิเทศหรือศิลปกรรมที่เกี่ยวกับการถ่ายรูปโดยตรงเลยล่ะ”

“หลายคนก็ชอบถามผมแบบนี้ คนเราไม่จำเป็นต้องเรียนในสิ่งที่ชอบนี่ครับ บางทีผมว่ามันก็เหมือนกับคนชอบกินก๋วยเตี๋ยว แต่ไม่ชอบกินเส้นก๋วยเตี๋ยว งงไหม”

“งงมาก พูดอะไรเนี่ย วุ้นแปลภาษาด่วน” พี่น้ำพูดออกมา ทำหน้างงเหมือนแบบที่พูดจริง ๆ เล่นเอาผมหัวเราะขำกับท่าทีของเจ้าตัวออกมาเบา ๆ

“คืองี้ครับ สำหรับผม ชอบก็คือชอบ ไม่จำเป็นต้องหาเหตุผล อย่างเช่นการถ่ายรูป ผมชอบ ผมก็แค่ถ่าย ไม่ได้มีหลักการอะไรมากมายเลย ผมไม่ได้อยากเรียนรู้ถึงทฤษฏีอะไรให้ปวดหัว เพราะแบบนั้น ผมเลยเลือกที่จะเรียนรู้มันด้วยตัวเอง เรียนรู้ที่ใจ ไม่ใช่สมอง”

พูดจบการตามมาด้วยเสียงร้องโห่ของพี่น้ำเหมือนล้อ ๆ กับปรัชญาของผม

“ติสท์เว่อร์”

ผมไม่ได้ปฏิเสธ ส่งยิ้มให้กับพี่น้ำเป็นการยอมรับ

“พี่น้ำอยากดูรูปที่ผมถ่ายไหม จริงสิ พี่ยังไม่เคยฟอลไอจีผมเลย เอามือถือมา” ผมพูดออกไป พี่น้ำลุกจากเตียงเดินไปหยิบมือถือของตัวเองเปิดไวไฟยื่นส่งมาให้กับผม ผมพิมพ์ชื่อไอดีของตัวเองก่อนยื่นส่งกลับให้พี่น้ำ พี่น้ำหยิบมันไปเลื่อน ๆ ดูสักพักก็พูดออกมา

“ไม่เห็นค่อยมีรูปคนเลยอิฐ มีแต่ต้นไม้ ท้องฟ้า ภูเขา ทะเล แต่ชอบนะ ถ่ายรูปสวยดี ทำไมถึงไม่ถ่ายคนอะ” พี่น้ำถามผม

“ไม่มีเหตุผล ก็แค่ชอบถ่ายธรรมชาติมากกว่าคน แต่คนผมก็ถ่ายนะ ถ่ายให้พวกเพื่อน ๆ นี่แหละ” ผมบอกพี่น้ำไป

“ไปถ่ายรูปกันไหม พี่อยากเป็นนายแบบบ้าง”

ผมหันไปมองหน้าเจ้าตัวแบบงง ๆ อารมณ์ไหนของเขาเนี่ย แต่ก็พยักหน้ากลับไป อยากเอากล้องออกไปถ่ายรูปเล่นอยู่พอดี หลังจากนั้นพี่น้ำก็รีบเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำแต่งตัว เพียงไม่นานเจ้าตัวก็ออกมาในชุดเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนเดฟสีดำขาดเข่าพร้อมกับหมวกสีดำอีกใบ

หยิบกระเป๋ากล้องพร้อม ผมกับพี่น้ำก็เดินออกมาด้านนอกห้อง ไม่มีใครอยู่สักคน สงสัยไอ้คีย์กับไอ้ชายังไม่ตื่น นี่ก็เพิ่งจะแปดโมงกว่าเองด้วย ผมก็เลยคิดว่าจะไปกับพี่น้ำแค่สองคน พวกเราเดินมาถึงด้านล่างคอนโดก่อนออกไปรอรถเมล์ที่ฝั่งตรงกันข้าม สถานที่ที่จะไปถ่ายรูปเล่นก็อยู่ในตัวเมืองนี่แหละ

