เรื่องสยองที่ 23 : ก็แค่อยากแน่ใจ
หลังจากเข้าไปดูร่างพี่น้ำที่โรงพยาบาลเสร็จ
ผมก็รีบกลับมายังคอนโดอย่างรวดเร็วเพื่อบอกข่าวดีกับพี่น้ำสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น ผมลอยตัวทะลุผ่านเข้าไปภายในห้องส่วนตัวของตัวเองก่อนร้องเรียกพี่น้ำขึ้นมาอย่างดีใจกับการที่ร่างของเจ้าตัวมีอาการตอบสนองแล้ว อีกไม่นานเจ้าตัวคงจะสามารถกลับเข้าร่างได้ในไม่ช้า แต่ดูเหมือนผมจะรีบร้อนเข้ามามากไปหน่อย เลยเข้ามาเห็นในจังหวะตอนที่เจ้าตัวกำลังจะเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดธรรมดาเป็นชุดนอนแทน
“พี่น้ำ !”
ทันทีที่พี่น้ำได้ยินเสียงผมที่ร้องขึ้นมา ผ้าเช็ดตัวที่พันตัวเอาไว้ตั้งแต่ช่วงบนจนถึงช่วงล่างก็ร่วงลงไปกองที่พื้นทันที ตามมาด้วยเสียงของพี่น้ำที่ร้องออกมาอย่างตกใจที่อยู่ ๆ ผมก็โผล่พรวดพราดเข้ามาภายในห้องแบบนั้น
“ว้าย อิฐ ! ไอ้เด็กบ้า ! เข้ามาทำไมไม่ส่งเสียงก่อน” พี่น้ำร้องขึ้นมา พร้อมกับเอามือสองข้างยกขึ้นปิดหน้าอกของตัวเองอย่างรวดเร็ว
ไอ้ที่ควรจะปิดมันคือข้างล่างครับพี่น้ำ ...
ผมแทบจะกุมขมับทุกครั้งเมื่อเห็นตัวเองเอาผ้าเช็ดตัวพันตัวเป็นผู้หญิงแบบนั้นหลังอาบน้ำเสร็จ เห็นกี่ทีมันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลก ๆ ไหนจะผ้าโพกหัวพร้อมกับแผ่นมาร์กหน้าที่อยู่บนใบหน้าอีก แต่ก็ต้องยอมรับว่าพี่น้ำดูแลร่างกายผมเป็นอย่างดี ครีมบำรุงอะไรหลายอย่างที่ผมไม่เคยใช้ โลชันทาตัวอะไรต่าง ๆ มากมายล้วนทำให้ผมตอนนี้ดูดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน
นับวันผมยิ่งสวยขึ้นทุกที … จะบ้าตาย !
“โทษ ๆ เพิ่งอาบน้ำเสร็จหรอครับ” ผมถามออกไป หันหลังกลับแม้ว่าร่างตรงหน้าจะเป็นร่างของตัวเองก็เถอะ
“จะเข้ามาทำไมไม่ส่งเสียงก่อน บอกกี่ครั้งแล้ว” พี่น้ำพูดดุขึ้นมาแบบไม่จริงจัง หยิบไดร์เป่าผมขึ้นมาเป่าผมตัวเองหลังจากจัดการกับตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“นั่นมันร่างผม พี่จะอายอะไร ผมเห็นมาหมดทั้งตัวแล้ว” ผมพูดออกไปส่ายหัวด้วยความระอา ก่อนทรุดตัวนั่งลงบนเตียงนอนของพี่น้ำ
“แล้วทำไมดูรีบร้อนขนาดนั้น มีเรื่องอะไรสำคัญหรือเปล่า” พี่น้ำถามผม
“ร่างพี่ ร่างพี่ตอบสนองแล้วพี่น้ำ ผมคิดว่าอีกไม่นานพี่จะฟื้น” ผมบอกข่าวดีกับพี่น้ำไปพร้อมกับยิ้มกว้างให้เจ้าตัว
“ฮะ ! จริงหรออิฐ” พี่น้ำร้องขึ้นมาอย่างดีใจ หลังจากผมพูดจบ
