บทที่ 8 การชี้นำ
เด็ก ๆ ทั้ง 5 ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ต่อหลักคำสอนที่ซีเว่ยตั้งขึ้นมา เนื่องจากพวกเขาไม่เก็ทมุกตลกของเกมจากชีวิตที่แล้วของซีเว่ย และพวกเขาก็ไม่สามารถเข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งในหลักคำสอนของเขาได้
ซีเว่ยไม่ได้รีบร้อนทำตามแผน เขาพาพวกเด็ก ๆ ไปฝังศพชาวบ้านก่อน
มองจากมุมหนึ่ง เขี้ยวมังกรมีสัญชาตญาณและนิสัยเช่นเดียวกับสัตว์ตระกูลแมว พวกมันไม่ได้ล่าเพียงเพราะแค่ต้องการประทังชีวิตเท่านั้น มันล่าเพราะพวกมันชอบความรู้สึกของการล่า ดังนั้นชาวบ้านที่ถูกเขี้ยวมังกรกินจึงมีเพียงส่วนน้อย ชาวบ้านส่วนใหญ่ถูกมันฆ่าตายโดยไร้เหตุผล
หากพวกเขาทิ้งศพไว้ที่นี่ ไม่นานกลิ่นเนื้อเน่าก็จะดึงดูดสัตว์กินเนื้อในบริเวณใกล้เคียงเข้ามาที่นี่ อันที่จริงซีเว่ยเห็นอีกา 2-3 ตัวที่บินวนอยู่บนท้องฟ้าจ้องมองมาที่ศพ
ในฐานะที่ซีเว่ยเป็นชาวจีนก่อนที่เขาจะข้ามมายังโลกใบนี้ เขาถูกสอนให้เคารพผู้ตาย และการจะมอบความสงบสุขให้กับผู้ตายได้ ก็คือการฝังศพให้พวกเขาอย่างเหมาะสม และเมื่อพิจารณาถึงความรู้สึกของเหล่าเด็ก ๆ ที่รอดชีวิต การทิ้งศพไว้ในสภาพนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นชาวบ้านในชนบทห่างไกลก็ตาม
เมื่อมีซีเว่ยอยู่ด้วย ขั้นตอนที่จะต้องใช้เวลามากที่สุดอย่างการขุดหลุมและการฝังศพ ก็ใช้เวลาไม่นานนัก
ก่อนอาทิตย์ตก พวกเขาก็ทำหลุมฝังศพอย่างเรียบง่ายเสร็จ ไม้กางเขนทำจากไม้ตั้งตระหง่านอยู่ที่จุดศูนย์กลางของหมู่บ้าน และยังอยู่บนหลุมศพของพวกชาวบ้านด้วย
เมื่อได้พบความแปลกใหม่ของระบบ มันก็ทำให้พวกเด็ก ๆ ลืมความเศร้าไปชั่วขณะ แต่เมื่อพวกเขาต้องลากศพญาติของพวกเขาไปที่หลุมศพที่ละคน และเฝ้าดูใบหน้าของครอบครัวที่ราวกับว่าพวกเขาแค่กำลังหลับไปเฉย ๆ ค่อย ๆ ถูกปกคลุมไปด้วยเศษดิน พวกเด็ก ๆ ก็เข้าใจแล้วว่าพวกเขาจะไม่ได้พบกับครอบครัวของพวกเขาอีกต่อไป
เอลีน่าและเจสสิก้าต่างพากันร้องไห้โฮ ในขณะที่โจและโกวต้านกำลังร้องไห้อย่างเงียบ ๆ อยู่ข้าง ๆ สีหน้าเอ็ดเวิร์ดดูเศร้ามาก แต่เขาก็เก็บอารมณ์ได้ดีมากเช่นกัน เขาไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยดเดียว แม้ว่ามือของเขาจะกำแน่นมากก็ตาม
“ท่านซีเว่ย เราจะทำยังไงต่อดีคะ?” เอลีน่าถามเสียงเบา ขณะพยายามกลั้นสะอื้น
“อยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่มีความหมาย พรุ่งนี้เช้า จงออกเดินทางไปทางตะวันออก ผ่านเมื่อยูเก้น และไปยังเมืองที่ชื่อโจเนียส ที่ชายแดนของอาณาจักรนอกประตูสีม่วง ที่ที่เรียกกันว่า ‘หุบเขาแห่งความตายที่น่าเศร้า’ จะมีเมืองเล็ก ๆ รอพวกเจ้าอยู่ที่นั่น” ซีเว่ยบอกหลังจากเห็นสายตาของพวกเด็ก ๆ จ้องมาที่เขา “นั่นจะเป็นจุดหมายปลายทางของเจ้า และเป็นที่ที่ศาสนจักรของเราจะเติบโต มันคือหมู่บ้านเริ่มต้นของผู้เล่นทุกคน…”
“แต่เราไม่เคยไปไกลจากหมู่บ้านเคนนิงตันมาก่อน…” เอลีน่าพูดขณะที่เธอเอามือกุมไว้แนบอก ท่าทางของเธอคล้ายกับนกพิราบที่กำลังหัดบิน
“เด็กน้อย ทุกอย่างย่อมมีครั้งแรกเสมอ จงออกเดินทางด้วยความภาคภูมิใจ เพราะเจ้าได้รับพรจากเทพเจ้าแห่งเกมผู้ยิ่งใหญ่” ซีเว่ยพูดปลอบโยนพลางลูบหัวเธอเบา ๆ
"แต่…"
เอลีน่ายังคงก้มหน้าอย่างกังวล
ทันใดนั้นเธอก็ตระหนักได้ว่าฝ่ามือที่ลูบหัวเธออย่างอ่อนโยนเมื่อครู่ได้หายไปแล้ว
“ท่านซีเว่ย?” เอลีน่ามองไปรอบ ๆ แต่เธอก็หาเขาไม่พบ
เด็กคนอื่น ๆ ส่ายหัวราวกับว่าพวกเขาเพิ่งจะตื่นจากความฝัน
“นายท่านผู้ใหญ่ไปไหนแล้ว” โจขมวดคิ้วถามอย่างงง ๆ
"ข้าไม่รู้ พวกเจ้าก็ไม่เห็นเหรอ” โกวต้านเกาหัวตัวเอง
“ข้าก็ไม่เห็นเหมือนกัน แต่รู้ตัวอีกทีเขาก็หายไปแล้ว…” เจสสิก้าพูดอย่างสงสัย
“ถ้าข้าจำไม่ผิด…” เอ็ดเวิร์ดที่โตที่สุดในหมู่พวกเขาพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน
สายตาของคนที่เหลือมองมาที่เอ็ดเวิร์ดที่กำลังนึกอะไรบางอย่างอยู่
“เมื่อก่อนข้ากับพ่อข้าเคยไปที่เมือง ข้าเคยได้ยินมาว่า แม้แต่อัครมุขนายกของเทพบิดรทั้งเจ็ด ก็ไม่มีคุณสมบัติในการแต่งตั้งนักบุญ” เอ็ดเวิร์ดอธิบายอย่างช้า ๆ
“งั้นลุงซีเว่ยก็เป็นถึงพระสันตปาปาน่ะสิ!” โกวต้านร้องออกมาด้วยความตกใจ
“ไม่นะ พระสันตะปาปาคงไม่ออกจากโบสถ์หลักของศาสนจักรไปไหนมาไหนคนเดียวแบบนี้หรอก เว้นแต่จะจำเป็นจริง ๆ” เอ็ดเวิร์ดกล่าวย้ำพร้อมกับส่ายหัว “ถ้าจะพูดให้ถูก มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาจะเป็นผู้ถูกเลือก แต่…ข้ากลับไม่รู้สึกว่าเขาเหมือนผู้ถูกเลือกเลยสักนิด…”
“เจ้ากำลังพยายามจะพูดอะไร เอ็ดเวิร์ด” โจที่เป็นพวกสมองกล้ามรีบถาม
เจสสิก้าดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ดวงตาของเธอเบิกกว้างอย่างตกใจ "เจ้าหมายถึง…?!"
