บทที่ 4 เขี้ยวมังกร
“เอลีน่า เจ้าไปเยี่ยมนักบวชคนนั้นอีกแล้วรึ” ผู้ใหญ่บ้านที่ยืนอยู่ตรงทางเข้าหมู่บ้านเคนนิงตันอดไม่ได้ที่จะถาม เมื่อเห็นเอลีน่าวิ่งกลับเข้ามาจากด้านนอก
“ค่ะปู่!” เอลีน่าตอบอย่างมีความสุข
“เจ้าควรรักษาระยะห่างจากเขาไว้จะดีกว่านะ เด็กน้อย” ผู้ใหญ่บ้านแนะนำอย่างเข้มงวด “เขาน่าสงสัยเกินไป”
“แต่ท่านซีเว่ยเพิ่งช่วยรักษาลุงเพียร์ซไปเมื่อวาน…?” เอลีน่าถามอย่างงง ๆ
“ใช่ และเขาไม่ได้ขอเงินค่าตอบแทนแม้แต่เหรียญทองแดงเดียว ถ้าเป็นนักบวชจากในเมือง จำนวนเงินที่ต้องใช้ในการรักษาอาการบาดเจ็บระดับนั้น เราอาจต้องจ่ายไม่ต่ำกว่า 300 ริออน!” ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้าก่อนจะพูดอย่างจริงจัง “นี่คือเหตุผลที่ข้าไม่เชื่อว่าเขาเป็นคนดี เด็กน้อย ฟังข้าแล้วอย่าไปเจอเขาอีก เจ้าเข้าใจไหม”
ผู้ใหญ่บ้านเคนนิงตันอายุเกิน 60 ปีแล้ว เขาอาจถือได้ว่าเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีอายุยืนยาวมากในโลกใบนี้ ความสูงวัยของเขา ทำให้เขามีความรู้และประสบการณ์มากกว่าชาวบ้านทั่วไป
ถ้าซีเว่ยขออะไรตอบแทน เช่นเงินหรือหญิงสาวจากหมู่บ้าน เขาก็คงจะไม่กังวลมากนัก แต่คนประเภทนี้ที่ดูเหมือนไม่ต้องการอะไรตอบแทน กลับอันตรายที่สุดในความคิดของเขา
ในอดีตเคยมีบุคคลเช่นนี้มาปรากฏตัวที่หมู่บ้านใกล้เคียงแห่งหนึ่ง เขาดูเป็นมิตรและเข้าถึงได้ง่าย เขาช่วยชาวบ้านซ่อมอาคารและทำงานในฟาร์ม ไม่นานเขาก็ได้รับการยอมรับจากชาวบ้านผู้บริสุทธิ์
แต่ไม่นาน เหตุการณ์ก็พลิกผัน ชายคนนั้นคือสมาชิกของลัทธิบ้าที่คลั่งไคล้เทพเจ้าชั่วร้าย ขณะที่เขาได้รับความไว้วางใจจากชาวบ้าน เขาก็ใช้เวลาเกือบปีในการเปลี่ยนหมู่บ้านให้เป็นเวทีบูชายัญ เขาฆ่าชาวบ้านและสังเวยเลือดเนื้อของพวกเขาทั้งหมดในชั่วข้ามคืน!
เมื่อกองทหารอาสามาถึงหมู่บ้าน ความมีชีวิตชีวาและความเจริญรุ่งเรืองแต่เดิมก็ได้ถูกทำลายจนหมดสิ้น มันกลายเป็นฉากประหลาดของซากศพที่ถูกลูกสมุนของเทพเจ้าชั่วร้ายกัดกิน...
