บทส่งท้าย
อากาศยามบ่ายในเมืองหลวงยังคงร้อนเป็นปกติเหมือนเดิมเช่นทุกวัน
ที่สนามหญ้าหน้าบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง ตรงนั้นมีร่างของเด็กหนุ่มหน้านิ่งกำลังนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ ข้างตัวของเขามีเด็กผู้ชายอยู่สามคนกำลังนอนฟังนิทานที่เขาเล่า อยู่บนเสื่อที่ถูกปูไว้ข้างตัว โชคดีที่บ้านหลังนี้มีต้นไม้ค่อนข้างเยอะ มันเลยให้ความร่มเย็นแก่คนที่อยู่ภายในบ้านได้เป็นอย่างดี สายลมอ่อน ๆ พัดไปรอบ ๆ จนทำให้รู้สึกผ่อนคลายในวันหยุด เด็กชายทั้งสามฟังนิทานที่เขาเล่าอย่างตั้งใจ
วันนี้เขาได้รับหน้าที่ให้มาดูแลเหลน ๆ ของตัวเอง
ใช่ เหลน ...
ผ่านมาเกือบสามชั่วอายุคนแล้วสินะ
“คุณปู่ทวด ผมมีคำถามครับ ทำไมคุณปู่ทวดถึงดูไม่แก่เหมือนคุณตาคุณยายเลยล่ะครับ คุณปู่ทวดอายุมากกว่าคุณตาคุณยายถูกไหมครับ” เด็กชายหน้าตี๋คนหนึ่งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเจื้อแจ้ว ด้วยความสงสัยตามประสาเด็ก ดูท่าทางเหลนคนนี้จะมีเชื้อสายจีนอยู่มาก ดูคล้ายกับคนที่เขารู้จักเหลือเกิน
ถึงจะถูกเรียกว่าปู่ทวด ... แต่ใบหน้าของคนถูกเรียกไม่ต่างอะไรจากเด็กหนุ่มอายุไม่เกินยี่สิบปี
“นั่นสิครับ ผมก็อยากรู้” เด็กชายอีกคนพูดออกมา คราวนี้เป็นเหลนที่มีตัวขาวจั๊วะ ดูเหมือนเป็นคนทางภาคเหนือ ซึ่งเขามาทราบภายหลังว่า หลานสะใภ้อีกคนของตัวเองเป็นคนเชียงใหม่ เจ้าเด็กคนนี้เลยมีผิวขาวขนาดนี้ ผิดกับตัวเขาที่มีผิวเป็นสีแทน
“คุณปู่ทวดเป็นแวมไพร์หรอครับ” ตามมาติด ๆ ด้วยเสียงของเด็กอีกคนที่พูดออกมา คราวนี้เป็นเด็กชายลูกครึ่งวัยไล่เลี่ยกันกับเด็กชายสองคนก่อนหน้า คนนี้เป็นญาติฝั่งไหนก็ไม่รู้ เขาก็นับไม่ถูกเหมือนกันเพราะอยู่มาหลายปีแล้ว แต่เอาเป็นว่าเด็กคนนี้เป็นของเหลนเขา
คำถามของเด็กชายทั้งสามคนทำเอาใบหน้านิ่ง ๆ ของคนเป็นปู่ทวดเผลอยิ้มออกมา
เขาเองก็เพิ่งกลับมาเจอพวกเด็ก ๆ วันนี้เป็นวันแรก เนื่องจากเดินทางไปเที่ยวรอบโลกกับภรรยาตัวเองเพิ่งกลับมา พอดีนัดเจอรวมญาติประจำปีก็เลยได้เจอทุก ๆ คน น่าแปลก ที่เด็ก ๆ พวกนี้ไม่กลัวเขาเลยที่เห็นคนแปลกหน้าครั้งแรก กลับวิ่งเข้ามาเล่นด้วยราวกับเป็นเพื่อนเล่นที่รู้จักกันมาแสนนาน เขาจึงบอกกับหลาน ๆ ตัวเองว่าขอรับเลี้ยงดูเด็กพวกนี้ไปอยู่บ้านสักหนึ่งวัน
