บทที่ 3 เอลีน่า
“ข้ามีแต่ชา เจ้าดื่มชาได้ไหม”
เขาอยู่ที่กระท่อมนี้มาเพียง 3 วัน ที่นี่จึงไม่ค่อยมีอะไรไว้ต้อนรับแขก และเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเสียพลังงานเทพที่เขามีเพื่อสร้างมัน
ซีเว่ยเคยมีชีวิตมาแล้วทั้งสองโลก ทั้งตอนที่เขาเป็นมนุษย์และเทพเจ้า แต่ 3 วันมานี้เป็น 3 วันที่ซีเว่ยมีชีวิตยากจนที่สุด
เขาไม่มีทั้งโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ และแอพสั่งอาหาร...
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่น้ำต้มสุกหนูก็ดื่มได้ค่ะ!” เอลีน่าตอบ ผมสีเงินของเธอสั่นไหวเป็นจังหวะขณะที่เธอโยกตัวอย่างตื่นเต้นบนเก้าอี้
หลังจากรินชาให้เธอหนึ่งแก้ว ซีเว่ยก็หยิบจานออกมา เขาวางเนื้อย่างชิ้นใหญ่จากตะกร้าลงบนจาน บรรจงหั่นมันเป็นชิ้นเล็ก ๆ อย่างชำนาญ จากนั้นก็เสิร์ฟมันบนโต๊ะไม้เก่าตรงหน้าเด็กหญิง
ดวงตาของเด็กหญิงเป็นประกาย เธอเอื้อมมือไปหยิบเนื้อชิ้นหนึ่งทันที ขณะที่เธอกำลังจะเอามันใส่ปาก เธอก็สังเกตเห็นว่าซีเว่ยกำลังจ้องมองเธออยู่ เธอจึงระงับความตะกละและกินมันอย่างมีมารยาทเหมือนเด็กที่ถูกอบรมมาอย่างดีแทน
“เจ้าไม่ต้องสนใจข้าเหรอ กินได้ตามสบาย” ซีเว่ยพูดพร้อมกับส่งยิ้มแบบป่วย ๆ ออกมา
“ไม่ค่ะ พ่อของหนูบอกว่าหนูต้องสุภาพและมีมารยาทเสมอเวลากิน” เอลีน่ากล่าวอย่างจริงจัง
“โอ้?” ซีเว่ยเลิกคิ้ว
ถ้าจำไม่ผิดเอลีน่าเป็นเด็กกำพร้าที่ปัจจุบันอาศัยอยู่กับลุงของเธอสินะ
“โอ้? ของท่านหมายความว่าอย่างไร ท่านไม่เชื่อเอลีนา!” เจ้าตัวเล็กพูดเสียงขรึมด้วยความไม่พอใจ แต่มุมปากของเธอยังมีคราบซอสเนื้อย่างเปื้อนอยู่ ทำให้เธอไม่ได้ดูน่ากลัวเลยสักนิด
“ไม่ ข้าแค่แปลกใจที่มีคนจากหมู่บ้านห่างไกลอย่างเคนนิงตัน ให้ความสำคัญกับการสอนมารยาทบุตรหลานเช่นนี้” เขาอธิบาย
จริง ๆ แล้วสิ่งที่เขาพูดนั้นเหมือนเป็นการดูหมิ่นคนในหมู่บ้านเคนนิงตัน ถ้าชาวบ้านคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านอยู่ที่นี่ ซีเว่ยจะไม่มีทางพูดแบบนั้นออกไป แต่ในช่วง 2-3 วันที่เขาได้รู้จักกับเอลีน่า เขาก็รู้ดีว่าเด็กหญิงไม่ใช่คนคิดมากและปากสว่าง ดังนั้นเขาเลยชอบคุยเรื่องไร้สาระกับเด็กคนนี้
แน่นอนว่าเอลีน่าไม่ได้ตะหนักถึงเรื่องนี้เลย เธอทำหน้ามุ่ยและบ่นว่า “ก่อนที่พ่อของหนูจะตาย เขาได้บอกหนูว่าแม่เคยเป็นเลดี้จากตระกูลขุนนาง และวันหนึ่งหนูอาจมีโอกาสได้พบกับญาติของแม่ในอนาคต เพราะเรื่องนั้น ทำให้หนูต้องฝึกใช้มารยาทของเลดี้อยู่เสมอ แม้ว่าหนูจะคิดว่าการทำตามมารยาทพวกนั้นมันยาก…แต่หนูก็ต้องทำ”
เมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูด ซีเว่ยก็แทบจะจินตนาการถึงละครดราม่าแนวรักแฟนตาซียุคกลางแบบคลาสสิคที่มี 10 ซีซั่น 120 ตอนออกมาได้เลย...
