เรื่องสยองที่ 13 : สังขยาสีชมพู
ผมกับไอ้คีย์กลับมายังคอนโดหลังจากพยาบาลเข้ามาดูแลร่างของพี่น้ำต่อ
พวกเรามั่นใจว่าแม่เลี้ยงของพี่น้ำคงจะไม่กลับเข้ามาทำร้ายพี่น้ำเป็นครั้งที่สองอีกแน่ในวันนี้ ถึงตอนนี้จะวางใจได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ได้แค่แปบเดียว เพราะผมคิดว่าเรื่องคงยังไม่จบแค่นี้แน่ มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างพี่น้ำกับครอบครัวกัน ถึงขนาดต้องฆ่ากันให้ตายไปข้าง ตอนนี้ร่างของพี่น้ำกำลังตกอยู่ในอันตราย ถ้าไม่รีบหาทางช่วยล่ะก็ สักวันแม่เลี้ยงพี่น้ำต้องเข้าไปทำร้ายพี่น้ำอีกแน่ พวกเราคงต้องคุยเรื่องนี้กันอย่างจริงจังกับพี่น้ำหลังจากเจ้าตัวฟื้นขึ้นมา
ผมรู้สึกเจ็บบริเวณแผลที่ถูกแม่เลี้ยงพี่น้ำตวัดมีดใส่ มันเหมือนกับว่าผมมีเนื้อหนังจริง ๆ บริเวณหัวไหล่ของผมยังคงมีไอสีขาวไหลออกมาเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่องไม่หยุด ถ้าจะให้ผมเทียบมันก็คงเป็นอะไรที่คล้ายกับเลือดล่ะมั้ง เมื่อวิญญาณโดนทำร้าย ตอนนี้ผมทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้นอย่างหมดแรงกลางห้อง
“กูหมดแรงจังวะ มันรู้สึกแปลก ๆ ยังไงไม่รู้” ผมบอกไอ้คีย์เสียงเบา และพอก้มลงมองร่างวิญญาณของตัวเองในตอนนี้ มันก็จางจนแทบจะมองไม่เห็น เหมือนกับว่าตัวเองจะหายไปอย่างไงอย่างงั้น
“ไอวิญญาณหายไปขนาดนี้ ปล่อยไว้ไม่ดีแน่”
ผมได้ยินไอ้คีย์พึมพำอะไรบางอย่างก่อนกลับเข้าไปในร่างของมัน ไอ้ชาเองเมื่อสังเกตเห็นว่าทั้งผมและไอ้คีย์กลับมาแล้วก็รีบลุกจากโซฟาเดินมาดูพร้อมถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพี่น้ำว่าทำไมเจ้าตัวถึงเป็นแบบนั้นไป
“ไอ้อิฐ ! มึงโดนทำร้ายมาหรอวะ” ไอ้ชาพูดขึ้นมาเมื่อสังเกตเห็นผมมีไอสีขาวไหลออกมาจากไหล่ข้างขวา
“คงงั้น พี่น้ำเป็นไงบ้างวะ”
“ยังไม่ฟื้นอะ แต่เขาดูดีขึ้นแล้ว หน้าตาไม่ซีดเซียว เหมือนร่างของมึงแค่หลับไปเฉย ๆ”
ผมพยักหน้ารับอย่างเบาใจ ผมคิดถูกแล้วที่ไม่ขอร่างตัวเองคืนตั้งแต่แรก เพราะแค่คิดว่าถ้าพี่น้ำต้องไปเผชิญหน้าในสภาพวิญญาณกับแม่เลี้ยงตัวเองแบบในวันนี้ พี่น้ำคงจะลำบาก ไอ้คีย์เอามือของมันมาแตะที่ไหล่ผมที่บริเวณที่มีไอสีขาวไหลออกมา ผมค่อย ๆ เริ่มรู้สึกดีขึ้นทีละนิดจากพลังของไอ้คีย์ ไม่ถึงนาทีร่างวิญญาณของผมก็หายเป็นปกติเหมือนเดิม
“ขอบใจมึงมากเว้ยคีย์ ถ้าไม่มีมึงกูคงแย่”
“ไม่เป็นไร ส่วนเรื่องแม่เลี้ยงพี่น้ำ กูว่ามึงกับพี่น้ำต้องระวังตัวเอาไว้ให้มาก ๆ นี่ขนาดเขาไม่ได้มีของอะไรติดไม้ติดมือมาด้วย ยังสามารถทำอันตรายมึงได้ขนาดนี้ กูว่าเขาไม่ธรรมดาเลย”
“กูเข้าใจ ต่อไปนี้กูจะเข้าไปหาร่างพี่น้ำที่โรงพยาบาลให้ถี่ขึ้น และตอนกลางคืนกูจะไปเฝ้าร่างเขาที่โรงพยาบาล” ผมบอกไอ้คีย์ไป
ผมมองไปยังร่างของตัวเองที่มีวิญญาณของพี่น้ำอยู่ภายในกำลังนอนหลับตาสนิทหายใจเป็นจังหวะอยู่ที่โซฟา
ไม่ต้องกลัวนะครับ ยังไงผมก็จะคอยอยู่ช่วยพี่ไม่ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้นก็ตาม ...
