เรื่องสยองที่ 10 : กี้ชอบอ่านแนวไหน ผมก็ชอบแนวนั้น
หอในจะมีร้านซักอบรีดที่คอยเปิดให้บริการกับนักศึกษาที่ไม่สะดวกใช้เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญหรือรีดผ้าเองอยู่บริเวณส่วนกลางของหอพัก ซึ่งอยู่ระหว่างหอชายและหอหญิง โซนตรงนั้นจะมีทั้งร้านค้า ร้านเช่าการ์ตูนนิยาย และพื้นที่สำหรับทำกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาจากทางฝั่งหอชายหรือหอหญิงก็เข้าไปใช้ได้ ปูนเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่เข้าไปใช้บริการ ตอนนี้เขาแทบไม่มีเวลาทำอะไร ไม่เคยคิดมาก่อนว่ากิจกรรมปีหนึ่งมันจะเยอะมากมายขนาดนี้ ดีที่ในที่สุดวันนี้ก็เป็นวันหยุดสักที เจ้าตัวกำลังเดินไปรับเสื้อผ้าจากร้านซักอบรีด เนื่องจากชุดนี้ก็เป็นชุดสุดท้ายที่เขาใส่แล้ว ขืนวันนี้ไม่ไปเอา พรุ่งนี้คงได้ใส่ของเดิมที่กองเน่าอยู่ในตะกร้าไปเรียนแน่ ๆ
ปูนเดินเข้าไปทักทายพี่เจ้าของร้านก่อนบอกหมายเลขรหัสของตัวเองเพื่อรับเสื้อผ้า ตอนนี้ที่ร้านคนไม่ค่อยเยอะมากเท่าไร พี่เขาเลยจัดเสื้อผ้าให้ปูนอย่างรวดเร็ว เมื่อเซ็นรับผ้าเสร็จก็หยิบชุดนักศึกษาและชุดลำลองที่ถูกรีดแขวนใส่ไม้แขวนเสื้อเรียบร้อยออกมาพร้อมกับตะกร้าผ้าตัวเอง ระหว่างที่เขากำลังเดินออกมาเพื่อจะกลับไปที่ห้องก็มีเสียงหนึ่งเรียกขึ้น ทำให้ต้องหันไปมอง
“สวัสดีปูน นี่มาเอาผ้าหรอ” เสียงใสดังขึ้น
คนที่เรียกเขาชื่อมิ้งค์ มิ้งค์เป็นผู้หญิงหน้าสวย ตัวสูง และผิวสีแทน เหมือนนางแบบอินเตอร์เลยทีเดียว เขารู้จักมิ้งค์เพราะว่าเป็นเพื่อนที่เรียนด้วยกันในคณะเขานั่นเอง แถมเจ้าตัวตอนนี้ถูกเลือกเป็นตัวแทนคณะนิเทศศาสตร์ไปแข่งเป็นดาวมหาวิทยาลัยซะด้วย
“ใช่ แหะ ๆ ที่ใส่อยู่นี่ตัวสุดท้ายละ อาทิตย์ก่อนมัวแต่วุ่น ๆ เรื่องกิจกรรม เลยไม่ได้มาเอาผ้าเลย ว่าแต่มิ้งค์กำลังจะไปไหนล่ะ” เขาถามกลับ