ใบหน้าของเจ้าตัวหันกลับมามองผมอย่างรวดเร็วจากกระจกใสตรงหน้าที่กำลังใช้ไดร์เป่าผมตัวเองอยู่ เจ้าตัวรีบวางข้าวของไว้ตรงนั้นก่อนจะวิ่งมาหาผมที่นั่งอยู่บนเตียงแล้วสวมกอดอย่างดีใจจนผมตั้งตัวไม่ทัน
ผมอึ้ง ไม่คิดว่าเธอจะเข้ามาทำแบบนี้กับผม
มือของผมเอื้อมเข้าไปกอดร่างของตัวเองตอบเช่นกันตามสัญชาตญาณ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเราถึงสัมผัสกันได้จนเหมือนผมไม่ได้เป็นแค่วิญญาณขนาดนี้ ครั้งนี้มันมีความรู้สึกมากกว่าครั้งก่อน ๆ
กับเรื่องบางอย่าง ... ผมก็ไม่อยากคิดจะหาเหตุผลให้มัน
ผมนิ่งไปสักพักก่อนพี่น้ำจะผละตัวออกไปเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ผมเองก็ไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองจนเกินไปว่าสิ่งที่พี่น้ำทำลงไปเมื่อกี้ มันคือความรู้สึกอะไรกันแน่ เจ้าตัวอาจจะแค่ดีใจเฉย ๆ ก็ได้ ผมยิ้มให้เขาก่อนพูดตอบคำถามที่พี่น้ำถามค้างเอาไว้
“จริงครับ ผมลองเข้าไปในร่างพี่ดู แล้วผมก็มีความรู้สึก มันเหมือนร่างกายกำลังอ่อนเพลีย ไม่ได้เป็นเหมือนที่ผมเคยลองครั้งก่อน ๆ ถึงจะยังไม่สามารถลืมตาได้ก็เถอะ แต่ผมคิดว่าพี่น้ำใกล้จะกลับเข้าร่างได้แล้วครับ”
“ปาฏิหาริย์ชัด ๆ” พี่น้ำพูด ใบหน้าเต็มไปด้วยความสุข ผมเองก็ดีใจที่เห็นเธอเป็นแบบนี้ได้สักที
“เราต้องผ่านเรื่องนี้ไปได้แน่ครับพี่น้ำ”
พี่น้ำชวนผมดูหนังต่อในห้อง ซึ่งผมเองก็นั่งดูอยู่เป็นเพื่อนเธอ พวกเราเลือกดูซีรีย์ตลกเบาสมองเรื่องหนึ่งจนเวลาผ่านไปไม่รู้กี่ชั่วโมง ดูวันนี้จะมีคนคึก อารมณ์ดีเป็นพิเศษหลังจากผมได้บอกเล่าเรื่องนั้นออกไป ผมกับพี่น้ำหัวเราะกันไปอยู่หลายชั่วโมงกับซีรีย์ที่เราดู จนในที่สุดผมก็เห็นเจ้าตัวอ้าปากหาวขึ้นมา ผมเลยบอกเธอว่าควรนอนได้แล้วนี่คงดึกมาแล้วด้วย
“นอนได้แล้วมั้งครับ” ผมพูดออกไป
“อื้ม ง่วงจัง”
พูดจบเจ้าตัวก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงพร้อมกับหลับตาลงอย่างรวดเร็ว ใบหน้ายังคงเปื้อนรอยยิ้มอยู่เลย ผมตั้งสมาธิก่อนใช้พลังดึงผ้าห่มที่กองอยู่ที่ปลายเท้าเจ้าตัวมาห่มให้ ผมเองก็ว่าจะออกไปงีบที่โซฟาด้านนอกเหมือนกัน เห็นใบหน้าที่หลับไปพร้อมรอยยิ้มแบบนั้นก็ได้แต่ยิ้มตาม
คืนนี้ ... คงมีคนนอนหลับฝันดีถึงสองคน