ร่างของปูนกับมิ้งค์เดินลงมาจากรถรับส่งรอบมหาวิทยาลัยพร้อมกันอย่างหมดแรง เวลา ณ ตอนนี้ก็ปาไปเกือบสองทุ่มพอดี ปูนรู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยชะมัด ถ้าเขารู้ว่าการประกวดดาวเดือนจะซ้อมกันหนักหน่วงขนาดนี้ เขาไม่น่าหลวมตัวไปรับปากตกลงว่าจะเป็นตัวแทนคณะเลย ดันมัวแต่คิดว่าจะได้มีโอกาสเจอสาว ๆ ดาวต่างคณะ ที่ไหนได้ แทบจะไม่มีเวลาไปคุยกับใครเลยนอกจากซ้อมอย่างเดียว คิดได้แบบนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเซง ๆ
บรรยากาศบริเวณด้านหน้าของหอในตอนนี้ก็ยังคงคึกคักเต็มไปด้วยผู้คนอยู่ มีคนเดินผ่านไปมา เขาชักเริ่มรู้สึกหิวอีกแล้วซิ จริง ๆ ก็เพิ่งทานข้าวกล่องมื้อเย็นที่พวกรุ่นพี่จัดให้ไปเมื่อตอนหกโมงเย็นนี้เอง แต่การเดินไปเดินมาท่องบทแถมซ้อมนู่นนี่นั่นเล่นเอาเผาผลาญพลังงานที่กินไปเกือบหมด ว่าแล้วไปหาอะไรลงท้องก่อนขึ้นหอจะดีกว่า
ปูนหันไปมองมิ้งค์ว่าจะชวนไปหาอะไรกินเป็นเพื่อนมื้อดึก แต่เพื่อนที่เป็นคู่ซ้อมดาวเดือนคณะที่เดินลงมาจากรถพร้อมเขากลับเดินตามหลังห่างจนไกล ทำให้เขาต้องถึงกับหันหลังกลับไปมอง เขาสงสัยมาสักพักแล้ว ว่ามิ้งค์ดูมีเรื่องไม่สบายใจอะไรสักอย่าง เพราะสองสามวันที่ผ่านมาดูไม่ร่าเริงเหมือนเคย แถมเหม่อบ่อย ๆ ด้วยเวลาซ้อมดาวเดือนคู่กัน
“สองสามวันนี้มิ้งค์ดูไม่ค่อยมีสมาธิตอนซ้อมเลย เป็นอะไรหรือเปล่า”
ปูนหมุนตัวกลับไปทัก ก้าวเท้าช้าลงเพื่อรอคนที่เดินตามมาด้านหลัง คนถูกเรียกไม่หือไม่อือจนเขาต้องทักไปอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง
“มิ้งค์ โหล ๆ ได้ยินเปล่า”
ไม่พูดเปล่าปูนเอามือโบกไปมาด้านหน้าของมิ้งค์จนเจ้าตัวรู้สึกตัว
“ฮะ ปูนเรียกเราหรอ”
“อื้ม เราถามว่ามิ้งค์ว่าเป็นอะไรหรือเปล่า ช่วงนี้ดูซึม ๆ เครียด ๆ” ปูนพูดไปอีกครั้ง
เจ้าตัวนิ่งไปแปบหนึ่งก่อนตอบเขากลับมาด้วยสีหน้าไม่ค่อยจะดี
“พอดีที่บ้านมีเรื่องนิดหน่อยน่ะ”
“อ่อ งั้นหรอ เล่าให้เราฟังได้นะถ้าอยากระบาย แต่ถ้าไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร” ปูนพูด ยังไงเขาก็เป็นเพื่อนคนหนึ่งของมิ้งค์ แถมซ้อมดาวเดือนด้วยกันมาตั้งหลายวันแล้ว อย่างน้อยก็อยากทำอะไรให้มิ้งค์สบายใจขึ้นได้บ้าง ไม่ได้คิดอะไรเกินไปกว่านี้เลย
