เรื่องสยองที่ 21 : เผยธาตุแท้
การสอบกลางภาคได้ผ่านพ้นไปแล้ว
ถึงแม้ผมจะไม่ได้อยู่ในร่างของตัวเอง แต่ก็เข้าไปนั่งอยู่ข้าง ๆ พี่น้ำตลอดช่วงเวลาการสอบที่ผ่านมา ตอนนี้ผมสามารถสัมผัสตัวมนุษย์และสิ่งของได้แล้วเมื่อใช้สมาธิมาก ๆ เวลาทำข้อสอบก็แค่เข้าไปกระซิบบอกพี่น้ำว่าจะตอบข้อไหนในกรณีที่เป็นข้อสอบแบบปรนัย แต่หากเป็นข้อสอบแบบอัตนัย ผมก็จะจับปากกาเขียนเองโดยมีมือของพี่น้ำลากตามเป็นระยะ เพื่อที่อาจารย์คุมสอบมองมาจะได้ไม่ตกใจเมื่อเห็นปากกามันขีดเขียนเองได้
ไอ้คีย์บอกผมว่าตัวผมเหมือนวิญญาณที่มีความอาฆาตมากขึ้นทุกวัน เพราะวิญญาณที่มีจิตตั้งมั่นมาก ๆ จะสามารถสัมผัสและทำร้ายมนุษย์ได้ ยิ่งอยู่นานขึ้นความสามารถในการทำอะไรหลายสิ่งหลายอย่างของผมก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
หลังจากออกจากห้องสอบพี่น้ำก็บ่นผมใหญ่เลยว่าข้อนู้นก็ผิดข้อนี้ก็ผิด สอนไม่เคยจำ ถึงพี่น้ำจะคอยติวคอยช่วยทบทวนให้ผมก่อนสอบ แต่พอถึงเวลาสอบจริง ๆ พี่น้ำแทบจะไม่ปริปากพูดอะไรออกมาเลย ทำตามที่ผมบอกทุกอย่าง บอกให้ฝนรหัสข้อนี้เธอก็ฝน ผมคิดเลขผิดตอนสอบแคลคูลัสเธอก็ไม่พูด จนออกมาจากห้องสอบนี่แหละ บ่นออกมาเต็มที่เลย
ผมเองก็ไม่ได้ว่าอะไรเธอ ผมคิดว่ามันดีอยู่แล้วที่การทำข้อสอบครั้งนี้เป็นความสามารถของผมจริง ๆ ไม่ได้ให้คนอื่นช่วย
“พี่บอกเลย วิชานี้ได้มากสุดก็แค่ B+” พี่น้ำพูดบ่นออกมา หันมามองหน้าผมเป็นเชิงดุ
ตอนนี้ผม ไอ้คีย์ ไอ้ชาและใยไหมเดินออกมาจากห้องสอบได้สักพักแล้ว พวกเราว่าจะไปหาร้านฉลองกัน เพราะนี่ก็เป็นเวลาเกือบหกโมงเย็นพอดีหลังจากสอบวิชาสุดท้ายเสร็จ
“โห พี่น้ำ B+ ผมก็โอเคแล้วปะ” ผมพูดออกไปพร้อมหัวเราะเบา ๆ นี่เป็นครั้งแรกด้วยมั้ง ที่ผมพยายามตั้งใจทำข้อสอบและทบทวนเนื้อหาก่อนสอบจริง ๆ จัง ๆ โดยมีพี่น้ำคอยช่วยติวให้
“ไม่ได้สิ เราจะทำอะไรต้องทำให้ดีที่สุด”
“โอเค ๆ ผมไม่เถียงละ” ผมบอกไป ตามมาด้วยเสียงหัวเราะของเพื่อน ๆ
“พวกมึงเอาไงต่อ จะไปไหนกันวะ” ผมถามพวกเพื่อน ๆ ต่อ
“ไปฉลองสอบเสร็จ ถล่มร้านไอ้ชากัน” ไอ้คีย์เป็นคนพูดออกมา
“ร้านกูอีกละ เฮ้อ พวกมึงไปนี่เหมือนร้านกูขาดทุนตลอด แต่น่าจะขาดทุนน้อยลงเพราะไอ้อิฐกลายเป็นวิญญาณไปละ ฮ่าฮ่า” ไอ้ชาพูดออกมาขำ ๆ
เดี๋ยวจะได้รู้กันไอ้ชา ว่าพี่น้ำที่อยู่ในร่างของผมกินจุขนาดไหน ๆ หึ ๆ ...
