เรื่องสยองที่ 11 : ยาสั่ง
“ผมบอกแล้วไง ถ้าพี่ไม่ชอบดูก็ไม่ต้องเข้า ไปบ้าจี้ตามไอ้ชามัน” ผมพูดขึ้นมากับพี่น้ำ
ตอนนี้มีผม พี่น้ำ ไอ้คีย์ ไอ้ชา ใยไหม และพี่ฟอง กำลังเดินออกจากโรงภาพยนตร์หลังจากดูหนังผีที่กำลังเป็นกระแสดัง อยู่ ณ ตอนนี้ คนชวนมาดูก็ไอ้ชานั่นแหละ มันเป็นแฟนพันธุ์แท้จักรวาลหนังสยองขวัญอย่างคอนเจอริ่ง มีหนังเข้ามาใหม่ทีไรชวนพวกผมมาดูตลอด นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่มันลากพวกผมมาดูด้วย โดยให้เหตุผลว่า มาดูหนังผีต้องมาหลาย ๆ คน แต่ถ้าเป็นจักรวาลมาร์เวลผมเองก็ลากพวกมันมาดูเหมือนกันแหละนะ ฮ่าฮ่า
“ก็ไม่รู้อะ ใยไหมกับฟองยังดูได้เลย” พี่น้ำพูดขึ้นมา พร้อมหันมาทำหน้ายู่ใส่ผม
ถ้าเป็นผู้หญิงทำหน้าแบบนั้น มันคงจะดูน่ารัก ...
ให้ตายเถอะ ... ผมรับหน้าตัวเองแบบนั้นไม่ได้
ดีนะ ที่พวกเราไปดูรอบค่อนข้างดึก เลยไม่มีคนเท่าไร ไม่อย่างนั้นทั้งโรงคงต้องตกใจกับเสียงร้องทุ้มห้าวที่ดังออกมาตลอดทั้งเรื่อง แทนที่จะเป็นผีแม่ชีที่มันโผล่ออกมาแน่ ๆ
“ไหมมันถูกไอ้ชาลากมาดูจนชินตั้งแต่สมัยมัธยมแล้วพี่ ส่วนพี่ฟองก็คงชินแล้วเพราะเป็นยม ...” ผมพูดก่อนชะงักปากเอาไว้ได้ทันเวลาพอดี
จริงอยู่ที่พวกเราเล่าเรื่องนู่นนี่นั่นให้กับพี่น้ำฟังไปเยอะพอสมควร แต่เรื่องยมทูตของไอ้คีย์กับพี่ฟองยังไงก็ยังเป็นกฏของยมทูตอยู่ดี ไม่อยากให้คนทั่วไปรู้ไปมากกว่านี้ แค่ตอนนี้ผม ไอ้ชา และใยไหมรู้เรื่อง ไอ้คีย์ยังโดนท่านพญายมราชสวดแทบตาย ถ้าพี่น้ำรู้อีกคน มีหวังไอ้คีย์ได้ถูกพักงานกันพอดี
“ยม ?”