“พ่อเราป่วย นอนอยู่โรงพยาบาลมาสี่ห้าวันแล้ว หมอก็หาสาเหตุไม่เจอว่าเป็นอะไร” มิ้งค์ตอบปูนกลับมา
“เราเสียใจด้วยนะ แต่เชื่อเถอะ เดี๋ยวพ่อมิ้งค์ก็ต้องหาย” ปูนพูด ชวนมิ้งค์คุยไปเรื่อยจนทั้งสองคนเดินมาถึงหน้าหอชายและหอหญิงที่อยู่ถัดกันออกไป
“ขอบใจนะปูนที่ชวนเราคุย ปูนจะเข้าหอเลยปะ ไม่ต้องเดินไปส่งหน้าหอหญิงหรอก เราเดินไปเองได้แค่นิดเดียว” มิ้งค์พูด ซึ่งหอหญิงจะอยู่ถัดจากหอชายออกไปอีกนิดหน่อย ถ้าซ้อมเลิกดึก ๆ ปูนก็มักจะเดินไปส่งเป็นประจำ
“เอางั้นหรอ ตามใจมิ้งค์ แต่ปูนรู้สึกหิว ๆ ว่าจะเดินออกไปนอกมอ หาอะไรลองท้อง มิ้งค์จะไปด้วยกันไหม” ปูนพูดชวน เขาชวนคุยจนเพลิน ลืมไปเลยว่าตัวเองกำลังหิวอยู่เลย
“คงไม่อะปูน เราอยากพักแล้ว กินดึก ๆ ระวังจะอ้วนแล้วไม่หล่อนะ” มิ้งค์ว่าเย้า ๆ
“ฮ่าฮ่า ปูนกลัวท้องร้องกลางดึกมากกว่ากลัวอ้วน”
“นั่นกี้นี่” มิ้งค์พูดเมื่อสังเกตเห็นใครคนหนึ่งเดินตรงออกมาจากทางฝั่งของหอหญิง เจ้าตัวโบกไม้โบกมือให้เพื่อนผู้หญิงของตัวเองเมื่ออยู่ในระยะที่สามารถมองเห็นกันได้ สุกี้เองเมื่อสังเกตเห็นก็เดินเข้ามายิ้มทักทายปูนกับมิ้งค์ตามปกติ
“สวัสดีกี้ จะออกไปไหนดึก ๆ เนี่ย” มิ้งค์เป็นคนเริ่มทักก่อน
“หิวอ่า เผลอหลับไปตอนห้าโมงเย็น ตื่นขึ้นมาอีกทีก็สองทุ่มแล้ว” กี้ตอบกลับมา เหลือบตาไปมองปูนที่ยืนส่งยิ้มแป้นให้เธอจนปากแทบจะฉีกถึงรูหู
หมอนี่ตลกดีแฮะ คิดอะไรยังไงก็แสดงสีหน้าออกมาแบบไม่ปิดบังเลย เป็นคนที่อ่านง่ายมาก ... ตั้งแต่วันแรกที่เจอตอนฝนตกละ น่าแกล้งชะมัด
“นี่เพิ่งซ้อมดาวเดือนกันเสร็จหรอ”
“ใช่ เหนื่อยชะมัด หิวด้วย” ปูนพูดยิ้ม ๆ พลางตบพุงตัวเองแปะ ๆ เป็นท่าประกอบโชว์
“งั้นเดี๋ยวเราไปหาไรกินก่อน ไว้เจอกันนะ ปูน มิ้งค์” กี้ว่า ก่อนหันหลังเดินทำท่าจะไปอีกทาง เล่นเอาปูนหางลู่ หูตกทันที นี่นึกว่าจะชวนไปกินข้าวด้วยกันสักนิดก็ไม่ได้ ขนาดเขาบอกไปว่าหิวอยู่แท้ ๆ
แต่แล้วปูนก็ต้องทำหน้าดีใจอีกครั้งเมื่อกี้หันกลับมาหาเขาก่อนพูดอะไรออกมา
“เออปูน นิยายวายที่เราให้ปูนยืม เราต้องเอาไปคืนที่ร้านพรุ่งนี้แล้วอะ ยังไงพรุ่งนี้ตอนเรียนปูนเอาติดมาคืนเราด้วยนะ”
จึก ...