พวกเรามาถึงร้านของชาบูประมาณเกือบหนึ่งทุ่ม คนเยอะพอสมควรเลยถึงแม้จะโทรมาจองคิวไว้ล่วงหน้าแล้วก็เถอะ แต่ยังไงก็ต้องได้นั่งรออยู่ดี นั่งรอกันสักพักก็ถึงคิวของพวกเราที่ได้เข้าไปภายในร้าน เวลาพวกมันมากินบุฟเฟต์แบบนี้ทีไรผมก็ได้แต่อิจฉา ถึงแม้ว่าไอ้คีย์จะใช้พลังยมทูตของมันทำให้ผมทานอาหารได้ก็เถอะ แต่มันต้องเสียเวลาหลายขั้นหลายตอน หนึ่งในนั้นคือการที่ผมไม่สามารถตักหมูชาบูลงหม้อและคีบขึ้นมากินได้เองโดยตรง
เวลาจะทานต้องให้ไอ้คีย์ช่วยตักหมูลงในถ้วยแล้วพูดอะไรสักอย่าง ผมถึงจะทานได้ เพราะถ้าทำเองก็กลัวคนในร้านเห็นตะเกียบคีบหมูลอยไปลอยมา คนวิ่งหนีออกกันทั้งร้านจนร้านพ่อแม่ไอ้ชาได้เจ๊งกันพอดี
พวกเรานั่งทานกันไปคุยกันไปสักพักก็เจอกลุ่มคนที่เข้ามาใหม่สี่คน ซึ่งนั่งห่างออกไปจากโต๊ะของเราออกมามากไม่เท่าไร เป็นกี้ ปูน มิ้งค์ และก็ผู้ชายใส่แว่นอีกคนผมคิดว่าน่าจะเป็นเพื่อนของไอ้ปูน
“อ้าว พวกเฮียมาฉลองสอบเสร็จกันหรอ” กี้เป็นคนทักพวกเรามาก่อน เจ้าตัวกับพวกเพื่อน ๆ เดินมาทักทายสวัสดีพวกเราที่เป็นรุ่นพี่
“ใช่ สด ๆ ร้อน ๆ เลยกี้ วันนี้วันสุดท้ายน่ะ” ใยไหมตอบกี้กลับไปพร้อมกับส่งยิ้มให้
“ไอ้ปูน เมื่อกี้มึงแอบจับมือน้องกูหรอ” ไอ้ชาเป็นคนพูดต่อ หันหน้าไปมองไอ้ปูนแบบไม่พอใจ เล่นใหญ่อีกแล้วเพื่อนผม ไอ้ชานี่ก็เหลือเกิน หวงไม่เลิก ผมแทบอยากเข้าไปตบกบาลมัน แล้วดูไอ้ปูนทำหน้า ไอ้ไก่อ่อนเอ๊ย เจอไอ้ชาพูดใส่หน้าทีเดียวหน้าซีดเป็นไก่ต้มเลย
“ฮะ ! เปล่านะเฮีย” ปูนพูดออกมาพร้อมโบกไม้โบกมือ มีกี้ยืนเท้าเอวมองหน้าพี่ชายตัวเองแบบเมื่อไรจะเลิกเล่นบทพี่ชายหวงน้องสาวสักที
“ใครเฮียมึง เรียกพี่ชา” ไอ้ชาพูดต่อ เก๊กหน้าเข้ม
“ครับ ๆ พี่ชา”
“เลิกแกล้งน้องกู สัสชา” ผมหันไปพูดกับมันพร้อมตบกบาลมันไปหนึ่งทีจนร้องโอดโอยออกมา ข้อหาเล่นไม่เลิกสักทีไม่รู้จะอินไปถึงไหน
บอกแล้วไง ตอนนี้ผมสัมผัสตัวมนุษย์ได้แล้ว ...