โชคดีวันนี้ที่อากาศไม่ค่อยร้อนเท่าไร ผมกับพี่น้ำเลยเดินทางด้วยการขนส่งสาธารณะนี่แหละ น่าจะสบายที่สุด ไม่ต้องหาที่จอดรถ แวะถ่ายรูปตรงไหนก็ถ่ายได้ง่าย ไม่ได้มาทำอะไรแบบนี้นานแล้วเหมือนกัน ที่แรกที่เราไปคือย่านตลาดเก่า บริเวณนั้นมีของกินเยอะเลยทีเดียว ผมกับพี่น้ำที่กินแค่ขนมปังกับกาแฟรองท้องมาจึงเดินหาอะไรกินแถวนั้นต่อเรื่อย ๆ จนอิ่ม

ถัดมาเราก็เดินตามถนนไปเรื่อย ๆ โดยมีพี่น้ำยืนเก๊กท่าเป็นนายแบบให้ผมถ่ายรูป

คนอะไรวะ มองมุมไหนก็เท่ห์ ...

โคตรหลงตัวเองเลยผม

บริเวณแถวย่านตลาดเก่าแถวนั้นจะมีบ้านเรือนติดอยู่ริมแม่น้ำ หามุมถ่ายรูปเก๋ ๆ ได้เยอะเลย มีวัดอยู่ถัดออกไปอีกหน่อย และมีร้านกาแฟหลายร้านเลยที่เปิดอยู่ หลังจากถ่ายรูปเล่นและเดินกันไปเรื่อย ๆ แวะเข้าวัดเข้าวาเพื่อไหว้พระบ้างจนเกือบเที่ยง พวกเราก็หาร้านนั่งเพื่อทานอาหารกลางวัน และตอนบ่ายอากาศค่อนข้างร้อนเลยแวะนั่งร้านขนมหวานยาว ๆ มีไอ้ชาโทรมาถามว่าหายไปไหนกันแต่เช้า ผมเลยบอกว่าออกมาเที่ยวถ่ายรูปเล่นกับพี่น้ำ มันเลยแซวว่าไม่ชวน อยากได้รูปโปรไฟล์ใหม่ลงเฟซบุ๊ก แต่ก็นั่นแหละ ผมเลยบอกมันไปว่าอยากตื่นสายเอง จริง ๆ แล้วก็อยากมากับพี่น้ำแค่สองคน

ผมกับพี่น้ำนั่งคุยอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนเกือบสี่โมงเย็น พี่น้ำดูรูปที่ผมถ่ายให้ ซึ่งบางรูปเจ้าตัวก็สลับให้ผมไปยืนเป็นแบบบ้าง แต่ก็เหมือนจะไม่ถูกใจเท่าไรเพราะเธอบอกว่าผมทำท่าแมนเกิน เวลาผ่านไปไวจนเหมือนโกหก พวกเราเลยเดินออกมาจากร้านเพื่อไปเดินเล่นแถวบริเวณริมแม่น้ำสายหลักที่ไหลผ่านตัวจังหวัด แถวนี้ช่วงเย็นมักมีคนมาวิ่งเล่น ปั่นจักรยานออกกำลังกายด้วย ซึ่งตอนนี้ผมก็เห็นออกมาหลายคนเลย

พวกเราเดินไปหยุดนั่งที่ริมแม่น้ำ มองพระอาทิตย์ที่แสงเริ่มกลายเป็นสีส้มอ่อน ๆ ตัดกับท้องฟ้าสีคราม ผมหันไปหาพี่น้ำแล้วแอบถ่ายรูปตอนเจ้าตัวเผลออีกรอบ แต่เหมือนเจ้าตัวจะรู้ตัวเลยหันมามอง พี่น้ำมองหน้าผมแบบจริงจังก่อนพูดอะไรออกมา

