เรื่องสยองที่ 26 : การกลับมาของน้ำ
ภายในบ้านหลังใหญ่ของสุจิตรา ร่างของเจ้าตัวนั่งอยู่ที่โซฟาราคาแพง ข้าง ๆ ตัวมีปกรณ์นั่งอยู่ไม่ห่าง ภายในห้องนั่งเล่นมีชายในชุดดำสิบกว่าคนยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา หลังจากรายงานเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นไปกับเจ้านายทั้งสองของตัวเอง ผลลัพธ์ที่ได้ออกมามันก็ทำให้สุจิตราวีนแตกขึ้นมาด้วยความอารมณ์เสีย ทุกอย่างมันจะยากขึ้นไปอีกเมื่อร่างของน้ำไม่ได้อยู่ในการดูแลของเธอ ขนาดเธอป้องกันไว้ขนาดนี้ยังมีคนมาเอาลูกเลี้ยงของเธอที่นอนเป็นผักอยู่ในโรงพยาบาลออกไปได้
“โง่ ! พวกแกมีตั้งหลายคน ! ปล่อยมันหนีไปได้ยังไง” ริมฝีปากสีแดงสดพูดขึ้นมา เจ้าตัวลุกขึ้นพร้อมเดินไปด้านหน้าของชายที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าบอดี้การ์ดพวกนั้น ก่อนมือเรียวจะตบลงไปที่ใบหน้านั้นอย่างโมโหที่ไม่ได้ดั่งใจ ใบหน้าที่ถูกตบก้มลงอย่างสำนึกผิดก่อนพูดขึ้นมา
“พวกนั้น มันเป็นพวกมีวิชาครับคุณสุจิตรา มันมีท่อนไม้พุ่งเข้ามาใส่รถจนรถพวกเราจนเสียหลัก”
ยังไม่ทันที่สุจิตราจะได้แสดงอารมณ์ร้ายของตัวเองต่อ ร่างของมิ้งค์ก็ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านนอกของห้องนั่งเล่น ก่อนเจ้าตัวจะเดินเข้ามาภายในตามเสียงที่ได้ยิน สุจิตราสังเกตเห็นร่างลูกสาวตัวเองก็รีบเปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็ว ก่อนเดินเข้าไปหาลูกสาวตัวเองด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
คงไม่มีใครอยากดูเป็นคนไม่ดีต่อหน้าลูกของตัวเองหรอก ... จริงไหม
“คุณแม่มีอะไรหรือเปล่าคะ มิ้งค์ได้ยินเสียงโวยวายไปถึงด้านนอกบ้าน” มิ้งค์พูดออกมา มองหน้าแม่ของตัวเอง เมื่อกี้เธอได้ยินเสียงแม่ตะโกนโวยวายอะไรสักอย่างเหมือนกับโมโหมาก ตั้งแต่เกิดมาเธอยังไม่เคยเห็นแม่เป็นแบบนั้นมาก่อนเลย
“อ่อ ไม่มีอะไรลูก อาทิตย์นี้มิ้งค์กลับมานอนที่บ้านหรอ ไม่เห็นโทรมาบอกแม่ก่อนเลย” สุจิตราพูดเปลี่ยนเรื่องก่อนจูงมือลูกสาวของตัวเองออกมาจากห้องนั่งเล่น
“พอดีมิ้งค์ว่างน่ะค่ะ เลยอยากกลับมานอนกับคุณแม่ที่บ้าน แล้วคนพวกนั้นคือ ...” มิ้งค์พูดต่อด้วยความสงสัย นึกถึงชายชุดดำเกือบสิบคนที่เข้ามาอยู่ในห้องนั่งเล่นบ้านของเธอ
“พวกพนักงานของปกรณ์น่ะ แม่กับปกรณ์เรียกมาอบรบโทษฐานทำงานไม่ได้เรื่อง”
“ช่วงนี้คุณแม่อยู่กับพี่ปกรณ์บ่อยจังเลยนะคะ”
หลังจากที่พ่อเธอเสีย เธอก็เห็นแม่ของตัวเองอยู่กับพี่ปกรณ์คนสนิทมือขวาของคุณพ่อบ่อย ๆ เธอเองก็ไม่ได้สนิทอะไรกับเขามากนัก แค่รู้ว่าเป็นเด็กที่คุณพ่ออุปการะไว้ตั้งแต่ยังเด็ก แถมเป็นคนมีความสามารถจนได้ตำแหน่งรองประธานบริษัทมาด้วยอายุยังน้อย ปัจจุบันก็กลายเป็นผู้ช่วยของคุณแม่เธอเต็มตัว
“ก็เรื่องงานของคุณพ่อนั่นแหละ ตอนนี้ปกรณ์เป็นคนบริหารจัดการทุกอย่าง เขาเลยเข้ามาปรึกษากับแม่บ่อย ๆ” สุจิตราพูดต่อ
“งั้น เดี๋ยวมิ้งค์ไม่รบกวนแล้วค่ะ ขอตัวขึ้นห้องก่อนนะคะ” มิ้งค์พูด พยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปยังห้องของตัวเองเพื่อพักผ่อน
“ได้ลูก เดี๋ยวเย็น ๆ เราออกไปกินข้าวข้างนอกกัน” สุจิตราพูดไล่ตามหลังของมิงค์ออกไป
ร่างของมิ้งค์เดินขึ้นไปชั้นบนของบ้านเรียบร้อยแล้ว สุจิตราจึงเดินกลับเข้ามาในห้องนั่งเล่นเหมือนเดิม โดยที่เธอไม่ได้สังเกตเลยสักนิด ว่าตลอดเวลาที่เธอคุยกับลูกสาวของตัวเอง มีสายตาปกรณ์มองอยู่ตลอดเวลา มันไม่ใช่สายตาที่มองแต่เธอคนเดียว แต่มันจ้องไปที่ลูกสาวของเธอต่างหาก สายตานั้นเต็มไปด้วยความแทะโลมมองทรวดทรงโค้งเว้าของหญิงสาว
รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ... ไม่คิดเลยว่าโตมาจะสวยขนาดนี้
โชคดีที่ไม่ได้เอานิสัยของพี่สาวต่างแม่ที่ดื้อรั้นเอาแต่ใจ และนิสัยเลว ๆ ของแม่มา
เขาน่าจะเข้าถึงได้ไม่ยาก ...
รอให้ทุกอย่างเป็นไปตามสิ่งที่เขาคิดไว้ก่อนเถอะ ...
“แล้วจะเอายังไงกันต่อดี พวกมันได้ร่างนังน้ำไปแล้ว เรื่องญาติ ๆ มันเพิ่งจะจัดการเสร็จ เรื่องตัวมันก็โผล่มาอีก” สุจิตราพูดขึ้นอีกครั้งหลังจากนั่งลงบนโซฟาภายในห้องนั่งเล่น หันไปมองหน้าปกรณ์พลางคิดว่าจะทำยังไงต่อดี
“ต้องเป็นฝีมือของไอ้เอกแน่ ๆ กล้องวงจรปิดทุกตัวในโรงพยาบาลเสียหมดเลยวันนั้น แถมไอ้พวกโง่นี่ก็ไม่รู้จักจำเลขทะเบียนรถพวกมัน มัวแต่ไล่ยิง พวกมันเสือกไม่ได้เป็นอะไรอีกต่างหาก ไปกันเป็นสิบ สมองรวมกันไม่ถึงคน !” ปกรณ์พูดด่าลูกน้องของตัวเอง
“ยังไงก็เถอะ ฉันแจ้งความไว้แล้ว เรื่องคนที่นายส่งไป ไปถึงไหนแล้ว ฉันว่ามันคงไม่กล้าเอาร่างยัยน้ำไปที่โรงพยาบาลอื่นแน่เพราะมีชื่อนามสกุลเช็คทุกที่ พวกมันทำแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน มันจะได้โดนข้อหาลักพาตัวกันให้หมด” สุจิตราพูดต่อ
“ผมให้นังนั่นติดต่อไอ้เอกไปแล้ว รอดูว่ามันจะกลับไปแตกหักกันอีกไหม ส่วนเรื่องร่างยัยน้ำ ก็รอฟังข่าวจากตำรวจละกัน” ปกรณ์ตอบกลับไป
หลังจากเอกออกมาจากคอนโดของอิฐ เจ้าตัวก็รีบกลับไปยังบ้านของตัวเอง เนื่องจากคนที่โทรหาเขาก่อนหน้านี้คือริน มันทำให้เขาหงุดหงิดมากที่เธอเอาเรื่องที่ท้องมาตามติดต่อเขา นี่ก็ไม่รู้จะเอายังไงอีก แถมบอกว่าตัวเองจะไปทำแท้ง เขาจึงต้องรีบเข้ามาเพื่อพูดคุยด้วย ทันทีที่เอกเข้ามาภายในบ้านก็เจอรินนั่งอยู่ที่โซฟาในห้องรับแขก เจ้าตัวก็รีบเดินเข้าไปใกล้ตัวปัญหาแล้วพูดออกไปอย่างหงุดหงิดทันที
“ริน คุณเป็นบ้าอะไรอีก ผมบอกแล้วไงว่าผมจะรับผิดชอบ ! ลูกผม ผมเลี้ยงเองได้ คุณจะทนหน่อยไม่ได้หรือไง เก้าเดือน คุณจะเอาเงินเท่าไรก็บอกผมมา !” เอกพูดออกไป มองผู้หญิงตรงหน้า ไม่อยากจะคิดเลยว่าความผิดพลาดแค่ครั้งเดียวมันจะทำให้เรื่องเลวร้ายขนาดนี้ไปได้ เขาไม่ได้เชื่อแค่ลมปากลอย ๆ ของริน แต่เขาพาเจ้าตัวไปตรวจที่โรงพยาบาลแล้ว ผลปรากฏว่ารินท้องจริง ๆ ไม่ได้โกหกเขา
“ฉะ ... ฉันไม่อยากเก็บเด็กคนนี้ไว้ ไม่ได้ต้องการการรับผิดชอบอะไรจากคุณด้วย ฉันรู้สึกผิดกับคุณจริง ๆ นะเอก ที่ฉันมาบอกคุณก็เพราะเป็นสิ่งที่คุณควรจะรู้ แล้วก็ไม่ได้มีแค่เรื่องลูกที่ทำให้ฉันกลับมา ฉันมีอะไรจะมาเตือนคุณ ...”
“คุณเลิกสร้างภาพได้แล้วริน ผมไม่ได้โง่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว คุณรู้ไว้ด้วย”
ยังไม่ทันที่รินจะพูดจบ เอกก็รีบพูดตัดบททันที เขาหมดความไว้ใจในตัวรินไปแล้ว รินแทบจะทนไม่ได้เมื่อเห็นเขาทำหน้ารังเกียจเธอขนาดนั้น ทั้งสายตาที่เขามอง คำพูดที่เขาพูด ทุกอย่างมันทำให้เธอเจ็บเหลือเกิน แต่เธอก็ต้องทนกับสิ่งเหล่านั้น เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นเธอก็มีส่วน
“คุณฟังฉันก่อนนะ ที่ฉันกลับมา คุณปกรณ์เป็นคนจ้างฉันกลับมา ให้มาทำให้คุณกับคุณน้ำผิดใจกันอีกครั้ง เขาให้ฉันเข้ามาหาคุณ ทำยังไงก็ได้ให้คุณมาสนใจฉัน แต่ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ในเมื่อคุณน้ำยังนอนเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่ ฉันก็ไม่รู้จะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร” รินพูด ตอนแรกเธอไม่ได้อยากเข้ามายุ่งเกี่ยวกับทั้งเขาและน้ำอีกแล้ว เธอเองก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์เมื่อไม่นานนี้เอง หลังจากนั้นปกรณ์ก็โทรมาหาเธอ บอกให้เธอเข้าไปอยู่ในชีวิตเขาอีกครั้งด้วยวิธีอะไรก็ได้ มันเลยทำให้รู้ว่าเอกกำลังจะตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากอีกครั้ง เธอก็แค่อยากมาเตือน ส่วนเรื่องลูกก็อย่างที่บอกไป เขามีสิทธิที่จะรู้ว่าเธอจะเอาเด็กออก เด็กที่โตขึ้นท่ามกลางความแตกแยกแบบนี้ ต่อให้เขายินดีจะดูแล เธอก็ไม่อยากสร้างปัญหาให้เขา
ปกรณ์ขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างมึนงงหลังจากฟังรินพูดจบ ปกรณ์จ้างมางั้นหรอ นี่มันหมายความว่าไง เรื่องทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นเป็นเพราะแผนของปกรณ์ที่ต้องการให้น้ำกับเขาผิดใจกันตั้งแต่แรกงั้นหรอ
“นี่หมายความว่าตลอดเวลาที่คุณเป็นเลขาผม ที่คุณเข้าหาผมไม่ใช่เพราะตัวคุณเอง แต่เป็นเพราะคุณถูกจ้างมางั้นหรอ !” เอกตะคอกใส่คนตรงหน้า จนใบหน้าของรินซีด เจ้าตัวก้มหน้าลงมาที่พื้น ใบหน้าสวยมีน้ำตาไหลออกมาเป็นทาง
“ฉัน ... ฉันขอโทษ ครอบครัวฉันจำเป็นต้องใช้เงิน”
“ผมไม่รู้จะพูดอะไรกับคุณดีแล้วริน” เอกพูดออกมาพร้อมกับส่ายหน้า มือทั้งสองข้างขยี้ผมตัวเองอย่างหัวเสีย
“คุณเชื่อฉันนะ คุณปกรณ์กับคุณสุจิตรากำลังวางแผนทำอะไรสักอย่างอยู่แน่ ฉันไม่อยากทำผิดกับคุณและคุณน้ำเป็นครั้งที่สอง” รินพูด เงยหน้ามาทั้งน้ำตาด้วยความจริงใจ
เอกมองหน้ารินสักพักแล้วก็เดินไปหยิบทิชชูมายื่นให้ เขาไม่ใช่คนใจร้ายกับผู้หญิงขนาดนั้น แต่สิ่งที่รินทำ มันทำให้เขาเองก็ไม่รู้จะทำยังไงกับเธอดีเหมือนกัน เขาคงต้องใช้เวลากับตัวเองให้มาก ๆ เพื่อหาทางออกให้กับเรื่องนี้ ดูเหมือนน้ำตาของรินจะทำให้เอกสงบลงขึ้นได้บ้าง
“ผมขอบใจมากที่มาบอกเรื่องนี้กับผมอย่างไม่ปิดบัง ส่วนเรื่องเด็ก ยังไงเขาก็เป็นลูกผม ผมไม่ยอมให้คุณเอาเด็กออก ถือว่าเราคุยเรื่องนี้เป็นครั้งสุดท้ายนะ คุณกลับไปได้แล้ว ผมมีเรื่องที่ต้องคิดอีกเยอะ” เอกพูด พร้อมหันหลังกลับเดินออกไป
“ฉันขอโทษจริง ๆ นะ”
รินพูดออกมาเบา ๆ มองตามร่างของเอกที่เดินหนีเธอไปแล้ว เธอเองก็ไม่ได้อยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ ไม่ได้อยากจะมาเป็นมือที่สามของใคร ยอมรับว่าตัวเองทำผิดเพราะเงินกับครอบครัวที่กำลังลำบาก แต่ยิ่งเธออยู่ใกล้ชิดเขา ได้ทำงานร่วมกับเขา ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นตลอดระเวลาที่ผ่านมา
มันทำให้เธอหลงรักเขาจริง ๆ ...
ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในตอนเช้าเนื่องจากแสงแดดที่ส่องผ่านผ้าม่านเข้ามา เมื่อคืนหลับสนิทเลยแฮะ ตอนนี้หมอนข้างที่เคยวางกั้นผมกับพี่น้ำไว้หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ร่างของผมกับพี่น้ำอยู่ใกล้ชิดกันมาก มากจนผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่รดอยู่ตรงอก พี่น้ำเป็นคนนอนดิ้นทำไมผมจะไม่รู้ ในเมื่อผมเข้ามาส่องร่างของตัวเองอยู่บ่อย ๆ ตอนนอนครั้นยังเป็นวิญญาณ จากคนที่เคยนอนหันหลังตะแคงข้างให้ผม ตอนนี้เข้ามากอดตัวผมไว้แน่นเหมือนกับผมเป็นหมอนข้าง แถมยังซุกตัวเข้ามาบนหน้าอกผมอีกแน่ะ จักจี้พิลึก
แต่จริง ๆ มันคือหน้าอกของพี่น้ำ ...
ผมอยากกลับเข้าไปอยู่ในร่างตัวเองตอนนี้จัง ...