“มิ้งค์ว่าจะกลับบ้านน่ะ พอดีวันหยุดพรุ่งนี้ด้วย แต่ฝนทำท่าจะตกอีกแล้ว ต้องรีบหน่อย” มิงค์พูด สายตาคนพูดเหลือบไปดูท้องฟ้ามืดครึ้มที่เมฆหนาลอยอยู่เต็มไปหมด
“อ๋อ จริงด้วย งั้นรีบไปเถอะ” ปูนบอก เขาเองก็ว่าจะรีบเดินกลับหอเหมือนกัน ไม่ได้เอาร่มติดมาด้วยเพราะเห็นว่าเดินออกมาจากหอของเขาเพียงหน่อยเดียว แต่ถ้าโชคร้ายฝนเทลงมาล่ะก็ เสื้อผ้าที่เขาหิ้วมามันต้องเละแน่ ๆ
“งั้นไว้เจอกันตอนซ้อมดาวเดือนนะ” มิงค์พูดก่อนโบกมือลา
“อื้ม เจอกันครับผม” เจ้าตัวตอบกลับไปพร้อมส่งยิ้มให้ เขาเองก็ได้เป็นตัวแทนเดือนคณะไปแข่งคู่กับมิ้งค์เหมือนกัน เล่นเอาเพื่อนผู้ชายทั้งคณะอิจฉาตาร้อนกันยกใหญ่ แต่มิ้งค์ไม่ใช่สเปคเขาหรอก สำหรับเขามันต้องเป็นสาวหมวยน่ารักที่เคยเจอกันวันแรกที่มารับน้องต่างหาก แถมพูดถึงก็มาให้เห็นหน้าเลยด้วย
ปูนเห็นร่างของสุกี้กำลังเดินออกมาจากร้านเช่านิยายและการ์ตูน ซึ่งอยู่ถัดจากร้านซักอบรีบที่เขาเพิ่งจะเดินห่างออกมาไม่เท่าไร
“อ้าวกี้ !” ปูนส่งเสียงทักออกไป
คนถูกทักเงยหน้าจากหนังสือในมือสองสามเล่มขึ้นมามองเขา
“สวัสดีปูน หอบผ้ามาเยอะจัง ระวังจะเปียกกลางทางนะ” เสียงใสทักไปเย้า ๆ ทันทีที่เห็นเขาพร้อมกับเสื้อผ้าที่หิ้วมาเกือบสิบตัว
“โห กี้พูดแบบนี้ถ้าฝนตกตอนปูนเดินกลับหอต้องรับผิดชอบนะ” ปูนพูดพร้อมกับรอยยิ้มที่คิดว่าตัวเองหล่อที่สุด
“เดี๋ยว ๆ ตลกล่ะ ก็แค่พูดเฉย ๆ เห็นฟ้าครึ้ม ๆ”
“กี้ชอบอ่านนิยายหรอ” ปูนถามต่อ เหลือบตามองหนังสือในมือสุกี้ ตัวเขาเองก็ไม่ได้ชอบอ่านนิยายเท่าไร ชอบดูหนัง ดูอนิเมะมากกว่า เป็นคนขี้เกียจจินตนาการอะไรให้มันเยอะแยะปวดสมอง
“อื้มใช่ ก็แก้เซงน่ะ แล้วปูนล่ะ ชอบอ่านนิยายไหม” กี้ถามเขากลับ
ถามมาแบบนี้ก็ต้องตอบไปซิว่า ...
“หืม ชอบสิ ปูนโคตรชอบอ่านนิยายเลย ปูนว่าอ่านนิยายมันสนุก มันทำให้สมองเราได้คิดอะไรเยอะแยะ มีจินตนาการที่กว้างไกล เหมือนอย่างคำพูดของไอน์สไตน์ไง Imagination is more important than knowledge.”