“ผมว่าในจักรวาลหนังผีที่เคยดู เรื่องนี้ออกแนวแฟนตาซีสุดแล้วนะพี่น้ำ ไม่น่ากลัวเลย ฮ่าฮ่า ใช่ปะไอ้คีย์ มึงว่าปะ” ไอ้ชาพูดขึ้นมาเปลี่ยนเรื่องพลางชวนคุยนู่นนี่นั่นจนพี่น้ำลืมสิ่งที่ผมพูดค้างเอาไว้
หลังจากดูหนังเสร็จ ไอ้คีย์ก็ขับรถไปส่งใยไหมกับพี่ฟองที่หอ ก่อนพวกเราที่เหลือจะกลับคอนโดกัน วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่ไม่มีอะไรมากสำหรับพวกเรา ตอนเช้าไปเรียน ตอนบ่ายแวะไปเยี่ยมร่างพี่น้ำที่โรงพยาบาล ตอนเย็นไปดูหนัง
ชีวิตผมตอนนี้ก็เป็นปกติดี ตามติดพี่น้ำไปทุกที่ที่เจ้าตัวไป ยอมรับเลยว่าพี่น้ำทำหน้าที่ของผมได้อย่างสมบูรณ์ทุกอย่าง ทั้งเรื่องเรียนและชีวิตส่วนตัว พี่น้ำเข้ากับเพื่อนที่ภาควิชาได้ดี แถมยังวีดีโอคอลหาพ่อแม่และกลับไปหายายผมแทบทุกอาทิตย์จนเหมือนเป็นตัวผมจริง ๆ
ส่วนตัวผมก็ยังใช้ชีวิตปกติ อย่างเรื่องเรียนก็ไม่ได้ทิ้ง ผมเองก็ต้องไปนั่งฟังอาจารย์สอน ถึงแม้ว่าตัวเองจะไม่ได้อยู่ในร่างก็เถอะ เพราะยังไงสักวันผมก็ต้องกลับเข้าร่างตัวเองอยู่ดี ตอนนี้ตัวผมเริ่มชินกับสภาวะวิญญาณมากขึ้นแล้วด้วย เริ่มทำอะไรได้บ้าง อย่างเช่นเคลื่อนย้ายสิ่งของหรือทำให้คนอื่นรู้สึกถึงอุณหภูมิรอบ ๆ มันต่ำลง ชักเริ่มจะเหมือนผีเข้าไปทุกที แต่มันก็เป็นอะไรที่ลำบากพอสมควร อย่างการยกแก้วน้ำหรือผลักอะไรบางอย่างให้เคลื่อนที่มันต้องใช้สมาธิและความเชื่อมั่นเป็นอย่างมาก ผมรู้สึกว่าพอทำเสร็จก็เหมือนกับออกกำลังกายมาจนเหนื่อย ทั้ง ๆ ที่ตอนเป็นมนุษย์ การทำเรื่องเหล่านี้มันแทบจะไม่ได้ใช้พลังงานเลยด้วยซ้ำไป
ร่างของผมตอนนี้กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะอ่านหนังสือในห้องของตัวเอง มีโคมไฟอันเล็กส่องให้แสงสว่าง เจ้าตัวกำลังนั่งขมวดคิ้วใช้สมองอย่างขะมักเขม้น ขณะผมนั่งอยู่บนเตียงดูพี่น้ำจดเลกเชอร์ของการเรียนในวันนี้ลงในสมุดโน้ตสรุปย่อของแต่ละวิชา ตลกดีที่เห็นตัวเองทำแบบนั้น ตลอดชีวิตผมไม่เคยทำอะไรแบบนั้นเลย ไปอ่านก่อนสอบตลอด อาจจะดูเหลวไหลเละเทะไปบ้าง แต่ผมก็เอาตัวรอดด้วยเกรดไม่ต่ำกว่าสามนะ เห็นพี่น้ำทำแบบนี้ดูตัวเองกลายเป็นคนไม่เอาไหนไปเลยแฮะ
“ขยันเหลือเกินนะครับเนี่ย” ผมลุกขึ้นจากเตียงเดินไปทักเขา
“แน่ซิยะ ตอนเรียนนี่เกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทองเลยนะ สรุปโน้ตให้แล้ว เข้าร่างเมื่อไรมาอ่านด้วยล่ะ” พี่น้ำตอบกลับมา พร้อมกับเงยหน้าจากหนังสือและสมุดโน้ตหันมายิ้มให้ผม