“อิฐ ถ้าพี่กลับเข้าร่างตัวเองได้แล้ว คำตอบของพี่ยังเป็นเหมือนเดิม อิฐจะเสียใจไหม”

คำถามของพี่น้ำทำให้ผมนิ่งไปพักหนึ่ง มองหน้าเจ้าตัวแล้วส่งยิ้มให้

“อืม ก็ต้องตอบว่าเสียใจสิครับ แต่ผมก็โอเคนะ ผมเคารพการตัดสินใจของพี่” ผมบอกพี่น้ำออกไป บางทีความรักมันก็เป็นเรื่องที่แปลก สำหรับคนอื่นอาจจะมองว่าการที่เราทุ่มเทรักใครสักคน คนคนนั้นต้องรักตอบเรา แต่สำหรับผม ผมว่ามันไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้น

แค่ได้รัก แค่ได้มีความปรารถนาดี ๆ เห็นเขามีความสุข

มันก็พอแล้ว ...

“ถามจริง อิฐชอบพี่ตรงไหน” พี่น้ำถามผมต่อ

ชอบตรงไหนงั้นหรอ ... ตลกดีเพราะผมก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าชอบตรงไหน มันไม่มีเหตุผล

“ผมเคยบอกพี่แล้วไงครับ สำหรับผม ชอบก็คือชอบ อยากถ่ายรูปก็แค่ถ่าย กับเรื่องบางเรื่อง เราไม่ต้องหาเหตุผลให้มันก็ได้ครับ”

พี่น้ำยิ้มให้ผม พยักหน้าอย่างเข้าใจกับคำตอบ เจ้าตัวเดินไปที่มุมหนึ่งบริเวณริมแม่น้ำก่อนทำท่ากวักมือเหมือนเรียกให้ผมเดินตามไปถ่ายรูป ผมก็เดินตามไปถ่ายให้เจ้าตัว แปลกดีเหมือนกัน ที่วันนี้ได้มาถ่ายรูปตัวเองทั้งวันเลย ผมคงมีรูปตัวเองให้ดูอีกเยอะ

แสงสีส้มจากพระอาทิตย์ยามเย็นสะท้อนลงบนผิวน้ำเป็นประกาย

ตรงหน้าผมเป็นร่างของตัวเองที่ยืนยิ้มกว้างส่งกลับมาให้ แต่ผมกลับเห็นใบหน้าของพี่น้ำซ้อนทับอยู่แบบนั้น

ผมยิ้มตามคนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้า

ไม่รู้สิ มันเป็นภาพที่สวยที่สุดที่ผมเคยถ่ายมา ...

วันนี้ ผมชอบถ่ายคนมากกว่าธรรมชาติ ...

ที่ร้านกาแฟแถวมหาวิทยาลัย

ปูนกับกลุ่มเพื่อนกำลังคุยกันอย่างออกรสหลังจากเสร็จสิ้นงานแสดงละครเวทีของคณะนิเทศศาสตร์รอบดึก ซึ่งมีมิ้งค์เพื่อในกลุ่มแสดงเป็นนางเอก แต่งานนี้ปูนไม่ได้เล่นด้วย เนื่องจากไม่มีความสามารถในด้านนี้เลย เล่นไปก็เหมือนขอนไม้เปล่า ๆ แม้ว่าเจ้าตัวจะเป็นเดือนคณะก็เถอะ แถมเขาไม่ได้อยู่ในเอกการแสดงด้วย จึงปฏิเสธรุ่นพี่ที่มาชวนไปทั้งหมด ในกลุ่มของปูนมีด้วยกันทั้งหมดสี่คน คือเมฆ เพื่อนแว่นของเขาที่เพิ่งจะมาสนิทกันหลังรับน้อง สุกี้แฟนของเขา และมิ้งค์อีกคนที่สนิทกับเขาตอนประกวดดาวเดือนด้วยกัน