ผู้ใหญ่บ้านก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของกองทหารอาสาในวันนั้น และเขาจะไม่มีวันลบภาพที่ชั่วร้ายนั่นออกจากหัวของเขาได้ตลอดชีวิต
“ท่านซีเว่ยไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ปู่พูดหรอกนะ!” เอลีน่าเถียงกลับอย่างโกรธ ๆ
ผู้ใหญ่บ้านกำลังอ้าปากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นร่างของชายคนหนึ่งรีบวิ่งมาจากทิศตะวันตกของหมู่บ้านด้วยความตื่นตระหนก
“ผู้ใหญ่บ้าน แย่แล้ว!” ชายคนนั้นพูดขณะพยายามหอบหายใจ “ทีมล่าสัตว์ของเราพบมูลเจ้าเขี้ยวมังกร มันยังใหม่อยู่เลย มันอยู่ในป่าไม่ไกลจากหมู่บ้านเรา! เพียร์ซก็บอกว่าไอ้ตัวที่โจมตีเขา…” พูดไปได้ครึ่งทางเขาก็เงียบลง เพราะเขาสังเกตเห็นเด็กผู้หญิงที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ
เขารีบเปลี่ยนเรื่องพูดทันที “เหตุการณ์แปลก ๆ ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านใกล้ ๆ บางทีพวกเขาอาจถูกเขี้ยวมังกรโจมตี ตอนนี้มันมาถึงเขตป่าของเราแล้ว บางทีมันอาจมุ่งหน้ามาทางเรา…”
ไม่รู้ว่าเขี้ยวมังกรคืออะไร เอลีน่าเอียงคออย่างสงสัยขณะฟังผู้ใหญ่ 2 คนคุยกัน
"อะไรนะ?!" ผู้ใหญ่บ้านร้องอุทาน ใบหน้าของเขาซีดเผือก ร่องรอยบนใบหน้าของเขาลึกขึ้นจนทำให้เขาดูแก่ชราลงไปหลายปี
เขี้ยวมังกรเป็นสัตว์ที่ดุร้ายและกระหายเลือดมาก มันคือสัตว์ที่อยู่กึ่งกลางระหว่างสัตว์ป่าและสัตว์ประหลาด ขนาดของมันใหญ่เป็น 2 เท่าของเสือและสิงโต มันมีความแข็งแกร่งที่สามารถฆ่าหมูป่าได้ด้วยการตะปบเพียงครั้งเดียว และมีกระดูกที่แหลมคมรูปร่างเหมือนเขี้ยวมังกรอยู่ที่ปลายหาง อีกทั้งตัวของมันก็ถูกปกคลุมด้วยเกราะกระดูก ทำให้แม้แต่นักล่าที่ร่วมมือกัน 3-5 คนก็ไม่อาจล้มมันลงได้
แต่สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่า ก็คือความจริงที่ว่าเขี้ยวมังกรนั้นทั้งเจ้าเล่ห์และโหดร้าย มันชื่นชอบรสชาติของมนุษย์ โดยเฉพาะสมองของมนุษย์ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกมันจึงมักจะลอบเข้าไปในหมู่บ้านห่างไกลเพื่อหาเหยื่อ และเหยื่อที่มันโปรดปราณก็คือเหล่าเด็กเล็กและผู้อ่อนแอที่ไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ โดยมันจะใช้หนามแหลมที่หางเจาะกะโหลกของพวกเขา และกินสมองของพวกเขาแบบสด ๆ นั่นคือทั้งหมดที่มันทำ โดยที่ไม่ยุ่งกับสัตว์เลี้ยงในฟาร์มเลยสักตัว
“ให้ทีมล่าสัตว์หยุดออกล่าและเฝ้าระวังรอบหมู่บ้าน คืนนี้ข้าจะรวบรวมเงินจากทุกคน…เจ้าเป็นนักวิ่งที่เร็วที่สุดในหมู่บ้าน พรุ่งนี้เช้าเจ้านำเงินติดตัวไปที่เมืองยูเก้น และขอความช่วยเหลือจากศาสนจักร ให้พวกเขาส่งพาลาดินมาช่วยเรา!” ผู้ใหญ่บ้านสั่งและกำชับอีกว่า “จำไว้ ว่าเจ้าสามารถขอความช่วยเหลือจากศาสนจักรสีขาวอันสว่างไสว หรือวิหารแห่งความรุ่งโรจน์ได้เท่านั้น!”