กี้หัวเราะขำเขาที่พูดอะไรออกมายืดยาว
“ชอบแนวไหนหรอ” เจ้าตัวถามต่อ
“กี้ชอบแนวไหน ปูนก็ชอบแบบนั้นแหละ” ปูนตอบกลับไปอย่างมั่นใจ
สุกี้หัวเราะขำหนักกว่าเดิมเอียงคอมองคนตัวสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“จริงหรอ” เธอถามย้ำ
“จริงดิ”
“งั้นเอาไปอ่านหนึ่งเล่ม เรื่องนี้กี้ชอบมาก ชอบจนต้องอ่านซ้ำเลย” สุกี้พูดจบก็ยื่นหนังสือหนึ่งเล่มให้กับปูน ปูนที่ไม่ได้คิดอะไรก็หยิบหนังสือเล่มนั้นมาเพิ่มของในมืออีกหนึ่งชิ้น ไม่ได้มองด้วยซ้ำว่ามันเกี่ยวกับอะไร เพราะตอนนี้ทั้งเสื้อผ้าและตะกร้าผ้าก็อยู่เต็มสองมือ
“จะดีหรอ” เขาถามเหมือนเกรงใจ แต่จริง ๆ ไม่อยากอ่านมากกว่า แต่ไหน ๆ กี้อุตส่าห์ชวนอ่านแถมตัวเองดันไปบอกว่าชอบอ่านนิยายไปแล้วด้วยจะให้ทำยังไงได้ แบบนี้ก็ต้องตามน้ำไป
“ดีซิ อ่านเสร็จแล้วเดี๋ยวมาคุยกัน” สุกี้พูดต่อพร้อมกับยิ้มขำให้เขา
“อ่อ งั้นก็ได้ ขอเบอร์ได้ปะ คือ ... อ่านเสร็จจะได้โทรบอกแล้วเอาไปคืนไง” ปูนถามพร้อมกับวางแผนไว้ในใจ รู้จักกันมาสักพักล่ะ แต่ยังไม่มีเบอร์เลย ยังไงวันนี้ก็ต้องได้
“เอามือถือมา” สุกี้พูด
ไม่รอช้า ปูนรีบวางตะกร้าผ้าในมือซ้ายลงกับพื้น ก่อนล้วงไปในกระเป๋ากางเกงหยิบมือถือส่งให้กับกี้ ไม่นานกี้ก็ยื่นมือถือส่งกลับมาคืนเขาพร้อมกับเบอร์โทร
“อย่าลืมอ่านให้จบล่ะ เจอกัน” สุกี้พูดจบเจ้าตัวก็เดินจากไป ปล่อยให้ปูนยิ้มค้างก่อนพูดตามไล่หลัง
“ได้เลย เจอกันครับ”
“เยส !”
ทันทีที่สุกี้เดินออกไปพ้นจากสายตา เจ้าตัวก็แทบจะกระโดดตัวลอยมันซะตรงนั้น แต่คิดได้ว่าตอนนี้ต้องรีบเอาเสื้อผ้าขึ้นไปเก็บได้แล้ว เดี๋ยวจะไม่ทันฝนที่เตรียมจะเทลงมา
ปูนมาถึงห้องได้ทันเฉียดฉิวก่อนที่ฝนจะเทลงมาหน่อยเดียว เจ้าตัวเดินไปที่เตียงของตัวเองก่อนโยนหนังสือที่ได้จากกี้ลงบนเตียงแบบไม่ใส่ใจ แล้วเอาเสื้อผ้าเข้าไปแขวนในตู้ของตัวเอง เสร็จแล้วก็หยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาดูเบอร์ของกี้อีกรอบ
วันนี้มันโชคดีสุด ๆ ไปเลย ...
“ไอ้ปูน” เสียงเพื่อนคนหนึ่งทักเขาขึ้นมาขณะที่เดินออกมาจากห้องน้ำทางระเบียงหลังห้อง เจ้าตัวหยิบหนังสือบนเตียงของปูนขึ้นมาดู ในขณะที่ปูนกำลังเข้าไปส่องไอจีของสุกี้
“หืม ว่าไงวะ” ปูนตอบกลับไปขณะสายตายังมองอยู่ที่จอมือถือ
“มึงชอบอ่านนิยายแบบนี้ด้วยหรอวะ”
“ไม่ว่ะ แต่ตอนนี้กูจะพยายามชอบ และกูจะลองอ่านดู” ปูนตอบอย่างมั่นใจขณะสายตากำลังมองรูปสุกี้ในชุดนักศึกษาที่กำลังส่งยิ้มให้เขาในไอจี กี้ชอบอ่านอะไร เขาก็จะชอบแบบนั้นแหละ
“เชี้ยปูน กูเริ่มหลอนกับมึงแล้วว่ะ”
ปูนขมวดคิ้ว เริ่มรู้สึกว่าเพื่อนพูดอะไรแปลก ๆ ออกมา จึงเงยหน้าขึ้นไปมอง เพื่อนของเขาชูหนังสือเล่มที่สุกี้ให้เขาดูเต็มตา ภาพหน้าปกที่เขาเห็นทำให้เขาอึ้งอ้าปากค้างจนพูดอะไรไม่ออก
มันเป็นภาพผู้ชายสองคนกำลังเปลือยท่อนบน คนหนึ่งกำลังถูกมัด และอีกคนบีบคางคนที่ถูกมัดไว้ ...