อย่างไรก็ตามในฐานะเทพเจ้า เขาไม่ได้สนใจเรื่องครอบครัวของมนุษย์มากนัก ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนหัวข้ออย่างรวดเร็ว
“เอลีน่า ชาวบ้านในหมู่บ้านของเจ้าส่วนใหญ่ศรัทธาเทพเจ้าองค์ใดรึ” เขาถามอย่างระมัดระวัง
“พ่อของหนูศรัทธาเทพเจ้าแห่งการล่าสัตว์และเทพธิดาแห่งพงไพร ปู่ผู้ใหญ่บ้านและป้าของหนู ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งการเก็บเกี่ยวและเจ้าแห่งขุนเขา พ่อหวังว่าหนูจะศรัทธาเทพเจ้าแห่งแสงสว่างเหมือนแม่…” เธอเล่าขณะนับนิ้วตามแต่ละคนที่เธอพูดถึง
“การศรัทธาเทพเจ้าแห่งการเก็บเกี่ยวมีประโยคหรือไม่ พืชผลในหมู่บ้านดีขึ้นหรือไม่” ซีเว่ยถาม
“อืม…อาจจะ เพิ่มนิดหน่อย” เอลีน่าตอบอย่างเหม่อ ๆ แต่เมื่อพิจารณาจากการแสดงออกของเธอ เธอก็ดูไม่เชื่อคำตอบของตัวเองเช่นกัน
“ข้าก็ไม่ได้ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งการเก็บเกี่ยว หรือเป็นส่วนหนึ่งของลัทธิธรรมชาติระดับล่างอื่น ๆ เจ้าพูดได้ตามสบาย”
“…ที่จริงมันไม่มีประโยชน์เลย ปีที่แล้วมันฝรั่งที่เราปลูกไม่พอจ่ายภาษี ปู่ผู้ใหญ่บ้านเกือบจะถูกเจ้าหน้าภาษีบีบให้ตาย!” เอลีน่าบ่นอย่างไม่พอใจ
ซีเว่ยพยักหน้าอยู่ในใจ ตามที่คาด สามัญชนส่วนใหญ่จะบูชาเทพเจ้ามากว่า 2 องค์ขึ้นไป โดยแบ่งเวลายามว่างอันน้อยนิดที่พวกเขาเหลืออยู่ มาสวดมนต์และอธิษฐานต่อเหล่าเทพ ทำให้พวกเขาหลายคนเป็นเพียงผู้ศรัทธาที่ตื้นเขิน
แท้จริงแล้วข้อกำหนดเบื้องต้นประการหนึ่งสำหรับการรับพรจากเหล่าเทพ พวกเขาจำต้องเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริง หรือถ้าหากพวกเขาศรัทธาในเทพ 2 งองค์ขึ้นไป เทพสององค์ที่พวกเขาบูชา ต้องอยู่ในตระกูลเทพเดียวกัน หรืออยู่ในสายบังคับบัญชาเดียวกัน เช่น เทพธิดาแห่งมหาสมุทร จะมีเจ้าแห่งน้ำอยู่ใต้อาณัติ