ชายหนุ่มพยักหน้า ขณะที่เขากำลังจะตอบรับ ก็มีเสียงกังวานดังมาจากหอสังเกตการณ์ทางทิศตะวันตกของหมู่บ้าน
ทันใดนั้นสีหน้าของผู้ใหญ่บ้านและชายหนุ่มก็เปลี่ยนไป
หมู่บ้านที่ค่อนข้างเงียบสงบ จู่ ๆ ก็เดือดขึ้นมา ชาวบ้านจำนวนมากรีบร้อนเปิดประตูออกมารวมกลุ่มกันปกป้องหมู่บ้านด้วยอาวุธง่าย ๆ ในครัวเรือนของแต่ละคน
ในตอนนั้นเอง เสียงระฆังก็หยุดลงอย่างกะทันหัน และถูกแทนที่ด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวน
จากนั้นหอสังเกตการณ์ไม้ก็พังทลายลง จากกองเศษไม้ที่ร่วงลงมามีสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งที่ดูเหมือนหมาป่า แต่มีขนาดตัวใหญ่กว่ามาก ตั้งแต่หัวถึงหางของมันปกคลุมไปด้วยเกราะกระดูก มันย่างก้าวออกมาจากเศษซากหอสังเกตการณ์อย่างช้า ๆ หางแหลมที่น่ากลัวขยับไหวเบา ๆ ขณะที่ในปากของมันมีแขนมนุษย์เปื้อนเลือดถูกคาบไว้อยู่
แม้ว่ามันจะยืนสี่ขา แต่ระดับสายตาของมันก็อยู่ในระดับเดียวกับมนุษย์ เห็นได้ชัดเลยว่าตัวมันแข็งแกร่งและทรงพลังกว่าเขี้ยวมังกรทั่วไปมาก!
“วิ่ง! เอลีน่า!”
ผู้ใหญ่บ้านผลักเด็กหญิงไปข้างหลังและใช้ร่างตัวเองกับชายหนุ่มยืนบัง กันไม่ให้สัตว์ร้ายเห็นว่าเธอแอบหนีไปทางไหน
ในช่วงเวลานี้ มีชาวบ้านที่พยายามโจมตีเขี้ยวมังกร แต่มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น สัตว์ประหลาดมีพลังมากพอที่จะแยกร่างมนุษย์ออกเป็นสองซีก พร้อมกับทำลายอาวุธของพวกเขาด้วยการกัดเพียงครั้งเดียว และมันยังทุบหัวมนุษย์เละเหมือนแตงโมได้ง่าย ๆ ด้วยการแกว่งหางของมัน ไม่ต้องพูดถึงกรงเล็บของมันที่สามารถทิ้งรอยบากไว้บนแผ่นหินที่แข็งแกร่งที่สุดได้อย่างง่ายดาย
ยังไม่หมดแค่นั้น เขี้ยวมังกรยังรวดเร็วและว่องไวมาก แม้แต่ลูกธนูที่นักล่าภาคภูมิใจ ก็ไม่สามารถโจมตีโดนมันได้ และถึงจะบังเอิญมีลูกธนูหนึ่งหรือสองลูกยิงถูกเขี้ยวมังกร มันก็จะถูกสะท้อนออกไปโดยเกราะกระดูกที่หุ้มอยู่บนตัวมัน ทำให้ธนูไม่สามารถสร้างความเสียหายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ชาวบ้านไม่มีโอกาสชนะเลย
เอลีน่ารู้สึกกลัวมาก แข้งขาของเธออ่อนยวบจนแทบจะยืนไม่อยู่ เธอรู้ดีว่าแม้เธอจะอยู่ที่นี่ เธอก็ช่วยอะไรพวกชาวบ้านไม่ได้เลย แต่เธอก็ไม่สามารถหนีเอาตัวรอดไปคนเดียวได้ เพราะเหล่าคนที่เป็นเหมือนดั่งครอบครัวของเธอ กำลังจะถูกสัตว์ประหลาดสังหารอย่างเลือดเย็น
สติของเธอกลับมาหลังจากหัวเธอขาวโพลนไปชั่วขณะจากความกลัว ทันใดนั้นเธอก็นึกถึงคนคนหนึ่งขึ้นมาได้
“ท่านซีเว่ย! ใช่! ถ้าเป็นเขา…”
แม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่า ‘เทพเจ้าแห่งเกม’ เป็นเทพเจ้าประเภทใด แต่เธอก็รู้ว่าถ้าซีเว่ยสามารถแต่งตั้งนักบุญได้ เขาก็จะต้องเป็นคนที่แข็งแกร่งอย่างแน่นอน!
ถ้าเป็นเขา บางทีอาจจะมีวิธีขับไล่สัตว์ประหลาดตัวนี้ออกไปจากหมู่บ้านได้!
เธอสะกดข่มความกลัวในใจ และรวบรวมพลังเพื่อให้ขาที่อ่อนยวบของเธอมีแรงก้าวเดิน เธอต้องไปถึงกระท่อมหินนอกหมู่บ้านให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ระหว่างทางเธอสะดุดและล้มลงหลายครั้งด้วยความเร่งรีบ รอยฟกช้ำปรากฏขึ้นตามตัวเธอ แต่เธอก็ยังคงกัดฟันทนต่อความเจ็บปวด และกลั้นใจวิ่งต่อไป ในที่สุดเธอก็มาถึงกระท่อมหิน เธอลงมือเคาะประตูไม้ที่ชำรุดนั่นอย่างสุดกำลัง
โชคดีที่ประตูยังคงเปิดต้อนรับเธอเช่นเดิม ด้านหลังประตูเผยให้เห็นใบหน้าของซีเว่ยที่ไม่ได้หล่อเหลาอะไรเป็นพิเศษ แต่ก็มีเสน่ห์น่ามอง
"ท่านซีเว่ย ได้โปรดช่วยทุกคนในหมู่บ้านด้วย!"
"เกิดอะไรขึ้น" ซีเว่ยถามอย่างแปลกใจ เขามองไปที่รอยฟกช้ำตามตัวของเด็กหญิง
ในฐานะที่เขาเป็นเทพเจ้า ซีเว่ยมีดวงตาศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถเฝ้ามองทุกสิ่งได้ (ยกเว้นบางพื้นที่ที่ปกคลุมไปด้วยอิทธิพลของเทพเจ้าองค์อื่น) แต่เนื่องจากเขายังอ่อนแอ ในตอนนี้เขาจึงเห็นได้เพียงภาพที่คลุมเครือเหมือนมองจากกล้องวงจรปิดคุณภาพต่ำ และความสามารถนี้ก็สิ้นเปลืองพลังศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเขาจึงใช้มันเพียงครั้งหรือสองครั้งกับเอลีน่าเท่านั้น เพื่อที่จะเข้าใจตัวเธอให้ดีขึ้นและวางแผนโน้มน้าวเธอมาเป็นนักบุญ นอกนั้นเขาก็ไม่ได้ใช้มันเลย (ไม่ใช่เพราะเขาเป็นโลลิคอนนะ)
เอลีน่ารีบอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นกับหมู่บ้าน
“ได้โปรดช่วยเราด้วย” เอลีน่าร้องไห้ขณะขอร้อง “ถ้าท่านสามารถช่วยหมู่บ้านของเราได้ ไม่ว่าจะต้องเป็นนักบุญหรืออะไรหนูก็จะทำ!”
“ศรัทธาไม่ใช่สิ่งที่จะแลกเปลี่ยนกันได้ด้วยการตอบแทน” ซีเว่ยกล่าวอย่างใจเย็น
“แต่…” เอลีน่าร้อนรน นอกจากตัวเธอเองแล้ว เธอก็ไม่มีอะไรที่เธอสามารถใช้เพื่อแลกเปลี่ยนกับความช่วยเหลือของเขาได้
“ไม่เป็นไร ยังไงก็พาข้าไปที่หมู่บ้านดูก่อน”
ความจริงแล้วซีเว่ยไม่ได้ต้องการสิ่งใดตอบแทน เขาเพิ่งข้ามมาเป็นเทพเจ้าเพียงไม่นาน เขายังคงมีความคิดแบบมนุษย์อยู่และเขาก็ต้องการช่วยพวกชาวบ้านเช่นกัน
มันก็แค่…ถ้าเขาลงมือช่วยเหลือ ช่วงเวลาการปรากฏตัวในแดนมรรตัยของเขาจะสั้นลงก็เท่านั้น
เขาได้แต่คิดอย่างปลง ๆ
----------------------------------------------