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสุกี้เล่นเขาให้แล้ว !
กี้ !
ที่บ้านสไตล์โมเดิร์น 3 ชั้นใจกลางเมือง บริเวณหน้าบ้านมีร่างของชายวัยกลางคนที่กำลังเตรียมตัวออกไปนอนเฝ้าลูกสาวของตัวเองที่โรงพยาบาล ในขณะเดียวกันก็มีร่างของผู้หญิงวัยสี่สิบต้น ๆ ผิวสีแทนเดินตามออกมาทางด้านหน้าของบ้าน ใบหน้าของเจ้าตัวดูหงุดหงิดเหมือนโดนขัดใจอะไรสักอย่าง
“นี่คุณจะออกไปนอนเฝ้ายัยน้ำอีกแล้วหรือไง ข้าวเย็นก็ยังทานไม่เสร็จ จะรีบไปไหน ทำอย่างกับลูกสาวตัวดีของคุณจะฟื้นขึ้นมาอย่างงั้นแหละ ปล่อยไว้ที่โรงพยาบาลสักวันสองวันคงจะไม่เป็นอะไรหรอก”
เสียงพูดที่ดังขึ้นมาทางด้านหลังทำให้เขาหันตัวกลับไปมองอย่างอารมณ์เสีย ไม่รู้เมื่อไรจะทำตัวให้เป็นประโยชน์กับคนอื่นเขาบ้างสักที ดีแต่พูดยั่วโมโหไปวัน ๆ
“นี่เมื่อไรคุณจะเลิกพูดจาที่มันไม่เข้าหูผมสักทีฮะ !”
“ใช่สิ ฉันพูดอะไรมันก็ไม่เข้าหูคุณไปซะหมดแหละ คงคิดถึงเมียเก่าที่ตายไปแล้วมากใช่ไหม”
เหมือนการยั่วโมโหของฝ่ายหญิงจะได้ผลมากขึ้นเรื่อย ๆ ชายวัยกลางคนเดินเข้าไปหาพร้อมกับจ้องหน้าภรรยาคนปัจจุบันของตัวเองอย่างเหลืออด
“คุณ ! มันจะมากไปแล้วนะ อย่ามาลามปามแม่ของน้ำ”
ใบหน้าของคนถูกบอกว่าลามปามแสยะยิ้มออกมาเยาะเย้ยก่อนพูดต่อ
“ทำไม มากตรงไหน เงินที่ใช้ไปกับยัยน้ำทุกวันนี้มันมากกว่าสิ่งที่ฉันพูดอีก กี่แสนแล้ว ยัยน้ำนอนโรงพยาบาลมาเกือบเดือนแล้วนะคุณ คุณทำใจได้แล้ว ยังไงมันก็ไม่ฟื้นขึ้นมาหรอก ปล่อยให้ตาย ๆ ไปเถอะ”
เพียะ !