“คร้าบ” ผมตอบเขากลับไปลากเสียงยาวพร้อมส่งยิ้มให้
เจ้าตัวมองผมนิ่งค้างอยู่แบบนั้นสักพัก จนผมต้องเอามือไปโบกด้านหน้าไปมา ประมาณว่าจ้องอะไรอยู่ตั้งนาน พี่น้ำหัวเราะออกมาเบา ๆ กระพริบตาก่อนมองหน้าผมแล้วเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“อิฐ พี่รู้นะ ว่าเราไม่จำเป็นต้องอยู่ในสภาพวิญญาณแบบนี้ คนที่ควรจะยืนอยู่ตรงนั้นคือพี่ต่างหาก นี่มันก็เกือบหนึ่งเดือนแล้ว พี่พอทำใจได้แล้วล่ะ ว่าพี่คงจะไม่ฟื้น พี่ไม่อยากหลอกตัวเองอีกแล้ว พี่รู้ว่าเราแค่อยากให้กำลังใจพี่ ว่าเมื่อไรที่ฟื้นแล้วเราค่อยสลับวิญญาณกัน แต่พี่ว่า ... มันคงไม่มีวันนั้นแล้วล่ะ” พี่น้ำพูด น้ำเสียงไม่ได้ดูโกรธโชคชะตาตัวเองหรือเศร้าอีกต่อไปเหมือนอย่างตอนที่พวกเราเคยพูดถึงเรื่องนี้กันก่อนหน้า
“แต่พี่น้ำครับ ยังไงเราก็ควรมีความความหวังนะ” ผมพูดขัดพี่น้ำ ไม่อยากให้เจ้าตัวคิดในแง่ร้ายแบบนั้น
อย่างที่ผมเคยคิดไว้ ถ้าภายในสามเดือนร่างกายพี่น้ำยังไม่ฟื้นตัว ถึงเวลานั้นค่อยตัดสินใจกันอีกที ยังไงผมก็ไม่อยากให้พี่น้ำกลายไปเป็นวิญญาณเร่ร่อนใช้ชีวิตคนเดียวแบบไม่มีใครช่วยเหลือหรอก
“คนเรานะอิฐ เราหวังได้ เราเชื่อได้ แต่เราต้องอยู่บนความจริง และตอนนี้พี่พยายามยืนอยู่บนความจริง พี่ไม่อยากเอาเปรียบอะไรอิฐขนาดยึดร่างมาครอง เราก็เป็นแค่เหลนรหัสพี่ เพิ่งเจอกันเมื่อต้นเดือนด้วยซ้ำ ไม่ต้องสงสารพี่หรอก พี่อยู่ได้”
“พี่ขอบคุณที่เราทำให้พี่ได้ใช้ชีวิตต่อในฐานะมนุษย์ไม่ใช่วิญญาณ เกือบหนึ่งเดือนที่ผ่านมาพี่มีความสุขมาก พี่ได้ทำอะไรหลายอย่างที่ไม่เคยทำ ได้เป็นอะไรหลายอย่างที่ไม่เคยเป็น ได้ขำ ได้สนุกไปกับเรา กับพวกเพื่อนของเรา พี่ขอบคุณจริง ๆ”
ผมนิ่ง แทบจะเถียงอะไรพี่น้ำไม่ออก
แต่แค่คิดว่าร่างพี่น้ำจะหลับเป็นเจ้าหญิงนิทรา แล้วเจ้าตัวกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนรอจนหมดอายุขัย ผมก็ทำใจยอมรับไม่ได้แล้ว
“พรุ่งนี้วันเสาร์ ให้คีย์ช่วยสอนพี่ถอดวิญญาณนะ พี่จะคืนร่างให้เรา”
บรรยากาศภายในโรงพยาบาลเต็มไปด้วยความตึงเครียด เมื่อเตียงเข็นคนไข้ชายวัยกลางคนตรงดิ่งเข้ามาทางห้องฉุกเฉิน โดยมีร่างผู้หญิงวัยสี่สิบกว่าและเด็กสาวอีกคนกำลังวิ่งตามเข้ามา
“ญาติผู้ป่วยรอข้างนอกนะคะ” เจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่พูดขึ้นมา เมื่อเห็นสองแม่ลูกกำลังจะตามเข้าไปภายในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล
ทั้งสองร่างจึงหยุดอยู่ตรงประตูทางเข้า มองตามร่างของชายวัยกลางคนเข้าไปข้างใน ก่อนเดินกลับไปนั่งแถวเก้าอี้ที่จัดไว้ให้กับญาติผู้ป่วยที่มานั่งรอบริเวณนั้น ใบหน้าของเด็กสาวเต็มไปด้วยความเครียดและเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองพบเจอ พ่อของเธอเป็นคนสุขภาพแข็งแรงมาโดยตลอด ถึงแม้จะโหมทำงานหนัก แต่เจ้าตัวก็มีเวลาไปออกกำลังกายและดูแลตัวเองสม่ำเสมอ ไม่เคยมีโรคประจำตัวอะไรเลย อาจจะมีบ้างในระยะหลัง ๆ ที่วูบบ่อยเพราะพักผ่อนน้อย แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้เป็นหนักถึงขนาดล้มตึงไปแบบนี้ อยู่ดี ๆ ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้
“คุณแม่ คุณพ่อจะเป็นอะไรไหมคะ” เด็กสาวหันไปพูดกับคนข้างตัวที่เป็นแม่ คนเป็นแม่ดึงมือลูกสาวมากุมไว้ ใบหน้าที่เสแสร้งบีบน้ำตาขึ้นมาแต่ไม่ได้ร้องไห้ออกมาใหญ่โต แต่ทำเพียงพอประมาณ
“มิ้งค์ทำใจดี ๆ ไว้ลูก คุณพ่อถึงมือหมอแล้ว ยังไงก็ต้องไม่เป็นอะไร”
“คุณพ่อคงเครียดเรื่องพี่น้ำแน่ ๆ เลยค่ะ นี่ก็เกือบเดือนแล้ว พี่น้ำยังไม่ฟื้นเลย” มิ้งค์พูดต่อพลางนึกไปถึงเรื่องของพี่สาวต่างมารดาของตนเองที่นอนเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่ชั้นบนของโรงพยาบาลนี้เช่นกัน
“ไม่ต้องคิดมากนะลูก คุณพ่อเป็นคนดี ยังไงพระท่านก็คุ้มครอง” คนพูดพูดออกมาในขณะที่ในใจคิดอีกอย่าง
ไร้สาระสิ้นดี ตรรกะบ้าบอ
“ค่ะ”
“เดี๋ยวมิ้งค์นั่งรอแม่ตรงนี้นะ แม่จะไปซื้ออะไรอุ่น ๆ มาให้ นี่คงยังไม่ได้กินข้าวเย็นใช่ไหม แม่ว่าจะขึ้นไปเยี่ยมยัยน้ำด้วย”
“ค่ะ งั้นมิ้งค์รอตรงนี้นะคะ”
ร่างงามในวัยสี่สิบกว่าที่ดูเหมือนสามสิบต้น ๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก่อนเดินตรงไปยังร้านกาแฟภายในโรงพยาบาล ใบหน้าที่ผ่านการลดริ้วรอยด้วยนวัตกรรมทางกายแพทย์หลากหลายอย่างแสยะยิ้มออกมาหลังจากหันหลังให้ลูกสาวตัวเอง
แม่ทำทุกอย่างเพื่อลูกนะมิ้งค์ ...
ยาออกฤทธิ์มากขึ้นทุกที ถ้าไอ้แก่นั่นกินอาหารที่มีส่วนผสมของกุ้งอีกครั้ง ... มันจะได้ตายแบบไร้ร่องรอย
ส่วนนังน้ำ แกจะเป็นรายต่อไป ...