“กูล้อเล่นไอ้ปูน แหม หน้าซีดเป็นไก่ต้มไม่เหมือนไอ้พี่ชายมึงเลย พี่มึงนี่ใจร้อนอย่างห้าว” พูดจบมันก็หันมองหน้าผมเหมือนอยากจะมีเรื่องด้วย
“พอเลยเฮีย เล่นไรก็ไม่รู้ นี่เพื่อนกี้อีกคนชื่อเมฆ” กี้พูดต่อพร้อมกับแนะนำเพื่อนอีกคนให้กับพวกเรารู้จัก คนถูกแนะนำส่งยิ้มให้พวกเราน้อย ๆ ก่อนแนะนำตัวเองออกมา
“สวัสดีครับ ผมเมฆนะครับเพื่อนสนิทไอ้ปูน” เมฆพูด
พวกเราไม่ได้คุยอะไรกันต่อ ปล่อยให้พวกน้อง ๆ เดินแยกไปนั่งอีกโต๊ะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคนจะเดินออกไปพี่น้ำก็ส่งเสียงทักมิ้งค์ไปก่อน ทำให้มิ้งค์หยุดเดินหันมามอง นั่นทำให้ผมประหลาดใจพอสมควร เพราะเท่าที่ผมรู้ พี่น้ำดูอคติกับมิ้งค์จะตาย เหมือนอย่างตอนที่เจอหน้ามิ้งค์ในงานศพพ่อตัวเองครั้งล่าสุด พี่น้ำแทบจะเก็บอาการไม่อยู่
“เดี๋ยวครับ มิ้งค์” พี่น้ำพูดออกไป
“คะ ?” มิ้งค์พูดพร้อมกับหันมามองพี่น้ำที่อยู่ในร่างของผมอย่างงง ๆ
“เรื่องพ่อของเรา เป็นยังไงบ้าง เราดีขึ้นหรือยัง” พี่น้ำถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแปลก ๆ จะดูเป็นห่วงก็ไม่ใช่ จะดูถามเป็นมารยาทก็ไม่เชิง มิ้งค์ทำหน้าไม่ถูก ดูไม่เข้าใจเหมือนกันว่ารุ่นพี่ที่ชื่ออิฐมาถามเธอเรื่องพ่อทำไมทั้งที่ไม่ได้สนิทอะไรกันมากแท้ ๆ แต่เจ้าตัวก็ตอบกลับมา
“มิ้งค์โอเคแล้วค่ะ มิ้งค์เข้าใจว่าพ่อไปสบายแล้ว มิ้งค์ไม่อยากให้พ่อเป็นห่วงมิ้งค์อีก แต่คนที่คุณพ่อห่วงน่าจะเป็นพี่น้ำพี่สาวของมิ้งค์มากกว่า มิ้งค์เองก็อยากให้เขาฟื้นขึ้นมาสักที”
พี่น้ำดูอึ้งไปสักพัก เจ้าตัวคงไม่เคยรู้เหมือนกันว่าน้องสาวต่างมารดาคิดยังไงกับตัวเอง แต่ผมก็คิดว่านี่เป็นการเริ่มต้นที่ดีนะ พ่อพี่น้ำคงจะพูดอะไรกับพี่น้ำสักอย่างในวันนั้น ทำให้พี่น้ำเริ่มเปิดใจพูดคุยกับน้องสาวของตัวเองแบบนี้
“พี่ก็หวังไว้อย่างงั้น” พี่น้ำพูดพร้อมกับส่งยิ้มน้อย ๆ ให้กับมิ้งค์
“ขอบคุณค่ะพี่อิฐ”
พูดจบมิ้งค์ก็เดินไปรวมกลุ่มกับเพื่อน ๆ ผมหันมองหน้าพี่น้ำก่อนพูดกับเขา
“ผมดีใจนะครับที่พี่น้ำยอมเปิดใจคุยกับมิ้งค์ คนเราไม่ได้เหมือนกันทุกคน มันไม่จำเป็นว่าแม่เลว ลูกต้องเลว”
“ย่ะ” พี่น้ำตอบผมกลับมาแบบประชด ๆ ก่อนกลับไปสนใจกับหม้อชาบูตรงหน้าต่อ
เชื่อเถอะ ... ถ้าผมเข้าร่างตัวเองได้เมื่อไร ต้องได้ออกกำลังกายชุดใหญ่แน่ ๆ