การบูชาเทพเจ้าแบบสุ่ม ๆ เช่นนี้ จะทำให้พรที่พวกเขาได้รับจากเทพเจ้านั้นเสื่อมพลังลงอย่างมาก จึงแทบไม่มีปาฏิหาริย์ใด ๆ เกิดขึ้นกับเหล่าชาวนาบนโลกใบนี้ พวกเขายังคงต้องทนทุกข์ทรมานจากสภาพอากาศและภัยธรรมชาติต่อไป
ความจริงแม้ว่าสามัญชนจะทุ่มเทเวลาทั้งหมดของพวกเขาเพื่ออุทิศตนบูชาเทพเจ้า แต่คำอธิษฐานของพวกเขาก็ยังไม่สำคัญพอที่จะดึงดูดความสนใจของเทพได้
ปกติแล้วบนโลกนี้ ไม่มีใครศรัทธาเทพเจ้ามากกว่า 3 องค์ในเวลาเดียวกัน ถ้าพวกเขาทำเช่นนั้น พวกเขาจะถูกมองว่าเป็นผู้ที่มีศรัทธาไม่เหมาะสม เทียบเท่ากับผู้ไร้ศรัทธาที่เป็นพวกนอกรีต
มี 2 เหตุผลที่ชาวบ้านยังคงศรัทธาเหล่าเทพ แม้ว่าชีวิตของพวกเขาจะยังคงทุกข์ยากอยู่เช่นเดิม เหตุผลแรกคือพวกเขาต้องการหาที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ และเหตุผลที่สองคือศาสนจักร สามัญชนมักถูกเอาเปรียบโดยศาสนจักร ศาสนจักรขนาดใหญ่แทบจะผูกขาดการรักษาพยาบาล ความรู้ และการผลิตส่วนใหญ่เอาไว้
ถ้าสามัญชนต้องการการรักษา พวกเขาจะต้องมีศรัทธาต่อเทพเจ้าที่มอบการรักษาให้เขา หากพวกเขาพบโจรหรือสัตว์ร้ายและต้องการความช่วยเหลือจากพาลาดิน พวกเขาจะต้องมีศรัทธาต่อเทพเจ้าองค์เดียวกับเหล่าพาลาดิน และแม้แต่สิ่งของบางอย่างที่พวกเขาจำเป็นต้องซื้อ การจะซื้อมันได้ พวกเขาก็ต้องมีศรัทธาต่อเทพเจ้าบางองค์ที่มีของชิ้นนั้นขาย...
ภายใต้อิทธิพลของสังคมเช่นนี้ แม้ว่าการบูชาเทพจะไม่ได้ช่วยให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้น และแม้แต่ทำให้ชีวิตของพวกเขายากขึ้น สำหรับสามัญชนแล้ว พวกเขาก็ยังต้องเลือกเทพบางองค์เพื่อบูชาอยู่ดี
“ท่านซีเว่ย เทพองค์ใดหรือที่ท่านศรัทธา พระกิตติคุณแห่งชีวิตหรือเทพแห่งแสงผู้ยิ่งใหญ่?” เอลีน่าเอียงคออย่างสงสัย “ศาสตร์การรักษาของท่านทรงพลังมาก เทพเจ้าที่ท่านศรัทธาต้องมีพลังมหาศาลมากแน่!”
ในที่สุดเขาก็นำบทสนทนามาถึงจุดนี้ได้สำเร็จ ซีเว่ยตื่นเต้นมาก “ข้าศรัทธาในเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ที่ลึกลับ!”