และแล้วในที่สุด วันที่พวกเรานัดหมายกันจะไปลักพาร่างพี่น้ำออกมาจากโรงพยาบาลก็มาถึงจนได้ รถยนต์ของไอ้คีย์มาจอดอยู่ที่ที่จอดรถของโรงพยาบาลที่เป็นสถานที่พักฟื้นร่างของพี่น้ำ ตอนนี้คนที่นั่งอยู่ในรถมีด้วยกันทั้งหมดสามคนกับหนึ่งวิญญาณ มีผม ไอ้คีย์ ไอ้ชา และพี่เต้ พี่เต้เป็นพี่ชายของพี่ฟองที่ตอนนี้เรียนจบเป็นหมอเรียบร้อยแล้ว ไอ้คีย์ไปขอความช่วยเหลือจากพี่เต้เพื่อมาช่วยเหลือเผื่อมีอะไรฉุกเฉินกับร่างพี่น้ำขึ้นมาระหว่างที่พวกเราพาร่างของเธอย้ายไปที่อื่น ส่วนพี่น้ำที่อยู่ในร่างของผม พวกเราบอกให้อยู่ที่คอนโดแม้ว่าจะอยากมาช่วยแค่ไหนก็ตาม พวกเราไม่อยากให้มีคนเข้าไปเยอะมาก ยิ่งคนเยอะทุกอย่างจะยิ่งยากและน่าสงสัยมายิ่งขึ้น แผนการทุกอย่างจะวุ่นวายเข้าไปอีก
“ไอ้คีย์ พวกมึงแน่ใจแล้วนะว่าจะทำแบบนี้” พี่เต้ถามขึ้นมาระหว่างเดินลงออกมาจากรถ
“ครับพี่ เกิดอะไรขึ้นพวกผมรับผิดชอบเอง พี่แค่คอยดูอาการคนไข้เผื่อมีอะไรฉุกเฉินเวลาเราพาคนไข้ไปที่อื่น โอเคนะครับพี่” ไอ้คีย์พูด
“โอเค ๆ”
พวกเราเดินลงจากรถกันครบทุกคนก่อนเดินไปหาพี่เองในจุดที่นัดไว้ก่อนเข้าไปในโรงพยาบาล วันนี้พี่เอกมีหน้าตาที่เครียด ๆ ยังไงไม่รู้ ผมก็บอกไม่ถูก สงสัยคงจะเป็นเพราะสิ่งที่พวกเรากำลังจะทำกันในวันนี้กระมัง เจ้าตัวเมื่อเห็นพวกผมก็เดินมาสมทบก่อนยื่นถุงที่ภายในใส่ชุดบุคลากรในโรงพยาบาลส่งมาให้ แผนการของพวกเราก็ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนมากมาย แค่ปลอมเป็นเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลแล้วพาร่างพี่น้ำออกมาให้ได้
ตลกดี ... ไม่ต่างอะไรจากในละครเลย
“พี่เอกเป็นอะไรหรือเปล่าครับ หน้าตาดูเครียด ๆ พวกเราต้องทำสำเร็จครับพี่ คิดในแง่ดีไว้” ผมพูดทักพี่เอกออกไป
“พี่โอเค ๆ แค่มีเรื่องกวนใจนิดหน่อยน่ะ” พี่เอกตอบผมกลับมา
“เรื่องกล้องวงจรปิด พี่ให้คนของพี่จัดการให้แล้ว แค่เราเข้าไปในช่วงเวลาที่กำหนด” พี่เอกพูดต่อ
“สำหรับบอดี้การ์ดที่อยู่หน้าห้องพี่น้ำ เดี๋ยวผมจะจัดการให้มันวิ่งหนีป่าราบไปเอง” ผมพูดออกไปตามแผนที่ได้ตกลงกันเอาไว้
“โอเค ส่วนพยาบาลที่อยู่แผนกต้อนรับ ชาก็ช่วยเบี่ยงเบนความสนใจจนกว่าพี่กับเต้ แล้วก็คีย์เราจะเข้าไปเอาร่างของน้ำออกมาได้จนสำเร็จนะ”
“ได้ครับผม” ไอ้ชาตอบ
สรุปแผนตอนนี้ก็คือ พี่เต้กับพี่เอกจะทำตัวเป็นหมอและบุรุษพยาบาลเข้าไปขนย้ายผู้ป่วยอย่างพี่น้ำโดยมีไอ้คีย์เป็นคนช่วยดูลาดเลา ส่วนไอ้ชาทำหน้าที่เป็นตัวล่อ เบี่ยงเบนความสนใจกับพยาบาลที่อยู่ที่ชั้นนั้น ส่วนผมจะทำหน้าที่จัดการกับไอ้สองบอดี้การ์ดที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องพี่น้ำเอง