“ผมขอชาเขียวเย็นแก้วหนึ่งครับ ไม่ต้องหวานมากครับ” ปูนพูดออกไปกับพนักงานรุ่นพี่ของร้านที่เดินมารับออเดอร์กับลูกค้า ซึ่งคุ้นเคยเป็นอย่างดีเพราะเรียนอยู่คณะเดียวกันแต่เจ้าตัวมาทำงานพิเศษที่ร้านนี้

“ทำไมวะ ปกติกูเห็นมึงชอบสั่งหวาน ๆ นี่” เมฆถามออกไป มองหน้าเพื่อนตัวเองอย่างงง ๆ เพราะปกติมาร้านกาแฟทีไร ไม่ว่าจะสั่งกาแฟ ชา โกโก้ อะไรก็ตามแต่ ปูนมักจะบอกว่าเพิ่มหวานเสมอ ปูนยิ้มหันไปมองหน้ากี้ก่อนพูดออกมา

“เพราะคนข้างกูอะ หวานอยู่แล้ว”

เท่านั้นแหละ ตามมาด้วยท่าคลื่นไส้ของเมฆทันที

“ถุย กูเหม็นความรัก”

ต่อด้วยสายตามองแรงจากรุ่นพี่ในคณะที่เดินมารับออเดอร์

“คุณปูน สรุปไม่เอาหวานนะครับ กูรีบไอ้ห่า ลูกค้าเต็มร้าน มาจีบไรกันตอนนี้ พวกมึงจะเอาไรรีบสั่ง” รุ่นพี่พนักงานพูดขึ้นมาด้วยความหัวร้อน ไม่ใช่อะไร หงุดหงิดด้วยที่รุ่นน้องมีแฟนน่ารัก

“โทษพี่ หวานครับ ๆ แหะ ๆ แค่หยอดแฟนเล่น เอาหวานนะครับพี่”

“เออครับ”

พนักงานร้านนี้โคตรดุ ...

“มิ้งค์เป็นอะไรหรือเปล่า คิดอะไรอยู่เนี่ย ทำหน้าเครียดเมื่อกี้ก็แสดงดีแล้วนะ คนปรบมือดังลั่นเลย” กี้พูดออกไปถามเพื่อนที่นั่งข้างตัวตัวเอง ปูนกับเมฆก็หันมาสนใจบทสนทนาของสองสาวด้วยเหมือนกันเพราะเห็นว่ามันจริงอย่างที่กี้พูดทุกอย่าง คนถูกถามหันมามองหน้าเพื่อน ๆ ก็พูดตอบออกมา

“เรื่องส่วนตัวนิดหน่อยอะ ไม่รู้สิ ช่วงนี้เรารู้สึกว่าแม่ทำตัวแปลก ๆ ไป ไม่เหมือนคนที่เรารู้จัก มีแต่เรื่องแปลก ๆ เต็มไปหมด”

“ยังไงหรอ เล่าให้พวกเราฟังได้นะ” ปูนพูด

“เราบอกไม่ถูกอะ อาทิตย์ก่อนเรากลับไปนอนบ้าน ก็มีพวกคนที่ทำตัวเหมือนเป็นพวกมาเฟียเต็มบ้านไปหมด แถมคุณแม่ก็ดูหงุดหงิดโวยวายเสียดังเหมือนโมโหอะไรสักอย่าง เราก็ไม่รู้หรอกว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่บ้าน ไม่กล้าถาม แล้วยังพินัยกรรมของคุณพ่อที่มีการแบ่งมรดกแบบแปลก ๆ อีก”

“เรากลัว กลัวว่าแม่จะไม่ใช่คนที่เรารู้จัก”

