บทที่ 119
แสงอรุณเริ่มทอแสง ฝูงสัตว์อสูรประเภทนกน้อยใหญ่ออกบินหาอาหาร เสียงร้องของสัตว์อสูรแว่วเข้ามา กลิ่นหอมของเนื้อสัตว์อสูรย่างโชยตามลมพัดเข้าไปด้านในถ้ำ เย่เตาลืมตามขึ้นมาโดยความหิวโหยลุกขึ้นเดินออกมาด้านนอกถ้ำ พบเห็นหยางเวยและเนี่ยฟงนั่งทานเนื้อย่างอย่างอร่อย หยางเวยเมื่อเห็นเย่เตาออกมาก็โยนเนื้อย่างเสียบไม้ให้
“สำเร็จหรือไม่ เย่เตา ดูเจ้าคงสูญเสียพลังไปไม่น้อย”
“เกือบไม่รอด โชคดีที่เป็นธาตุไฟเหมือนกัน ต้องขอบคุณเนี่ยฟงอีกครั้ง”
“รีบทานเถอะก่อนที่มันจะเย็นไปเสียก่อน”
ในระหว่างที่เย่เตาทานเนื้อย่างเสียบไม้อยู่ หยางเวยก็เอ่ยถามเนี่ยฟง
“จุดหมายต่อไปของเราคือที่ไหน”
“เขาซือสุ่ย”
เย่เตาที่กำลังทานเนื้อย่างอยู่ถึงกับสำลักออกมา หยางเวยรีบยืนน้ำในกระบอกให้ หลังจากทานน้ำเสร็จเย่เตาเอ่ยวาจาออกมา
“พวกเจ้าจะไปที่เขาซือสุ่ย แล้วรับรู้หรือไม่ว่าเกิดสิ่งใดที่เขาซือสุ่ย”
เนี่ยฟงและหยางเวยทำได้เพียงส่ายศีรษะไปมา
“เอาเป็นว่าข้าจะเล่าบางอย่างให้ฟังจากข่าวที่ข้าได้รับมา เดิมเขาซือสุ่ยตั้งอยู่ทางตะวันตกของเขตดินแดนแห่งดิน เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์อสูรหลากหลายชนิด หลังจากเกิดหอคอยปีศาจเกิดขึ้น เขาลูกนั้นก็กลายเป็นที่อยู่ของปีศาจที่หลบหนีการตามล่า หลายสำนักช่วยกันวางม่านอักขระศักดิ์สิทธิ์ขังพวกปีศาจไว้ด้านใน มีชาวยุทธจำนวนไม่น้อยที่เข้าไปด้านในเขาแต่ก็หาได้ออกมาแม้แต่ผู้เดียว”
หยางเวยได้ยินเช่นนั้นก็ยกยิ้ม พร้อมกับยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาถู
“รีบไปกันเถอะ ข้าอยากรู้ว่าที่นั่นจะมีสมบัติหรือไม่”
เย่เตาถึงกับขมวดคิ้วทั้งสองข้าง
“เจ้าไม่กลัวพวกปีศาจเลยรึ หยางเวย”
เนี่ยฟงหันไปมองเย่เตาพร้อมกับใช้มือขวาวางไว้บนบ่าซ้าย
“เจ้ายังต้องแปลกใจอีกเยอะเย่เตา รีบทานเถอะจะได้ออกออกเดินทาง”
หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นทั้งสามก็ลงจากหน้าผามุ่งหน้ากลับเข้าเมืองอีกครั้ง เสียงตะโกนเสียงดังแว่วเข้ามาจากด้านข้าง ชายหนุ่มทั้งสามรีบกันไปมองตามทิศทางของเสียง
“พวกเจ้าทั้งสามหยุดเดี๋ยวนี้”
ทันทีที่ทั้งสามหันไปมอง ก็พบเห็นชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งผิวขาว มัดผมหางม้าสวมชุดสีเขียวขลิบขาว ถือกระบี่ไว้ที่มือซ้าย ด้านหลังมีชายฉกรรจ์อีกห้าคนยืนเฝ้าระวังอยู่ ทั้งหกจ้องมองชายหนุ่มทั้งสามอย่างไม่วางตา หยางเวยเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“มีสิ่งใดขอรับพี่ชาย”
“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าใครสังหารสัตว์อสูรที่อยู่บนผานั้น”
หนึ่งในชายฉกรรจ์ห้าคนด้านหลังเอ่ยถาม
“ไม่ทราบขอรับ พวกข้าก็ขึ้นมาบนเขาเพื่อตรวจสอบเช่นกัน แต่ก็ไม่พอเจอสิ่งใด”
ในระหว่างนั้นทั้งสามก็ยืนรอคนทั้งหกพูดคุยกันอยู่นานจนหยางเวยเริ่มหมดความอดทน
“พี่ชายจะให้พวกข้าลงเขาได้หรือยังขอรับ”
ชายสวมชุดเขียวแสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์หันมามองหยางเวย
“ได้แต่พวกเจ้าต้องวางแหวนที่อยู่ในมือไว้ที่นี่”
แทนที่หยางเวยจะตื่นตกใจกลับแสยะยิ้มยกมือทั้งสองขึ้นมาถู
“พี่ชายกล่าวมาเช่นนี้แสดงว่าคิดจะปล้นพวกข้า”
“อย่ากล่าวเช่นนั้นเรียกว่าค่าผ่านทางจะดีกว่า อย่างไรเสียคิดซ่ะว่าเป็นโชคของเจ้าก็แล้วกันที่มาพบกับข้านายน้อยซือจุยหลงผู้นี้”