คนเป็นปู่ทวดยิ้มออกมาอย่างใจดี ถึงแม้ว่าหน้าจะเหมือนเด็กอายุไม่เกินยี่สิบ แต่แววตาก็ผ่านโลก เจอคนมามากมายนับไม่ถ้วนมองไปยังเหลนชายทั้งสาม
“ปู่มีนิทานอีกเรื่องจะเล่าให้ฟัง อยากฟังไหมล่ะ”
“คุณปู่ทวดยังไม่ตอบคำถามพวกผมเลย” เด็กชายหน้าตี๋พูดแย้งขึ้นมา
คนเป็นปู่ทวดหัวเราะขำ
... นิสัยไม่เคยเปลี่ยน
“สักวันถ้าพวกเราโตพอ ปู่จะบอก”
ตามมาด้วยเสียงร้องโวยวายจากเด็กทั้งสามคนที่ถูกขัดใจ
“เอาน่า ... แต่ปู่มีเรื่องเล่า เล่าให้ฟังได้เยอะเลยนะ มันเป็นเรื่องเพื่อนของปู่ สนุกมากด้วย ถ้าเป็นเด็กดี เดี๋ยวปู่พาไปกินขนมตอนเย็น ตกลงไหม”
เหมือนจะได้ผล เด็กชายสามคนกลับมานั่งฟังตาแป๋ว ไม่ดื้อไม่ซน คนเป็นปู่ทวดหัวเราะกับความไร้เดียงสาของเด็ก ๆ ก่อนเริ่มเล่าเรื่องราวออกมา
“ปู่มีเพื่อนสนิทอยู่สามคน ชื่อชาบู อิฐ แล้วก็แมทธิว ...”
เมฆขาวล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าอย่างอ้อยอิ่งไปตามกาลเวลาที่ผ่านไป ...
เด็กชายทั้งสามคนหลับไปตั้งแต่ตอนไหนแล้วก็ไม่รู้ เขามัวแต่เล่าเรื่องในอดีตจนเพลิน มองหน้าหลานชายทั้งสามของตัวเองที่หลับตาพริ้มก่อนเอามือไปลูบผมเด็ก ๆ เหล่านั้นเล่น
ได้แต่คิดเรื่องราวที่ผ่านมา ... กี่ปีแล้วนะ
“อีกไม่นาน กูคงได้กลับไปเป็นเพื่อนกับพวกมึงอีกครั้ง ...”
ยมทูตวัยใกล้เกษียณพูดออกมาเบา ๆ มองเหลนชายสามคนของตัวเองที่นอนหลับตาพริ้มกันอยู่ใต้ต้นไม้ พร้อมกับรอยยิ้มแสนอ่อนโยน เขารู้ดีว่าเด็กพวกนี้เคยเป็นอะไรกับเขา
คิดถึงพวกมึงจัง ...
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ... พวกมึงคือเพื่อนกูเสมอ
เกินกว่าคำว่ารัก มันมากกว่าคำว่าผูกพัน
แค่พูดว่าเราเป็นเพื่อนกัน เท่านั้นพอ
เราต่างก็รู้กันในความหมาย
ซึ้งกับคำคำนี้ วันแรกจนนาทีสุดท้าย
ไม่รู้ชีวิตนี้ฟ้าจะส่ง เพื่อนที่จริงใจ
มากี่คน ที่รู้คือตอนนี้ได้เจอแล้ว*
เกินกว่ารัก มากกว่าผูกพัน - หั่ง ทีฑทัศน์*
จบ
”
ขอบคุณที่ติดตามกันมาจนถึงตอนสุดท้ายของเรื่องครับ รักทุกคน พระอาทิตย์สีแดง :)