ปูนกับกี้หันมามองหน้ากัน ทั้งสองคนพอจะรู้เรื่องพี่น้ำมาจากพี่อิฐอยู่บ้าง แต่ก็น้ำท่วมปาก เพราะคนตรงหน้าเป็นเพื่อนของตัวเอง ถ้าจะให้พูดว่าแม่ของเพื่อนตัวเองเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ที่พี่สาวต่างมารดาถูกรถชน รวมถึงพินัยกรรมที่ดูไม่ยุติธรรมแบบนั้น มันคงจะดูไม่ดีและส่งผลกระทบกับความสัมพันธ์อีกต่างหาก

พวกเขานั่งคุยกันอีกประมาณเกือบครึ่งชั่วโมงก็ต้องออกมา เพราะใกล้ถึงเวลาปิดของร้านกาแฟพอดี ตอนนี้ก็ดึกมากแล้วด้วย ทุกคนจึงแยกย้ายกันกลับ เมฆขับมอเตอร์ไซค์ของตัวเองกลับไปก่อนแล้ว เหลือแต่กี้ที่มากับปูนเลยต้องซ้อนเขากลับ ส่วนมิ้งค์มีรถยนต์อยู่คนเดียว

“โอเค ไว้เจอกันนะมิ้งค์” กี้พูด โบกมือลามิ้งค์ขณะขึ้นมอเตอร์ไซค์ซ้อนท้ายปูน ซึ่งปูนกำลังรับสายมือถือของตัวเองที่มีคนโทรมาพอดี เป็นพี่อิฐนี่เอง

“ว่าไงพี่” ปูนพูดออกไป โบกมือลามิ้งค์ที่เดินไปที่รถของตัวเอง

“กูอยากถามเรื่องบัตรละครเวทีคณะมึงอะ ยังพอมีเหลือเปล่าวะ กูจะชวนพี่น้ำไปดู เห็นฟอร์มเยอะแบบนี้ก็เหอะเหมือนเขาจะยอมญาติดีกับมิ้งค์แล้วว่ะ”

“อ่อ มีพี่ ๆ เอารอบไหนอะ แสดงอีกแค่สองวันนะ”

“เอารอบ ...”

ขณะที่มิ้งค์กำลังเดินกลับไปยังรถของตัวเอง อยู่ ๆ ก็มีรถตู้สีดำคันหนึ่งขับมาจอดเทียบริมถนนแถวนั้นใกล้ ๆ เธอ ก่อนจะมีกลุ่มชายชุดดำสี่ห้าคนพุ่งตัวออกมาจากรถ เข้ามาหามิ้งค์พร้อมกับกระชากตัวพามิ้งค์ขึ้นรถไป สายตาปูนกับกี้เห็นการกระทำของคนพวกนั้นทันทีเพราะอยู่ไม่ห่างกันเท่าไร จึงร้องออกมาด้วยความตกใจ

“ปูน ! มิ้งค์ ถูกใครก็ไม่รู้จับตัวอยู่ !” กี้ร้องเรียกเขาขึ้นมา พร้อมกับชี้ไปบริเวณนั้น ที่มิ้งค์กำลังร้องขัดขืนพร้อมกับขอความช่วยเหลือ แต่มีมือใครบางคนปิดปากเธอเอาไว้ พร้อมกับลากขึ้นไปบนรถตู้ ปูนเห็นดังนั้นก็รีบละความสนใจจากสิ่งที่ทำอยู่ทันที

“เฮ้ย ! พวกมึงจะทำอะไรเพื่อนกู มิ้งค์ ! พี่อิฐแค่นี้ก่อนนะ” ปูนรีบพูดกรอกสายออกไป กดตัดสายพร้อมกับบิดกุญแจรถเพื่อสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์อย่างรวดเร็วเพื่อจะขับตามไปให้ทันรถตู้คันนั้น

“มิ้งค์ !”

“เดี๋ยว ไอ้ปูนอย่าเพิ่งวาง ไอ้ปูน ! เกิดไรขึ้น”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด