เรื่องสยองที่ 24 : ผมเป็นผู้หญิง
ผมใช้เวลาเพียงไม่นานก็มาถึงหน้าห้องพักของผู้ป่วยก่อนใคร ด้านหน้าของห้องมีบอดี้การ์ดสองคนในชุดดำยืนเฝ้าอยู่เหมือนที่ผมเห็นเมื่อวันก่อนไม่มีผิด มองหน้าสองคนนั่นแล้วก็รู้สึกว่าเหมือนเป็นพวกมือสมัครเล่นมากกว่า เพราะดูท่าทางแล้วพร้อมจะหลับตลอดเวลา ว่าแล้วผมก็เริ่มดำเนินตามแผนการของตัวเองทันที มือโปร่งแสงของผมเอื้อมไปตบหัวของบอดี้การ์ดคนหนึ่งที่กำลังทำตาเหมือนจะปิด ตามมาด้วยเสียงร้องโอดโอยของเจ้าตัวที่ดังขึ้น
“เฮ้ย ! มึงตบหัวกูทำไมเนี่ย” คนถูกตบหัวร้องขึ้นมา หันไปมองหน้าเพื่อนที่เฝ้าอยู่หน้าห้องอีกคนที่ยืนอยู่ด้านข้างตนเอง คนถูกกล่าวหาว่าเป็นคนตบหัวหันมามองหน้าคนพูดแบบงง ๆ พร้อมพูดปฏิเสธ
“กูเปล่า”
“ถ้ามึงไม่ตบแล้วใครตบ กูกับมึงก็ยืนกันอยู่สองคนเนี่ย” บอดี้การ์ดคนที่ผมตบหัวพูดต่อด้วยความหงุดหงิด ดูไม่ค่อยจะเชื่อสักเท่าไร
“มึงหลอนล่ะ กูเปล่า” เขาพูดอีกครั้ง
เหมือนผมต้องทำให้พวกนั้นหลอนกว่านี้ถึงจะเบี่ยงเบนความสนใจให้พี่เอกและพี่เต้เข้าไปเอาร่างพี่น้ำออกมาจากห้องได้ ว่าแล้วผมก็ง้างมือตบไปที่หัวบอดี้การ์ดคนนั้นอีกทีอย่างแรงกว่าเดิมจนเจ้าตัวร้องโวยวายหันไปกระชากคอเสื้อของเพื่อนตัวเองแบบพร้อมจะมีเรื่องซะเดี๋ยวนั้น
“เฮ้ย ! นี่มึงเอาอีกแล้วนะ”
น้ำเสียงดังขึ้นเหมือนจะโมโหแต่ก็ไม่ดังจนถึงขั้นตะคอก เพราะคงกลัวพยาบาลที่อยู่ที่โถงกลางของชั้นเดินมาไล่กระมัง แต่คราวนี้ได้ผลดีอยู่ เหมือนทั้งคู่จะเริ่มวางมวยกันแล้ว ผมก็ได้แต่ยืนกอดอกมอง แต่สองคนนั้นก็ยังไม่ยอมออกไปจากบริเวณหน้าห้องพี่น้ำสักที เสียดายที่ทำให้สองคนนั่นมองเห็นตัวผมไม่ได้ ไม่งั้นจะได้หมุนคอ 180 องศาหลอกผีไปซะเลย
“มึงอยากจะมีเรื่องกับกูนักใช่ไหมวะ” คนที่ผมตบหัวพูด พร้อมกับกำหมัดแน่นเตรียมเหวี่ยงหมัดนั้น
“โอ๊ย !”
เสียงร้องดังขึ้นมาอีกครั้ง แต่คราวนี้มาจากคนที่ยังไม่เคยโดนตบหัว เป็นผมเองที่ตบหัวอีกคน ตอนนี้บอดี้การ์ดสองคนนั้นได้แต่มองไปรอบ ๆ ตัวด้วยความหวาดระแวง เพราะถ้าไม่ใช่ฝีมือของเพื่อนตัวเองมันก็ต้องมาจากสิ่งลี้ลับอื่นแน่ ๆ ผมยิ้ม ในที่สุดสองคนนั้นก็รู้ตัวสักทีว่ามีใครอีกหนึ่งคนยืนอยู่ตรงนี้ด้วย
“มึงก็โดนเหมือนกันหรอวะ”
“ระ หรือว่า ทะที่นี่มีผีวะ กลางวันแสก ๆ เนี่ยนะ”
“กะ กูว่าใช่ เมื่อวานห้องข้าง ๆ เพิ่งมีคนตายไม่ใช่หรอวะ”
ขึ้นชื่อว่าผี เป็นใครก็ต้องกลัว สองคนนั้นมองหน้ากันเลิ่กลั่กพลางคิดถึงเรื่องของผู้ป่วยที่เสียชีวิตที่ห้องด้านข้างไปเมื่อวันก่อน ดีเลยทุกอย่างมันช่างประจวบเหมาะกับสิ่งที่ผมทำพอดี
“กูว่าเราออกไปหากาแฟกินให้ตาสว่างก่อนดีกว่าค่อยกลับมา เบลอไปหมดแล้ว ผีเผออะไรของมึง” ปากคนพูดพูดไปอย่างนั้น แต่สองขากลับก้าวเดินนำไปก่อนโดยไม่รอเพื่อนตัวเองแม้แต่น้อย
สำเร็จ ...
จังหวะเดียวกันกับที่พี่เอกกับพี่เต้ พร้อมกับไอ้ชาและไอ้คีย์ที่ขึ้นลิฟต์มาถึงชั้นนี้พอดี ทั้งคู่เดินผ่านโถงกลางของชั้นที่มีพยาบาลเฝ้าอยู่ประจำหลายคน มีไอ้คีย์กับไอ้ชาเข้าไปสอบถามข้อมูลอะไรบางอย่างเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ตอนนี้พี่เต้อยู่ในชุดหมอของโรงพยาบาลนี้ ในขณะที่พี่เอกอยู่ในชุดบุรุษพยาบาลพร้อมกับรถเข็นคนไข้ที่ไม่มีคนไข้นั่งอยู่ตรงมาทางห้องของพี่น้ำที่ผมพยักหน้าให้สัญญาณทั้งคู่อยู่ห่าง ๆ
“สวัสดีครับคุณพยาบาล พอดีผมมีเรื่องจะสอบถามหน่อยน่ะครับ พอดีเพื่อนผมชื่อ ... ไม่ทราบว่าพักอยู่ห้องไหนหรอครับ ผมถามจากทางด้านล่างมารอบแล้วแต่บังเอิญลืมน่ะครับ” คนที่พูดออกไปเป็นไอ้ชา ตอนนี้มันอยู่ที่เคาน์เตอร์พยาบาลโถงกลางของชั้น ซึ่งกำลังโปรยเสน่ห์ใส่พยาบาลที่ประจำกันอยู่หลายคน ทุกคนก็เข้ามาให้ความช่วยเหลือไอ้ชาที่โกหกหน้าตายว่ามีเพื่อนนอนพักรักษาตัวอยู่ที่นี่เป็นอย่างดี ขณะเดียวกัน พี่เต้กับพี่เอกก็เดินมาถึงหน้าห้องของพี่น้ำเรียบร้อย
“เอ่อ ที่โรงพยาบาลเราไม่มีผู้ป่วยชื่อนี้นะคะ” พยาบาลคนหนึ่งตอบ เงยหน้ามองชาบูที่ส่งยิ้มให้จนตาปิด ในสมองของมันคงกำลังหาเรื่องแถอยู่แน่ ๆ
“อ้าว จริงหรอครับ คุณพยาบาลช่วยเช็คให้ผมอีกทีได้ไหม พอดีเพื่อนผมที่รู้ข่าวบอกว่ารักษาตัวอยู่ที่นี่จริง ๆ นะครับ นะ น้า ช่วยผมหน่อย”
ส่วนไอ้คีย์ก็เข้าไปคุยกับพยาบาลอีกคนที่เหมือนจะเห็นพี่เต้กับพี่เอกเดินเข้าไปในห้องพี่น้ำ แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี เมื่อไอ้คีย์ใช้พลังยมทูตของมันทำตู้กระจกถังดับเพลิงที่อยู่อีกฝั่งของตัวตึกแตก ทำให้ทุกสายตาหันไปจับจ้องที่อีกด้านหนึ่งของทางเดินแทน
เหมือนจะไปได้ดี ผมยกมือขึ้นทำท่าโอเคส่งให้ไอ้ชาเพื่อเป็นการบอกว่าตอนนี้พี่เอกและพี่เต้ได้เข้าไปในห้องพี่น้ำเรียบร้อยแล้ว
ผมลอยตัวทะลุผ่านเข้าไปในห้องมองดูพี่เต้ที่กำลังถอดสายน้ำเกลือและเครื่องไม้เครื่องมือทางการแพทย์ออกจากตัวของพี่น้ำอย่างระมัดระวัง ก่อนทั้งคู่จะค่อย ๆ ยกร่างของพี่น้ำมานั่งบนรถเข็นคนไข้ ในเวลาไม่กี่นาทีทั้งคู่ก็ได้ตัวพี่น้ำออกมาสำเร็จ ผมลอยตัวทะลุผ่านนอกห้องออกไปดูลาดเลาอีกครั้งพร้อมเข้ามาบอกพี่เต้กับพี่เอกว่าทางสะดวกแล้ว
พวกเราเดินออกมานอกห้องคนป่วยขณะที่พยาบาลส่วนใหญ่กำลังหันเหความสนใจไปยังกระจกตู้ถังดับเพลิงที่แตก โดยมีอีกส่วนกำลังคุยกับไอ้ชาและไอ้คีย์อยู่ ทันทีที่พี่เต้และพี่เอกเข้าไปในลิฟต์เรียบร้อยผมก็เข้าไปหาไอ้ชากับไอ้คีย์พร้อมพยักหน้าว่าทุกอย่างตอนนี้เรียนรอบแล้ว
ไอ้ชาแกล้งล้วงมือถือตัวเองขึ้นมาก่อนรับสาย
“อ้าว ไม่ใช่โรงพยาบาล ... แต่เป็น ... งั้นหรอสรุปกูมาผิดที่ใช่ไหมเนี่ย” ไอ้ชาพูดกับมือถือตัวเองที่ไม่มีคนพูดตอบกลับมาอีกสองสามประโยคก่อนมองหน้าพยาบาลแบบยิ้ม ๆ
“ขอโทษด้วยนะครับ พอดีเพื่อนผมมันจำชื่อโรงพยาบาลสลับกับอีกคนครับ”
พยาบาลพยักหน้าอย่างเข้าใจไม่ถือสาหาความอะไรไอ้ชาก่อนกลับไปทำงานในหน้าที่ของตัวเองต่อ ส่วยไอ้คีย์ลงไปก่อนได้สักพักแล้ว หลังจากมันทำให้ทุกคนเบี่ยงเบนความสนใจไปยังอีกทาง มันต้องไปเตรียมรถมาเอาไว้รับพี่น้ำที่ทางออกด้านหลังของโรงพยาบาลตามแผนที่พวกเราวางเอาไว้
พอพ้นสายตาของพยาบาลไอ้ชาก็รีบวิ่งออกมาจากตรงนั้นทันทีพร้อมกับกดลิฟต์อีกตัวเพื่อลงไปยังชั้นล่างเร็ว ๆ
“ไอ้อิฐ เกือบไปแล้ว ถ้าช้ากว่านี้กูไม่รู้จะชวนพยาบาลคุยอะไรต่อแล้วนะ” ไอ้ชาพูดออกมา
“เออ ๆ มึงทำดีแล้ว รีบไปเถอะ”
ผมกับไอ้ชาลงมาถึงชั้นล่างหลังจากพี่เอกกับพี่เต้แปบเดียว ทั้งคู่กับลังเข็นร่างของพี่น้ำออกไปทางด้านหลังของโรงพยาบาล วันนี้คนในโรงพยาบาลค่อนข้างที่จะเยอะพอสมควรจึงไม่มีใครสนใจใครเป็นพิเศษ ผมกับไอ้ชาเมื่อเห็นแบบนั้นก็รีบเดินไปสมทบทันที แต่เหมือนความซวยจะไม่เข้าใครออกใคร เมื่อไอ้บอดี้การ์ดสองคนที่ลงมาหาอะไรกินมองเห็นพี่น้ำที่นั่งอยู่บนรถเข็นคนป่วยกำลังจะออกจากประตูด้านหลังของโรงพยาบาล
อีกนิดเดียวแท้ ๆ ...
“เฮ้ย ! นั่นมันคุณน้ำ” เสียงตะโกนดังขึ้นมาจากหนึ่งในสองบอดี้การ์ดนั่นก่อนพวกนั้นจะวิ่งตรงมาทางพวกเรา ตอนนี้ทำให้คนในโรงพยาบาลหันมามองว่าเกิดอะไรขึ้น
“พี่เอก เร็ว ! วิ่ง ผมจะกันไอ้สองตัวนี้ให้” ผมร้องออกไป เร่งบอกให้พี่ทั้งสองคนรีบออกไปจากโรงพยาบาล
บอดี้การ์ดสองคนนั้นวิ่งตามมาไวมากพร้อมกับในมือถือวิทยุสื่อสารพูดคุยกับใครบางคนพร้อมกับวิ่งมาด้วย จนเกือบถึงตัวพี่เอกที่เข็นรถเข็นพี่น้ำอยู่ แต่ผมดึงเสื้อของทั้งคู่ค้างเอาไว้ก่อน พอดีกันกับจังหวะที่ไอ้คีย์ขับรถมาจอดด้านหลังโรงพยาบาลเพื่อรอรับได้ทันเวลาพอดี พี่เอกจึงรีบอุ้มตัวพี่น้ำขึ้นไปบนรถ พร้อมกับทุกคนรีบตามกันขึ้นไป
“เฮ้ย ! ใครดึงกู” เสียงของบอดี้การ์ดสองคนนั้นร้องขึ้นมา
“กะ กูไม่รู้ !”
ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกที่รถของไอ้คีย์ได้ขับออกไปเรียบร้อยแล้ว จึงปล่อยตัวสองคนนั้นออกไป แต่เมื่อผมมองออกไปตรงนั้นอีกครั้ง มีรถอีกคันที่ขับตามรถไอ้คีย์ไปติด ๆ นี่อย่าบอกนะว่าไอ้ที่สองตัวนี้พูดกับวิทยุสื่อสารมีอีกพวกที่คอยเฝ้าไว้อยู่ข้างล่างด้วย กะไว้แล้วเชียวว่ามันไม่ได้ง่ายขนาดนี้ ผมมองรถคันนั้นอย่างเป็นกังวล กระจกเงาสีดำที่ยังพอมองเห็นภายในทำให้ผมเห็นว่ามีชายชุดดำอีกหลายคนอยู่ในรถคันนั้น
เวรแล้วไง ...
ผมรีบลอยตัวตามไปอยู่ในรถของไอ้คีย์อย่างรวดเร็วทันที
“ไอ้คีย์ มีคนตามพวกเรามา !” ผมร้องบอกคนขับรถออกไป
“เชี้ยแล้วไง กูจะรีบขับให้เร็วกว่านี้” ไอ้คีย์ที่ตอนนี้เป็นขับรถพูดขึ้นมา ตอนนี้พวกเรามานั่งอัดรวมกันในรถไอ้คีย์ ยังดีที่มันกลับบ้านไปเปลี่ยนเอารถพ่อมันมาเพื่อให้มีที่นั่งกันได้หลายคนตั้งแต่แรก ส่วนรถของพี่เอกก็ถูกจอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลเพราะไม่มีเวลากลับไปเอารถเหมือนที่วางแผนกันไว้ เนื่องจากพวกนั้นวิ่งตามมาพอดี
ปั่ง !
เสียงปืนดังไล่หลังขึ้นตามมา ผมหันกลับไปมองรถที่ขับตามมาด้านหลัง มีชายคนหนึ่งยื่นปืนออกมานอกรถพร้อมกับยิงตรงมายังรถของพวกเรา โอ๊ย ! จะบ้าตาย ผมไม่คิดเลยว่าสุจิตราจะกล้าสั่งให้ลูกน้องตัวเองทำอะไรโจ่งแจ้งถึงขนาดนี้ ตามมาด้วยเสียงปืนอีกหลายนัดที่ไล่ยิงไล่หลังพวกเรามา
“เฮ้ย ! นี่มันเรื่องอะไรของพวกมึงเนี่ย แค่ให้กูไปพาคนป่วยออกจากโรงพยาบาลก็แย่แล้วนะ” พี่เต้ร้องขึ้นมาหันไปมองรถคันที่ขับตามพวกเรามาอย่างเป็นกังวล เจ้าตัวเป็นคนที่รู้เรื่องราวน้อยที่สุดแล้วแต่ก็ยังยอมช่วย เป็นเพราะไอ้คีย์ไปขอความช่วยเหลือพร้อมพี่ฟองให้เขามาดูแลพี่น้ำเพราะเจ้าตัวเป็นหมอ จะได้ช่วยดูแลร่างพี่น้ำระหว่างการพาเจ้าตัวไปที่อื่นได้สะดวก คงไม่นึกว่าจะมีคนไล่ตามมายิงขนาดนี้
“ไอ้อิฐมึงทำอะไรสักอย่างดิ” ไอ้คีย์พูดขึ้นมา
ไอ้คีย์เองตอนนี้ก็ใช้พลังยมทูตของมันสร้างบาเรียโปร่งแสงครอบรถเอาไว้ แต่เหมือนจะไม่แข็งแรงเท่าไรเพราะถูกยิงไม่กี่ครั้งบาเรียก็แตกแล้ว ซึ่งมันต่างจากที่ผมเคยเห็นจากปกติที่บาเรียของมันจะเป็นสีแดงและแข็งแรงกว่านี้ มันทำโจ่งแจ้งมากไมได้ เพราะถ้าบาเรียของมันเป็นสีแดงจะทำให้คนรอบ ๆ หันมาสนใจแน่ ความลับยมทูตของมันเองก็มี
“เออ ๆ กำลังจะทำอยู่เนี่ย” ผมพูดออกไป ลอยตัวไปยังรถที่ขับตามพวกเรามา เมื่อกี้แค่เข้าไปบอกไอ้คีย์ว่าให้เร่งขับเพราะไม่แน่ใจว่ามันรู้ตัวว่ามีคนขับตามมาหรือเปล่า แต่ตอนนี้น่าจะรู้แล้วเมื่อมีกระสุนปืนไล่ตามหลังแบบนี้
ขณะที่ผมกำลังจะพุ่งตัวไปยังคนขับรถคันนั้น ผมก็รู้สึกร้อนไปทั่วทั้งร่างทันทีที่โดนรถคันนั้น วิญญาณผมไม่สามารถทะลุผ่านเข้าไปอยู่ในรถคันนั้นได้ สายตาเหลือบไปเห็นยันต์อะไรบางอย่างที่แปะไว้ที่พวงมาลัยของรถ
โธ่โว้ย !
แต่บังเอิญที่สายตาผมเหลือบไปเห็นท่อนไม้ขนาดปานกลางที่อยู่ข้างทางพอดี ผมเลยตั้งสมาธิและทำให้มันลอยตรงมายังรถคันนั้นอย่างรวดเร็วแทน
ตุ้บ !
ได้ผล รถที่วิ่งตามพวกเรามาเสียหลักทันที พอมองไปยังรถไอ้คีย์ก็วิ่งห่างออกไปไกลแล้ว ผมถอนหายใจออกมามองรถคันนั้นที่พุ่งลงไปข้างทาง ดีนะที่ไม่มีใครเป็นอะไร ผมเองก็ไม่ได้อยากทำให้ใครบาดเจ็บล้มตายเหมือนกัน
ผมหายตัวกลับมาที่รถของไอ้คีย์อีกครั้ง ซึ่งตอนนี้ทุกอย่างน่าจะเข้าที่เข้าทางของมันแล้วเมื่อไม่มีใครขับรถตามพวกเรามา พวกเราวางแผนไว้ว่าจะเอาร่างพี่น้ำกลับไปอยู่ที่คอนโดของเราก่อน แล้วค่อยหาโรงพยาบาลใหม่ให้ร่างพี่น้ำ หรืออีกทางเลือกคือให้ร่างของพี่น้ำอยู่ที่คอนโดพวกเราไปเลย แล้วหาพยาบาลพิเศษมาดูแลเวลาเราไปเรียนกันตามคำแนะนำของพี่เอก ซึ่งพวกเราก็เห็นด้วย
ไอ้คีย์ขับรถมาเรื่อย ๆ จนถึงสี่แยกไฟแดงก่อนจะเบรกรถลงหลังจากขับเร็วมาตลอดทาง ส่งผลให้ร่างของพี่น้ำที่ไม่ได้ขาดเข็มขัดนิรภัยด้วยความรีบร้อนของพวกเราเซออกมาจากเบาะรถ
ผมเห็นดังนั้นจึงขยับเข้าไปใกล้พยายามจะใช้พลังตัวเองแตะร่างของพี่น้ำให้ไปนั่งอย่างปกติ แต่บางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติก็เกิดขึ้น ร่างของผมไม่สามารถแตะร่างของพี่น้ำได้ แต่มันกลับถูกดูดเข้าไปในร่างของพี่น้ำทันที ผมร้องออกมาอย่างตกใจ พยายามดันตัวเองออกมาจากร่างของพี่น้ำเหมือนทุกทีแต่ก็ทำไม่ได้
นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นเนี่ย ... อย่าบอกนะว่าร่างของพี่น้ำมาตอบสนองต่อวิญญาณผมตอนนี้
ผมรู้สึกหมดแรงไปทั้งตัว สติก็เริ่มลางเรือนเหลือเกิน เหมือนคนที่ไม่ได้กินอะไรมาหลายเดือน
ทุกอย่างมืดไปหมดเมื่ออยู่ในร่างของพี่น้ำ เปลือกตาผมเริ่มหนักอึ้ง รู้สึกง่วงแบบไม่ทราบสาเหตุ
ไม่ช้าทุกอย่างก็ดับวูบไป ...