ประโยคที่พูดออกมาครั้งสุดท้ายทำให้เส้นความอดทนของคนเป็นพ่อขาดสะบั้นเมื่อมีคนพูดอะไรแบบนั้นเข้าหูตัวเอง มือหนาตวัดตบไปยังหน้าของผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาจนใบหน้าคนถูกตบสะบัดตามแรงตบไปอีกทาง คนโดนตบหันกลับมามองหน้าชายที่เป็นสามีของตัวเองอย่างไม่เชื่อสายตา ก่อนส่งเสียงกรีดร้องดังลั่นออกมาพร้อมกับกระทืบเท้าเร่า ๆ
“หยุด ! อย่ามาทำให้ผมทนกับคุณไม่ไหวนะสุจิตรา ! เพราะไม่อย่างงั้น เงินทุกบาททุกสตางค์ที่คุณใช้ทุกวันนี้ มันจะไม่เหลือพอที่จะทำให้คุณได้ทานแม้แต่ข้าวเย็น คุณก็รู้ว่าผมพูดจริงทำจริงแค่ไหน และคุณก็ไม่ต้องเอามิ้งค์มาอ้างอีกแล้ว ! ผมจะหย่า ! ผมไม่น่าเอาคุณมาเป็นเมียเลย !”
ร่างของคนที่ถูกบอกว่าจะให้หย่ากำมือแน่นก่อนสะบัดตัวหันหลังแล้วเดินกลับเข้าไปภายในบ้าน ก่อนเสียงข้าวของแตกกระจากภายในบ้านจะบ่งบอกถึงอารมณ์ของฝ่ายหญิงที่ระบายออกมา ชายวัยกลางคนกุมขมับก่อนถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน เขาไม่น่าพลาดเลย ไม่น่าเอาผู้หญิงคนนี้มาเป็นแม่ของลูก ไม่น่านอกใจภรรยาเก่าของเขาเลย
อยู่ ๆ ชายวัยกลางคนก็รู้สึกเวียนหัวขึ้นมา ภาพรอบตัวเริ่มลางเลือน ร่างของเขาเซไปมาก่อนล้มลงไปนอนกับพื้นพร้อมกับเปลือกตาที่ปิดลงอย่างรวดเร็ว
รถยนต์คันหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่ลานจอดรถภายในบ้าน แต่หลังจากจอดรถได้ไม่นาน สายตาคนขับก็สังเกตเห็นร่างของผู้เป็นพ่อตัวเองกำลังนอนอยู่ที่พื้นประตูหน้าบ้าน เจ้าตัวถึงกับตกใจจนหน้าซีด ร่างนั้นรีบออกมาจากรถ ก่อนวิ่งเข้าไปหาร่างพ่อของตัวเอง
“คุณแม่ !”
มิ้งค์ตะโกนเรียกเข้าไปในบ้านสลับกับเรียกชื่อพ่อของตัวเองที่ไม่มีสติ ไม่นานร่างของสุจิตราก็เดินออกมา เมื่อเห็นว่าสามีตัวเองนอนอยู่กับพื้นแบบนั้นก็มองอย่างตกใจพร้อมกับรีบก้มลงเข้าไปประคองเรียกสติ
“คุณพ่อ ! คุณพ่อเป็นอะไรไปคะคุณแม่” มิ้งค์ร้องออกมาอย่างร้อนรนเป็นห่วงพ่อของตัวเอง
“มิ้งค์ไปเอารถมา แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน เดี๋ยวเราพาคุณพ่อไปโรงพยาบาล ไปเร็ว” สุจิตราพูดอย่างร้อนรนไม่ต่างกัน มิ้งค์ได้ยินอย่างนั้นก็รีบลุกขึ้นหันหลังวิ่งไปที่รถตัวเอง
ทันทีที่ร่างของลูกสาวเดินหันหลังกลับไปเอารถ หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยากลับค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน สายตามองไปยังร่างที่กำลังนอนหลับตาอยู่ที่พื้น มันเต็มไปด้วยความชิงชังและความเกลียด
แก่ ๆ อย่างแก ตาย ๆ ไปซะได้ก็ดี !
อยากไปอยู่กับนังน้ำนัก เดี๋ยวแกก็ได้ไปอยู่สมใจอยาก !