“พร้อมนะ” พี่เอกถามขึ้นมา
พวกเราพยักหน้าก่อนจะเดินเข้าไปในโรงพยาบาล หวังว่าแผนการลักพาร่างครั้งนี้จะสำเร็จไปได้ด้วยดี
ปูนเดินออกมาจากห้องเรียนในช่วงบ่ายด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไรนัก วันนี้ทั้งวันเขาหงุดหงิดเหลือเกิน เพราะอะไรน่ะหรอ ก็เพราะเห็นสเตตัสที่ตั้งขึ้นมาในเฟสบุ๊กของกี้ที่เป็นแฟนของเขาน่ะสิ
ใช่ ... ตอนนี้กี้กลายเป็นแฟนเขาไปแล้วหลังจากเขาขอคบเจ้าตัวหลังจากสอบกลางภาคเสร็จเมื่อไม่นานมานี้
ชีวิตก็แฮปปี้ดีจนกระทั่งเมื่อเช้า ... ทั้งที่อยากจะถามใจจะขาดว่าคนที่เจ้าตัวตั้งสเตตัสว่าคิดถึงพร้อมรูปถ่ายเป็นใคร แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากออกไปถาม จนตอนนี้เวลาล่วงเลยมาจนเลิกเรียนในช่วงบ่าย แล้วเขาก็อดทนเก็บความสงสัยบวกกับความหึงนั้นไม่ได้อีกต่อไป หลังจากเลิกเรียนปูนก็พากี้แยกออกมาจากกลุ่มเพื่อนเพื่อพาไปคุยกันที่ร้านกาแฟแถวมหาวิทยาลัย
“เป็นไรปูน เมนส์ไม่มาหรอ ทำหน้าบูดทั้งวันเลย” คนตัวเล็กพูดขึ้นมากับเขาแบบขำ ๆ พร้อมกับก้มลงดูดนมคาราเมลปั่นที่วางอยู่บนโต๊ะ
“ไม่ตลกกี้” ปูนตอบกลับไป ทำหน้าบูดกว่าเดิม
“โอ๋เอ๋ เป็นไรก็บอกเค้าสิ” กี้ว่า พร้อมเอื้อมมือไปจิ้มแก้มเด็กหนุ่มแฟนตัวเองเป็นเชิงหยอกล้อ
ปูนหยิบมือถือตัวเองขึ้นมาก่อนเข้าไปที่แอพพลิเคชันรูปตัวเอฟแล้วเข้าสู่ไทม์ไลน์ของกี้พร้อมโชว์มือถือของตัวเองให้กี้ได้ดู
“ผู้ชายในรูปนี้ใครหรอกี้” ปูนถามออกไป
“หืม รูปไหน”
“รูปที่กี้ตั้งสเตตัสว่าคิดถึงเมื่อเช้าไง เขาเป็นใคร” ปูนพูดต่อ พร้อมจิ้มนิ้วไปที่หน้าจอมือถือตัวเองเพื่อที่จะซูมโชว์รูปของผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่งดูเหมือนจะเป็นลูกครึ่งที่กำลังส่งยิ้มกว้างมองกลับมา บนหัวสเตตัสเขียนไว้ว่าคิดถึง
หึงโว้ย
ทันทีที่ปูนพูดจบกี้ก็ยิ้มออกมาก่อนพูดขึ้น
“เคยเป็นแฟน แต่ตอนนี้กลายเป็นพี่ชายที่แสนดีไปแล้ว เขาชื่อเฮียแมท วันนี้วันเกิดเขา”
เคยเป็นแฟนงั้นหรอ ... หึ ไว้ใจไม่ได้
“แล้วตอนนี้เขาไปไหนซะล่ะ คิดถึงกันนักทำไมไม่โทรหา” ปูนพูดต่อเหมือนประชด แต่กี้ก็ไม่ได้โกรธยิ้มขำกับท่าทีของเด็กหนุ่มที่งอนเป็นผู้หญิงไปได้
“เขาอยู่บนสวรรค์”
ทันทีที่กี้พูดจบ ปูนก็นิ่งอึ้งไปแปบหนึ่งหลังจากสมองประมวลผลกับคำพูดที่กี้พูดขึ้นมาเมื่อสักครู่ อยู่บนสวรรค์งั้นหรอ ... งั้นก็หมายความว่าเขา ...