ผมได้แต่ยิ้มมองร่างตัวเองที่เอาตัวเข้ามาซุกแบบนี้ เหมือนเด็กเลยแฮะ พี่น้ำตื่นมาจะโทษผมไม่ได้นะ เพราะเจ้าตัวเป็นคนทำแบบนี้เอง ผมมองใบหน้าตัวเองที่ยังคงหลับตาปุ๋ยไปเรื่อย ๆ สักพักก็มีเสียงมือถือดังขึ้น ทำให้เจ้าตัวเหมือนจะรู้สึกตัวตื่น ผมเลยรีบแกล้งหลับตาต่อ อยากจะรู้ว่าพี่น้ำจะทำยังไงเมื่อตัวเองเข้ามากอดผมเองในสภาพแบบนี้
“เฮ้ย !”
ผมได้ยินเสียงพี่น้ำร้องออกมาอย่างตกใจก่อนผละตัวออกจากร่างผม นี่ถ้าผมลืมตาคงเห็นใครบางคนหน้าแดงกำลังขยี้ผมตัวเองไปมาจนยุ่งชี้ฟูไปทั่วเหมือนไม่ได้ดั่งใจและหงุดหงิดตัวเองแน่นอน ตามมาด้วยเสียงบ่นงุ้งงิ้งของเจ้าตัว
“นี่ฉันทำบ้าอะไรเนี่ย เอาหน้าไปซุกนมตัวเองทำไม โอ๊ย ! ดีนะอิฐยังไม่ตื่น”
ผมตื่นมาได้สักพักแล้วพี่น้ำ ...
เสียงโทรศัพท์ยังคงกรีดร้องไปสักพักก่อนผมจะแกล้งพึมพำออกมาเหมือนรู้สึกตัวว่าตื่น พร้อมค่อย ๆ หรี่ตามอง เห็นพี่น้ำรีบคว้ามือถือมากดรับสายอย่างรวดเร็ว
“เอกหรอ มีอะไรหรือเปล่า” พี่น้ำพูดกรอกสายออกไป
อารมณ์เสียแต่เช้าเลย ...
โทรมาทำไมวะไอ้พี่เอก ...
ผมได้ยินเสียงพี่น้ำคุยกับพี่เอกอะไรไม่รู้อีกสักพักเครียด ๆ ก่อนเจ้าตัวจะวางสายไป ผมถือโอกาสลุกยันตัวขึ้นมาบิดขี้เกียจแล้วถามพี่น้ำไปว่าพี่เอกโทรมาทำไมกัน
“พี่เอกโทรมาทำไมหรอครับ”
“ตำรวจเรียกเอกไปสอบปากคำ สุจิตราไปแจ้งตำรวจว่ามีคนลักพาร่างพี่ออกจากโรงพยาบาล ตอนนี้ตำรวจก็เข้าไปคุยกับคนที่พี่สนิทด้วยทั้งหมดเพื่อหาข่าวคราวเบาะแสว่าตอนนี้ร่างพี่อยู่ที่ไหน” พี่น้ำตอบผมกลับมา
ผมนี่แทบอย่าไปตะโกนใส่หน้าสุจิตรา คือจะอะไรกันนักกันหนา ไม่รู้จะจองล้างจองผลาญกันไปถึงไหน นี่กะจะเก็บพี่น้ำเป็นลูกไก่ในกำมือแล้วฆ่าทิ้งเหมือนที่ทำกับพ่อพี่น้ำให้ได้เลยหรือยังไง
“คนเลวแบบนั้นยังจะกล้าแจ้งตำรวจอีก ผมล่ะไม่เข้าใจเลย เมื่อไรจะได้รับกรรมที่ตัวเองก่อสักที” ผมพูดออกไปกับพี่น้ำ
“อิฐเข้ามาอยู่ในร่างของพี่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ยังดีกว่านอนเป็นผักอยู่แบบนั้น ขืนเป็นแบบนั้นเราแย่แน่” พี่น้ำพูดต่อ
“แล้วเราจะเอาไงกันต่อดีพี่น้ำ” ผมถามพี่น้ำออกไป เจ้าตัวมองหน้าผมยิ้ม ๆ แล้วพูดตอบกลับมา
“มันถึงเวลาแล้ว ... ที่อิฐจะต้องเล่นบทเป็นพี่บ้าง”