บนชั้นสิบห้าของโรงพยาบาล ร่างของผู้ป่วยที่นอนเป็นเจ้าหญิงนิทรายังคงไม่รู้สึกตัวเมื่อมีร่างใหม่เดินเข้ามาภายในห้อง สายตาของคนที่เดินเข้ามามองร่างของเจ้าหญิงนิทราตั้งแต่หัวจนจรดปลายเท้าแล้วก็นึกสมเพชในใจ จากเด็กสาวที่เคยแผลงฤทธิ์ใส่สารพัด บัดนี้กลายเป็นเพียงตุ๊กตาหน้าสวยที่นอนนิ่งไม่รับรู้อะไรอยู่บนเตียง
แกมันก็แค่อีกระ ... ข้างถนน แกมันตัวทำลายครอบครัวฉัน ! แม่ฉันตายก็เพราะแก
หยุดนะน้ำ ทำไมลูกทำตัวก้าวร้าวแบบนี้
นี่พ่อปกป้องมันหรอ พ่อเห็นว่ามันดีกว่าหนูกับแม่งั้นหรอ
ฮื่อ ฮือ คุณแม่ พี่น้ำเขาเกลียดเราใช่ไหมคะ พี่น้ำอย่าโกรธพวกเราเลยนะคะ
อย่ามาเรียกฉันว่าพี่ ฉันไม่เคยมีน้องสาวอย่างแก ! ฉันเป็นลูกคนเดียว
เวลาของแกใกล้หมดแล้วนังน้ำ ... เมื่อไม่มีพ่อแก ฉันก็ไม่จำเป็นต้องเก็บร่างที่มีแต่ลมหายใจเอาไว้ผลาญเงินเล่น
“เอ่อ สวัสดีครับคุณน้า” เสียงทักดังขึ้นมาก่อนใครคนหนึ่งจะเดินออกมาจากห้องน้ำภายในห้อง เมื่อสังเกตเห็นคนที่เดินเข้ามาใหม่ที่กำลังยืนมองแฟนสาวของเขาอยู่ที่เตียง ร่างที่คิดว่าตัวเองอยู่คนเดียวภายในห้องสะดุ้งนิดหน่อยก่อนหันไปมองที่มาของเสียง ใบหน้าของสุจิตราเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วราวกลับพลิกฝ่ามือ เจ้าของร่างรีบฉีกยิ้มให้ทันที
“อ้าวเอก มาเยี่ยมน้ำหรอจ๊ะ”
“ใช่ครับ แต่ผมกำลังจะกลับพอดี มีงานด่วนเข้ามา” เอกพูดตอบกลับไป พร้อมเดินเข้าไปหาร่างของน้ำที่นอนอยู่ที่เตียง เขามองร่างนั้นด้วยความเป็นห่วง อยากจะมาอยู่เฝ้าให้นานกว่านี้ แต่ชีวิตคนเรามันก็ต้องมีงาน มีอะไรอย่างอื่นให้ทำ เขาเองก็ยังรักน้ำอยู่ ไม่อยากให้ครั้งสุดท้ายที่น้ำเจอเขามันเป็นความทรงจำแย่ ๆ กับเรื่องอะไรแบบนั้น เหมือนที่ไอ้เด็กคนที่มาต่อยหน้าเขาพูดถึง
“ถ้าว่าง ๆ ก็แวะไปที่บ้านได้นะจ๊ะ พวกเรายินดีต้อนรับ เอกนี่เป็นคนดีจริง ๆ ถ้าเป็นคนอื่นเขาก็คงไม่รอให้น้ำฟื้นมาหรอก” สุจิตราพูดต่อ
“ผมไม่ได้เป็นคนดีอะไรขนาดนั้นหรอกครับคุณน้า ขอตัวก่อนนะครับ” ชายหนุ่มพูดเหลือบตามองหน้าน้ำ ก่อนยกมือไหว้คนอาวุโสกว่าเพื่อขอตัวกลับก่อนเพราะมีงานต้องทำ
“เดี๋ยวสิ คุณพ่อของน้ำก็เข้าโรงพยาบาลเหมือนกัน น้าเองก็ไม่ค่อยสบายใจ ไม่รู้จะไประบายกับใคร น้ำก็มาเป็นแบบนี้อีก”