“ใช่ ข้าเชื่อว่าท่านซีเว่ยอาจเป็นร่างอวตารของเทพเจ้าอย่างที่ในตำนานเคยกล่าวไว้!” เอ็ดเวิร์ดไม่ยื้อคำตอบอีกต่อไป เขาเฉลยทันที
"เป็นไปไม่ได้!" โจส่ายหัวด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ
“ขะ ข้าก็คิดว่ามันเหลือเชื่อเกินไป!” เจสสิก้าเห็นด้วยกับโจ
“อย่าลืมว่าพวกเราทั้ง 4 เป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา! มีเพียงเอลีน่าที่มีคุณสมบัติเป็นนักบุญหญิง ปกติแล้วเทพเจ้าจะไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตาเลยสักนิด ไม่ต้องพูดถึงพรของเทพเจ้า! ถ้าเขาไม่ได้เป็นเทพจริง ๆ และถ้าเราไม่ร้องขอ เขาจะมอบระบบอันล้ำค่านี้ให้กับแก่เราได้ยังไง พวกเรามีบุญอะไร” เอ็ดเวิร์ดพูดออกมาด้วยความหลงใหล มีประกายไฟลุกโชนในดวงตาของเขา
“คิดดูสิ! เขาได้ทิ้งคำแนะนำไว้ให้เราก่อนที่เขาจะหายไปในช่วงเวลาสั้น ๆ นั่นไม่เหมือนวิวรณ์ของเทพเจ้าเหรอ”
เมื่อได้ยินคำอธิบายของเอ็ดเวิร์ด คนอื่น ๆ ก็เริ่มจะเชื่อ
“งั้น…ข้าก็พึ่งถูกเทพเจ้าตั้งชื่อให้นะสิ!” โกวต้านอ้าปากค้าง เขาตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น “นี่พวกเจ้าจะเรียกข้าว่าโกวต้านไม่ได้อีกแล้วนะ ต่อไปนี้จงเรียกข้าว่าโตวก้าน!”
“ได้โกวต้าน” “เข้าใจแล้วโกวต้าน” “ไม่มีปัญหาโกวต้าน!” อีกสามคนตอบทันที ในขณะที่เอลีน่าพยายามกลั้นยิ้มจนหน้าเบี้ยวอยู่ข้าง ๆ
โกวต้านพูดไม่ออก
“สรุป ข้าเชื่อว่าเส้นทางของเราในตอนนี้ชัดเจนมาก” เอ็ดเวิร์ดไอกลบเกลือน และพูดต่อด้วยสีหน้าจริงจัง “ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม พรุ่งนี้เช้าเราจะมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก ตามคำสั่งของเทพเจ้าแห่งเกม!”
อีก 4 คนไม่ขัดข้อง พวกเขารีบกลับไปที่บ้านของตัวเองและใช้เวลาคืนสุดท้ายอยู่ในหมู่บ้านที่พวกเขาอาศัยอยู่มานานกว่า 10 ปี…
☆
ซีเว่ยที่กลับไปยังอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเขา กำลังใช้ดวงตาศักดิ์สิทธิ์มองลงมายังเหล่าสาวกตัวน้อย สิ่งที่พวกเขาคุยกันได้ทำให้ซีเว่ยประหลาดใจอย่างมาก
เขาไม่คิดเลยว่าเอ็ดเวิร์ดจะสามารถสรุปตัวตนที่แท้จริงของเขาได้ แม้ว่าวิธีเดาของเขาจะดูยุ่งเหยิ่งไปหน่อย แต่เขาก็สามารถหาคำตอบที่ถูกต้องได้...
เมื่อเห็นเด็กทั้ง 5 กลับมาร่าเริงอีกครั้ง เขาก็ยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ (แม้ว่าเขาจะไม่มีหน้าก็ตาม)
ตามที่คาดไว้ การเลือกเด็ก ๆ มาเป็นสาวกกลุ่มแรกเป็นทางเลือกที่ดีจริง ๆ
ไม่เพียงแต่พวกเขาจะยอมรับสิ่งต่าง ๆ ได้ง่ายเท่านั้น พวกเขายังสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้ไวด้วย และเมื่อพวกเขาประสบกับความทุกข์ใจ พวกเขาก็จะกลับมาร่าเริงได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่
“ถ้าเป็นอย่างนั้น ฉันก็จะช้าไม่ได้แล้ว ฉันต้องเตรียมการทั้งหมดให้เสร็จก่อนที่พวกเขาจะมาถึงเมืองเริ่มต้น”
ตอนนี้ความกังวลของเขาหายไปหมดแล้ว เขาจะไม่มีวันดับสูญแน่ เนื่องจากเขามีผู้ศรัทธาที่แท้จริง 4 คนและผู้ศรัทธาที่เคร่งศาสนาอีกหนึ่งคน เขาสามารถใช้พลังงานเทพได้มากขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการมาถึงของพวกเขา
--------------------------------------------------------------------------------------------