นิ่งจนเขาทำอะไรไม่ถูก ที่สำคัญมิ้งค์ก็ยืนอยู่ข้าง ๆ
พูดจบ คนปาระเบิดก็รีบหันหลังกลับ เดินห่างออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับใบหน้ากลั้นหัวเราะของตัวเองที่ได้แกล้งเด็กหนุ่มผู้ไร้เดียงสารู้สึกยังไงก็แสดงสีหน้าออกมาอย่างงั้น ปูนยืนค้างอยู่แบบนั้นทำอะไรไม่ถูก พอหันไปหามิงค์ที่มองมาด้วยสายตาประหลาดใจปนรอยยิ้มขำก็เล่นเอาเขาไปไม่เป็น
กี้แกล้งเขาอีกแล้วไง ...
“เอ่อ มิ้งค์ มันไม่ใช่แบบที่มิ้งค์คิดนะ เราไม่ใช่นะ ...”
“มิ้งค์เข้าใจน่า ขอตัวขึ้นห้องก่อนนะ” มิ้งค์พูดยิ้ม ๆ เอามือตบไหล่ปูนแปะ ๆ ก่อนเดินเข้าหอหญิงไป
พอมิ้งค์เดินเข้าหอ ปูนก็รีบกวาดสายตาหาตัวต้นเหตุทันที กี้นะกี้ ทำให้คนอื่นเขาเข้าใจผิดไปสองคนแล้ว มันน่านัก เมื่อเห็นร่างเล็ก ๆ ที่กำลังเดินไปยังโรงอาหารที่อยู่ตรงข้ามหอใน ปูนก็รีบวิ่งตามไปทันที แบบนี้มันต้องมีเคลียร์ ถึงจะน่ารักแต่แกล้งเขาแบบนี้ไม่น่ารักเลยต้องถูกลงโทษ ไม่นานปูนก็วิ่งมาทันกี้ เขาแอบเห็นคนตัวเล็กหัวเราะขำอยู่ด้วย คงไม่พ้นเรื่องที่แกล้งเขาเมื่อกี้แน่นอน
“หยุดเลยกี้ พูดแบบนั้นต่อหน้าคนอื่นได้ไง เดี๋ยวมิ้งค์ก็เข้าใจปูนผิดหรอก” ปูนว่าทันทีที่ถึงตัวกี้ พร้อมกับดึงมือเจ้าตัวไว้อย่างถือวิสาสะให้หยุดรอกันก่อน
กี้หันมาเงยหน้ามองคนตัวสูงกว่าพร้อมทำหน้าไม่รู้ชี้ แต่สายตาเต็มไปด้วยประกายความขบขันกับสีหน้าของปูนในตอนนี้ ปูนเป็นคนที่เก็บอารมณ์บนหน้าไม่ได้จริง ๆ ใบหน้าตอนนี้ดูตื่น ๆ คิ้วทั้งสองข้างขมวดกันจนเกือบจะเป็นโบ ปากเหมือนจะแยกเขี้ยวใส่เธอแต่ก็ไม่ ภาพรวมใบหน้าตอนนี้เหมือนกับไซบีเรียนฮัสกี้ที่โดนแกล้งไม่มีมีผิด ตลกจนกี้หลุดขำออกมา หมดสภาพเดือนคณะที่สาว ๆ หลายคนวาดฝันเอาไว้เลยทีเดียว
“เข้าใจผิดยังไงอ่า ก็ปูนเอานิยายเราไปจริง ๆ ไม่ใช่หรอ ว่าแต่สนุกไหม ยิ่งฉากที่ ...”