“ขอโทษนะกี้ เขาเสียแล้วหรอ” ปูนพูดออกมาเบา ๆ รู้สึกผิดเลยแฮะที่คิดอะไรกับคนตายแบบนั้นไป
“ใช่ เมื่อหลายเดือนก่อนน่ะ” กี้ตอบปูนกลับไป
“อืม เราถามอะไรตรง ๆ ได้ไหม ไม่โกรธนะ กี้ยังรักเขาอยู่ไหมอะ แล้วตอนนี้กี้คิดยังไงกับเรา” ปูนถามคำถามใหม่ขึ้นมา
“มันก็เหมือนที่กี้บอกตอนแรก กี้ยังรักเขาอยู่ในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง ยังคิดถึงเขา ยังรู้สึกดีกับความทรงจำที่ผ่านมา ส่วนกี้คิดยังไงกับปูน เรามากินข้าวกับปูนสองต่อสอง มาเที่ยวกับปูน มาดูหนังกับปูนแบบนี้ ปูนยังถามว่าเราคิดยังไงกับปูนอยู่อีกหรอ ถ้าเราไม่ได้ชอบปูน เราจะยอมคบกับปูนเป็นแฟนได้ไง” กี้พูดออกมายาวเหยียดมองหน้าผู้ชายตรงหน้าจนเจ้าตัวก้มหน้าลงมองแก้วกาแฟของตัวเอง
“ก็ ... แค่อยากแน่ใจ”
“ปูนอาจจะไม่เชื่อนะ แต่ก่อนพี่แมทจะจากไป เขามาหาเรา มาคุยกับเรา ปูนรู้ไหมเขาบอกเราว่าไง” กี้พูดยิ้ม ๆ พลางนึกถึงเรื่องที่ผ่านมา
“เขาว่าไงหรอ”
“พี่แมทบอกว่า ชีวิตของคนเรามันเต็มไปด้วยเรื่องที่ไม่แน่นอน อยากทำอะไรก็ทำเถอะ ไม่ต้องยึดติดกับพี่มาก ถ้าเจอคนที่ใช่ก็อย่าปิดกั้นโอกาสตัวเอง”
ปูนฟังเงียบ ๆ ไม่ได้พูดขัดอะไรก่อนกี้จะพูดขึ้นมาต่อ
“เราเคยชอบพี่เขาอยู่หลายปี สมัยเรียนมัธยม ตอนนั้นเขาเป็นติวเตอร์สอนพิเศษเราด้วย แต่แล้วเขาก็หายไป ปูนรู้ไหมว่ากี้รอเขา ไม่ว่าจะมีใครเข้ามาในชีวิตกี้ก็รอเขาจนเขากลับมา แม้เฮียอิฐพี่ชายปูนมาจีบกี้ กี้ก็หลอกตัวเองว่าเขาคิดกับกี้แค่น้องสาว แต่วันนี้ พี่แมทเขาไม่สามารถกลับมาหากี้ได้แล้ว กี้รอยังไงมันก็เป็นไปไม่ได้”
“ดังนั้น ชีวิตคนเรามันก็ต้อง move on จริงไหม”
ปูนพนักหน้าให้กี้อย่างเข้าใจ แต่เมื่อกี้เขาสะดุดประโยคประโยคหนึ่งที่กี้พูด
“ปูนเข้าใจ แต่เดี๋ยวนะ ! นี่พี่อิฐเคยจีบกี้ด้วยหรอ” ปูนร้องถามออกไป กี้ขำออกมากับท่าทีของเจ้าตัวก่อนพูดประโยคถัดมา
“อื้ม แค่ช่วงสั้น ๆ น่ะ ตลกดีเหมือนกัน กี้ก็ตีมึนอยู่ได้ตอนนั้น ว่าเขาเห็นกี้เป็นแค่น้องเพื่อน”
“พี่อิฐไม่เห็นเคยเล่าให้ปูนฟังเลย” ปูนพูดต่อพยายามนึกถึงตอนที่พี่ชายตัวเองจีบกี้
“ก็มันไม่เห็นจะสำคัญนี่ ตอนนี้ในหัวเฮียอิฐคงมีแต่เรื่องพี่น้ำ”
ปูนนิ่งไปสักพักก่อนถอนหายใจออกมาเมื่อนึกถึงเรื่องวุ่นวายของพี่ชายตัวเองที่ตอนนี้ยังคงเป็นวิญญาณอยู่นอกร่าง
“ปูนก็อยากให้เรื่องวุ่น ๆ ของพวกเขาผ่านไปเร็ว ๆ จัง”
“นั่นสิ”
ทั้งคู่นั่งดื่มกาแฟกันไปเรื่อย ๆ ก็ได้แต่หวังว่าเรื่องร้าย ๆ ของรุ่นพี่พวกเขาจะหมดไปสักที ...