"องค์ไหน?" ตามแผน เอลีน่ารู้สึกสนใจและถามออกมาอย่างสงสัย
“เจ้าเคยได้ยินเรื่องเทพเจ้าแห่งเกมไหม”
“เทพเจ้าแห่งเกม…?” เอลีน่าส่ายหัว “หนูไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับพระองค์…”
“เขาคือเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ที่มีอิทธิพลในสิ่งต่าง ๆ มากมายนับไม่ถ้วน! น่าเสียดายเพราะความยิ่งใหญ่และอำนาจที่มากเกินไปของพระองค์ ทำให้เทพเจ้าองค์อื่น ๆ อิจฉา พวกเขาร่วมมือกันผนึกพระองค์เอาไว้ไม่ให้พระองค์ขยายอิทธิพลลงมายังดินแดนมรรตัยได้ ไม่นานพระองค์ก็ถูกลืมเลือนไปจากความทรงจำของเหล่าสรรพสิ่งในแดนมรรตัย” ซีเว่ยพูดกับเด็กหญิงอย่างจริงจัง
“ข้าเป็นนักบวชของเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และหล่อเหลาอย่างร้ายกาจ ‘เทพเจ้าแห่งเกม’ ข้ากำลังออกเดินทางเพื่อตามหานักบุญ…เอลีน่า เจ้าเต็มใจที่จะเป็นนักบุญหญิงภายใต้ศาสนจักรเทพแห่งเกมหรือไม่”
แม้ว่าคำพูดเหล่านี้จะฟังดูเหมือนชายแปลก ๆ ที่พยายามลักพาตัวเด็กสาว แต่ซีเว่ยสาบานเลยว่าเขาไม่ใช่พวกโลลิคอน เขาถามเธอด้วยความบริสุทธิ์ใจจริง ๆ เพราะเธอเป็นคนที่เขาพูดคุยด้วยมากที่สุดในหมู่บ้านเคนนิงตัน
ในขณะเดียวกัน เอลีน่าก็เป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารัก บริสุทธิ์ไร้เดียงสา และมีพรสวรรค์ เธอสามารถเป็นนักบุญหญิงในอุดมคติของเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบแน่นอน
“นะ…นักบุญหญิง?” ปากของเอลีน่าอ้ากว้าง เธอทำตาโตได้อย่างน่ารักน่าชัง
“ใช่นักบุญหญิง! ตราบได้ที่เจ้าเข้าร่วมในศาสนจักรแห่งเกมของเรา เจ้าสามารถเป็นนักบุญหญิงได้ทันที!” ซีเว่ยพยายามชักชวนเด็กสาวให้เข้าร่วมกับเข้า
เอลีน่าพิจารณาสักพักก่อนจะส่ายหัวในที่สุด
“ขอโทษด้วยท่านซีเว่ย หนูขอบคุณในความกรุณาของท่าน แต่หนูยังอยากศรัทธาในเทพเจ้าแห่งแสงสว่างอย่างที่พ่อของหนูต้องการ”
“งั้นเหรอ…” ซีเว่ยถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาล้มเหลวในการชักชวนเธอ
เขาไม่ได้บังคับให้เด็กสาวฟังเขาต่อ เพราะศรัทธาที่แท้จริงไม่สามารถบังคับกันได้
‘ล้มเหลวแฮะ อย่างที่คิดเลย เวลาแค่ 3 ไม่พอให้ฉันลักพาตัวนักบุญเข้าศาสนาได้หรอก...’
โชคดีที่มันไม่ได้สายเกินไป เขายังพอมีเวลา พลังงานศักดิ์สิทธิ์ที่เหลืออยู่ทำให้เขาอยู่ต่อได้อีก 4 วัน ตอนนี้เขาต้องตัดสินใจแล้วว่า เขาจะอยู่ในเคนนิงตันต่อไป หรือจะออกไปหมู่บ้านอื่นเพื่อลองเสี่ยงโชคดู
แม้ว่าเขาจะไม่สามารถหานักบุญเข้าศาสนจักรตัวเองได้ แต่การหาผู้ศรัทธาสัก 2-3 คนก็น่าจะโอเค...
“นั่น…” เอลีน่ามองไปที่เนื้อย่างที่ยังอยู่บนส้อมของเธออย่างอาลัย จากนั้นเธอมองกลับไปที่ซีเว่ย “หนูยังกินมันได้ไหมคะ…?” เธอถามอย่างระมัดระวัง
“กิน กินสิ…” ซีเว่ยถึงกับอึ้งเมื่อเห็นท่าทางเศร้า ๆ ของเธอ “ข้าไม่ได้ใจแคบขนาดนั้น”
-----------------------------------------------