“พอเลย ๆ เรายังไม่ได้อ่าน แกล้งปูนนี่สนุกจังเนอะ”
“อื้ม สนุ๊ก สนุก เวลาเห็นหน้าปูนตกใจ อึ้ง ๆ นี่โคตรตลกเลย” กี้พูดต่อพร้อมกับลอยหน้าลอยตายิ้มให้คนตัวสูงกว่า
“งั้นถ้าเราแกล้งกี้กลับบ้าง ไม่โกรธกันนะ”
“อย่างปูนอะนะ จะแกล้งอะไรเราได้”
เหมือนปูนจะตอบรับคำท้านั้นทันที คนตัวสูงกว่ายื่นหน้าลงมาหากี้จนเจ้าตัวชะงักกึก ใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของเขา
ไซบีเรียนฮัสกี้ตัวนี้จะทำให้ชิสุได้รับบทเรียน ...
ดวงตาปูนจ้องไปที่ดวงตากลมโตของกี้จนเจ้าตัวหลบตาอย่างไว กี้ได้สติก็รีบดันหน้าของเขาออกห่างอย่างรวดเร็ว พร้อมกับก้มหน้างุดเดินไปอีกทาง
ไหนใครเป็นคนบอกว่า คนอย่างเขาจะแกล้งอะไรกี้ได้ ... นี่ยังไม่ได้ทำอะไรมากเลยนะ
“กี้ ! นั่นมันทางไปห้องน้ำ ไม่มีอาหารอยู่ที่นั่นนะ มันกินไม่ได้” ปูนตะโกนเรียกขำ ๆ ไปหาอีกคนที่เดินไปอย่างไม่รู้ทิศทาง
“ไอ้บ้าปูน ! ฉันจะไปห้องน้ำต่างหาก”
พบคนแถ 1 ea
ดูท่าเขาจะสนิทกับกี้ขึ้นมาอีกระดับหนึ่งแล้ว ...
“ปูนว่าเดินออกไปกินข้างนอกมอดีกว่า ร้านในนี้ปิดหมดแล้ว” ปูนพูดขึ้นมากับสุกี้ซึ่งเจ้าตัวพยักหน้าเห็นด้วย หลังจากพวกเขาเดินดูร้านรอบ ๆ และพบว่าทยอยปิดกันจนเกือบหมดแล้ว ถ้าพวกเขาเดินออกมาด้านนอกของมหาวิทยาลัยเล็กน้อย ก็จะพบว่ามีหลากหลายร้านให้เลือกเยอะกว่า แถมบางร้านเปิดโต้รุ่งก็มี เมื่อคิดได้อย่างนั้นทั้งคู่ก็ตัดสินใจเดินออกมาด้านนอกของมหาวิทยาลัย อากาศช่วงนี้ไม่ร้อนเท่าไร ทั้งปูนและกี้เลยเดินออกไปอย่างชิว ๆ สบาย ๆ
ปูนกับกี้เดินออกมาเกือบสิบนาทีก็ถึงร้านนมสดเจ้าเด็ดของที่นี่ ปูนหันไปถามกี้ว่าไม่อยากกินอะไรที่มันอยู่ท้องหรอเพราะเจ้าตัวบอกว่ายังไม่ได้กินมื้อเย็น แต่กี้ก็ตอบเขากลับมาว่าอยากกินพวกขนมปัง น้ำเต้าหู้อะไรแบบนี้มากกว่า นี่ก็ดึกแล้ว เมื่อตัดสินใจได้แบบนั้นทั้งคู่ก็เลยเดินเข้าไปในร้านพร้อมกับสั่งอาหาร
ไม่นานขนมปังสังขยาพร้อมกับขนมปังนึ่งร้อน ๆ และนมสดเย็นสองแก้วก็มาวางไว้ที่โต๊ะ ปูนชวนสุกี้คุยอะไรเล่นไปเรื่อย ๆ มันทำให้เขารู้จักเธอมากขึ้น เขาเองก็แชร์เรื่องของตัวเองให้กี้ได้ฟังเหมือนกัน เรื่องบางเรื่องที่เขาเล่ามันก็ทำให้กี้ตลกจนต้องหัวเราะออกมา ใบหน้ากี้ที่หัวเราะกับรอยยิ้มแบบนั้นมันทำให้เขายิ้มตาม
เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้ ปูนหยิบขนมปังนึ่งขึ้นมาก่อนจุ่มลงไปในถ้วยสังขยาที่ตอนนี้พร่องไปจนเกือบหมดแล้ว ... เขายังไม่อยากให้มันหมดเลยแฮะ
แต่สิ่งที่แปลกก็คือ ...
สีเขียวของสังขยาในถ้วยวันนี้ ...
ไม่รู้ทำไมเขาถึงมองเห็นมันเป็นสีชมพูไปได้ ...