รถของเอกหยุดจอดลงที่ลานจอดรถหน้าบ้านหลังใหญ่ของสุจิตราซึ่งแท้จริงแล้วเป็นบ้านของสามีที่เสียชีวิตไปนั่นแหละ เขาเดินลงมาจากรถเพื่อเข้าไปคุยเรื่องขอนำร่างของแฟนสาวตัวเองไปทำการรักษาที่โรงพยาบาลอื่นให้รอดพ้นสายตาของแม่เลี้ยงคนนี้ ยังไงตามกฎหมายเขาก็เป็นคนนอก ไม่มีสิทธิทำเรื่องแบบนี้ เรื่องของน้ำเป็นสิ่งที่เขาทำใจให้เชื่อได้ยากมาก แต่ทุกอย่างมันก็เกิดขึ้นไปแล้ว และตอนนี้เขายอมรับกับมันได้ สิ่งที่เขาเห็นในวันนั้นคือเรื่องจริง ร่างของแฟนเขาอยู่ในร่างของรุ่นน้องผู้ชายคนหนึ่ง คนที่เขาดูออกว่าเจ้าตัวคิดยังไงกับแฟนของเขา เขาไม่อยากเสียน้ำไป ไม่ว่ายังไงเขาก็ยังรักน้ำอยู่ ไม่มีทางปล่อยให้น้ำตกอยู่ในอันตรายแน่ เขาจะยอมทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยน้ำ แม้ว่าเรื่องที่เขาเคยทำในอดีตมันจะทำให้เธอเสียใจมากแค่ไหนก็ตาม เขาอยากชดใช้ให้เธอ ยังไงเขาก็ต้องช่วยน้ำให้หนีไปจากแม่มดชั่วตัวนี้ให้ได้
“สวัสดีครับคุณน้า สวัสดีครับพี่ปกรณ์” เอกทักออกไป มองคนสองคนที่นั่งคุยกันอยู่ในห้องนั่งเล่นของบ้าน เรื่องที่เขารับรู้มาทำให้รู้สึกขยะแขยงสองคนนี้เหลือเกิน คนหนึ่งก็เลวจนฆ่าได้แม้กระทั่งสามีตัวเอง ส่วนอีกคนเลวยิ่งกว่าที่ไปเป็นชู้กับผู้มีพระคุณของตัวเอง แต่เอกก็ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกไปมาก
เสียดายมือที่เคยยกขึ้นไหว้ ...
“สวัสดีเอก มีธุระอะไรหรือเปล่า มาหาน้าถึงบ้าน พอดีน้าคุยเรื่องงานกับปกรณ์อยู่น่ะ” สุจิตราพูด
“ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณน้าครับ เรื่องน้ำ”
สุจิตราทำหน้าประหลาดใจนิดหน่อย พร้อมหันไปมองปกรณ์ที่นั่งอยู่ไม่ห่าง
“นั่งลงก่อนสิแล้วค่อยคุณกัน” สุจิตราพูดต่อพร้อมเชิญเขาให้นั่งลง
“ขอบคุณครับ” เอกตอบพร้อมกับนั่งลงที่เก้าอี้โซฟาหรูตรงข้ามกับสุจิตรา
“ผมไม่อ้อมค้อมนะครับ ผมมีเพื่อนที่เป็นหมอที่เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทและสมอง เขาเรียนจบจากต่างประเทศและเชี่ยวชาญเรื่องนี้มาก ผมอยากย้ายร่างของน้ำจากโรงพยาบาลเดิมไปโรงพยาบาลที่เพื่อนผมเป็นหมออยู่นะครับ เพื่อที่จะได้สะดวกต่อการรักษา”
นอกจากต้องทำให้ร่างของน้ำอยู่ให้ไกลหูไกลตาสุจิตราแล้ว นี่นับเป็นอีกทางที่เขาจะช่วยรักษาอาการของน้ำได้ เขาเองก็เพิ่งติดต่อกับเพื่อนที่ไม่ได้ติดต่อกันนานเพื่อคุยเรื่องนี้ เขาทราบมาว่าเพื่อนของเขาย้ายกลับมาทำงานที่ไทย ซึ่งนั่นเป็นการดีเพราะว่าเขาไม่สามารถเอาร่างของน้ำไปรักษาที่ต่างประเทศได้เหมือนที่คิดเอาไว้ตั้งแต่ต้น เนื่องจากเหตุผลที่น้ำบอกว่าต้องใช้ชีวิตประจำวันให้กับรุ่นน้องคนนั้น แถมทั้งร่างและวิญญาณต้องอยู่ที่นี่