“อะไรนะครับ ! คุณลุงเป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ ตั้งแต่เมื่อไร”
“เมื่อเย็นนี้เอง ตอนนี้ยังนอนอยู่ห้องฉุกเฉินอยู่เลย น้าเลยแวะขึ้นมาเยี่ยมน้ำก่อน” สุจิตราพูดต่อ
“ผมเสียใจด้วยนะครับที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น” เอกพูด มองหน้าแม่เลี้ยงของแฟนสาวตัวเองที่เริ่มร้องไห้ออกมา เขารู้สึกแปลกทุกครั้งที่เจอกับผู้หญิงคนนี้ เหมือนนิสัยและท่าทางที่เขาเห็นมันไม่เหมือนกับที่น้ำเคยเล่าให้เขาฟังเลย ไม่เข้าใจว่าน้ำอคติเกินไปหรือเปล่ากับภรรยาใหม่ของพ่อตัวเอง ทั้ง ๆ ที่เธอก็ดูเป็นห่วงทั้งน้ำและพ่อของน้ำ
“คุณน้าครับ ... ไม่ต้องร้องไห้นะครับ ผมว่าคุณลุงต้องไม่เป็นอะไร”
ชายหนุ่มอยู่พูดคุยกับสุจิตราอีกสักพักก่อนปลีกตัวออกไปเพราะที่ทำงานโทรมาตามเขาอีกรอบแล้ว
“ขอบใจเอกมากนะ ที่อยู่ฟังน้าระบาย”
เอกยิ้มรับก่อนยกมือไหว้อีกครั้งเป็นเชิงลาก่อนเปิดประตูออกจากห้องพักคนป่วยไป
ทันทีที่ประตูถูกปิดลงอีกครั้ง ใบหน้าก็เปลี่ยนไปแทบจะเป็นคนละคน มือเรียวยกขึ้นมาเช็ดคราบน้ำตาของตัวเองอย่างส่ง ๆ
คนเรามีหน้ากากใส่เข้าหากันเป็นร้อย บางหน้ากากก็เต็มไปด้วยความจริงใจ บางหน้ากากก็เต็มไปด้วยความเสแสร้ง ขึ้นอยู่กับว่าคนคนนั้นจะเลือกหยิบหน้ากากอันไหนเข้ามาใส่
ทีนี้ก็เหลือแค่เราสองคนแล้วนะ ... อีน้ำ
เสียงคลิ้กดังขึ้นหลังจากมือเรียวกดล็อกลงไปที่ประตูของห้องพักคนป่วย
ร่างของสุจิตราเดินกลับเข้ามาบริเวณโซฟา หมอนใบหนึ่งที่วางอยู่ตรงนั้นถูกยกขึ้นมาเหมือนเป็นอาวุธชั้นดี เจ้าของร่างที่นอนอยู่บนเตียงยังคงไม่รู้สึกตัวสักนิดว่าภัยร้ายที่พยายามจะคร่าชีวิตของเธอกำลังมาเยือน เงาดำมืดจากหมอนใบนั้นตกกระทบลงบนใบหน้าของเจ้าหญิงนิทราก่อนที่หมอนทั้งใบจะค่อย ๆ ปิดทับลงไปบนใบหน้าด้วยฝีมือของแม่มดใจร้าย
แม่มดใจร้ายแสยะยิ้มออกมาอย่างเป็นสุข แผนการทุกอย่างกำลังจะดำเนินไปได้ด้วยดี ทั้งไอ้แก่ และลูกของมันกำลังจะหายไปจากโลกใบนี้ ในที่สุดเวลาที่วางแผนรอคอยมานานก็ใกล้จะสำเร็จสักที
ทนหน่อยนะ อีกแค่แปบเดียว
แกก็จะไม่ได้อยู่รกหูรกตาของฉันอีกต่อไป ...