สุจิตรานั่งฟังนิ่ง ๆ จนเอกพูดจบ ไม่นานริมฝีปากสีแดงก็เริ่มพูดออกมาหลังจากไตร่ตรองคำพูดของเอกสักพัก
“เอกคิดว่าอาการของน้ำรักษาได้จริง ๆ หรอจ๊ะ น้าก็ไม่ได้จะอะไรหรอกนะ แต่ตอนนี้น้าถือเป็นผู้ดูแลของน้ำแทนพ่อของเธอ น้ำนอนไม่ได้สติอยู่ที่โรงพยาบาลมาเกือบจะสองเดือนแล้ว น้าคิดว่าเราคงจะไม่มีความหวังแล้วล่ะสำหรับเรื่องนี้ เอกทำใจเสียเถอะ”
สิ่งที่สุจิตราพูดออกมาทำให้เขากำหมัดแน่น พูดออกมาแบบนี้ได้ไง เขายังจำตอนที่เขาไปเจอสุจิตราอยู่ในห้องคนป่วยกับน้ำบีบน้ำตาร้องไห้ออกมาได้อยู่เลย ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงมีหน้ากากได้มากมายขนาดนี้
“คุณน้าพูดแบบนี้ได้ยังไงครับ ! ยังไงเราก็ต้องทำทุกอย่างให้น้ำฟื้นขึ้นมานะครับ” เอกพูดด้วยความหงุดหงิดจนเผลอส่งเสียงดังจนกลายเป็นตะคอกออกมา จากที่เคยคิดว่าเก็บความรู้สึกไว้ได้ พอได้ยินสิ่งที่คนตรงหน้าพูดก็ทนไม่ไหว
“แต่น้าคิดว่าปล่อยไว้แบบนี้ดีแล้วนะเอก ตอนนี้ค่าใช้จ่ายในการดูแลน้ำหมดไปเยอะจนน้าไม่รู้จะทำยังไงแล้ว ไหนจะงานที่บริษัทที่กำลังมีปัญหาทางการเงินอีกหลายอย่างหลังจากพ่อน้ำเสีย”
“คุณน้าไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายของน้ำ ผมยินดีจะจ่ายทุกบาททุกสตางค์เป็นค่ารักษาพยาบาลให้น้ำเอง” เอกพูดต่อ
สุจิตรานิ่งไปเงยหน้ามองเอกตรง ๆ สายตาที่มองดูเปลี่ยนไปจนน่ากลัว
“เอกฟังน้าให้ดีนะ น้าจะพูดครั้งเดียวและครั้งสุดท้าย น้ำจะไม่ถูกย้ายไปไหนทั้งนั้น ไม่ว่าเอกจะต้องการหรือไม่ก็ตาม”
เอกกำหมัดแน่น เขาควรจะเชื่อน้ำตั้งแต่ทีแรกว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนยังไง ไม่น่าคิดว่าเธออคติกับแม่เลี้ยงตัวเองเลย
“บางทีผมก็ชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วนะครับ ว่าน้าอยากให้น้ำพื้นขึ้นมาหรือเปล่า หรือแค่ต้องการเก็บน้ำไว้ใกล้ตัวแล้วรอให้น้ำตาย”
“มันจะมากไปแล้วนะเอก กลับไปสงบสติอารมณ์ก่อนไหม พี่ว่าเราหงุดหงิดเกินไปแล้วที่พูดกับคุณสุจิตราแบบนี้” เสียงที่สามดังแทรกขึ้นมาจากปากของปกรณ์ ผู้ชายที่นั่งฟังบทสนทนาของทั้งคู่มานาน
“โอเคครับพี่ปกรณ์ ผมกลับก็ได้” เอกพูดก่อนเดินออกมาจากบ้านคนเลวสองคนนั่นอย่างอารมณ์เสีย เขารู้อยู่แล้วว่ามันจะไม่ง่าย ...
ก็แค่อยากมาดูว่าควรจะรับมือกับคนพวกนี้ยังไงก็เท่านั้นเอง