“เช่นกันขอรับ ดูจากการแต่งตัวของนายน้อยซือจุยหลงแล้วคงนำสมบัติติดตัวมาไม่น้อยเช่นกัน หวังว่าท่านจะร่ำรวยจริงดังที่กล่าวอ้าง”
ชายฉกรรจ์ทั้งห้าคนได้ยินสิ่งที่ชายหนุ่มด้านหน้ากล่าว ก็ขมวดคิ้วขึ้นสะบัดมือกำชับอาวุธในมือแน่น หยางเวยแสยะยิ้มก้าวเดินมาข้างหน้า สะบัดมือขวาเรียกมีดอันแปลกประหลาดออกมา ซือจุยหลงทำได้เพียงชี้กระบี่ไปที่ชายหนุ่มที่เอ่ยวาจาออกมา
“นี้”
“ลงมือเถอะนายน้อยซือจุยหลง ข้าเองก็อยากรู้แล้วว่าตัวท่านจะนำสมบัติติดตัวมาเท่าไร”
กล่าวสิ้นเสียงหยางเวยก็ระเบิดพลังสีส้มขั้นสูงออกมา พร้อมกับฟาดฟันมีดในมือออกไป ปราณมีดสีม่วงพุ่งเข้าหาซือจุยหลง เสียงตวาดดังมาจากด้านหลังซือจุยหลง มีชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งรีบดึงตัวนายน้อยที่ตอนนี้ยืนนิ่งค้างเพราะความหวาดกลัว เปรี้ยง ตูม ปราณมีดสีม่วงปะทะพื้นดิน ควันพิษสีม่วงฟุ้งกระจายไปทั่ว เนี่ยฟงโบกสะบัดมือสร้างเกราะสายฟ้าออกมาป้องกันปราณดาบที่พุ่งเข้ามาเสียงดังสนั่น เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เย่เตาเรียกดาบคู่ใจในมือพุ่งเข้าปะทะเช่นกัน เคร้ง เคร้ง เคร้ง เคร้ง เคร้ง เสียงดาบปะทะกันดังลั่น เกือบหนึ่งเค่อทุกอย่างก็จบสิ้นลงชายฉกรรจ์ทั้งห้าถูกจัดการลงนอนแน่นิ่งกับพื้น
ซือจุยหลงนั่งตัวสั่นสะท้าน มีน้ำไหลออกจากหว่างขาส่งกลิ่นเหม็นออกมา หยางเวยหลังจากปลดทรัพย์ชายฉกรรจ์ทั้งห้าเสร็จก็ค่อยๆ เดินเข้ามาหาซือจุยหลง
“คุณชายมอบแหวนในมือของท่านให้แก่ข้าเถอะ หาไม่แล้วข้าคงต้องตัวนิ้วมือของท่านเสียแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นซือจุยหลงก็รีบถอดแหวนในมือขวาโยนแก่หยางเวย
“ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย”
หยางเวยไม่กล่าวสิ่งใดพุ่งทะยานเข้าประชิดเตะเสยไปที่ปลายคางของซือจุยหลง เลือดสีแดงสดพุ่งออกจากปากพร้อมกับฟันหลายซีกระเด็นไปด้านหลัง หยางเวยยกยิ้มอย่างอารมณ์ดี
“รีบเข้าเมืองเถอะ หลังจากออกกำลังกายเล็กน้อย ข้าเริ่มที่จะหิวแล้ว”
หยางเวยรีบพุ่งทะยานออกไป เนี่ยฟงและเย่เตาได้แต่ส่ายศีรษะไปมาหลังจากนั้นก็พุ่งติดตามหยางเวยไป ครึ่งวันผ่านไปทันทีที่เข้ามาในเมืองหยางเวยก็หาโรงเตี๊ยมสำหรับทานอาหารและหาข้อมูลเขาซือสุ่ย ผ่านไปเกือบสองชั่วยาม ทั้งสามหลังจากทานอาหารอิ่มก็ออกมาเดินเล่นในเมือง เช่นเดิมเนี่ยฟงยังคงเดินเข้าร้านสมุนไพรและร้านขายตำรา เมื่อออกจากร้าน เย่เตาเห็นหยางเวยจ่ายค่าสมุนไพรแล้วก็ใจหาย สมบัติที่ได้จากแหวนคุณชายอะไรนั้นถูกใช้จนหมด ทหารในเมืองมากมายต่างออกมาเดินตรวจตราจนแปลกประหลาด แต่ละคนนำกระดาษพร้อมกับมีภาพวาดออกมาถือ เดินหาทั่วทั้งเมือง
ทั้งสามยังคงตระเวนเข้าร้านสมุนไพรอยู่ ในระหว่างนั้นเองทั้งหยางเวยก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ มีชาวบ้านหลายคนหันมามองด้วยความสงสัย เกือบหนึ่งเค่อหลังจากที่ทั้งสามออกมาจากร้านขายสมุนไพรก็ต้องรู้สึกแปลกใจ ทหารมากมายยืนกำชับอาวุธในมือหันมาหาทั้งสาม ไม่นานก็มีชายหนุ่มผู้หนึ่งผิวขาว มัดผมหางม้าสวมชุดสีเขียวขลิบขาว มีผ้าพันแผลพันไว้ที่คางและปากไว้ ยืนชี้นิ้วมาที่หยางเวย ที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุด พร้อมกับเอ่ยวาจาออกมา
“ท่านพ่อ เป็นมันขอรับที่ปล้นสมบัติข้าบนเขา”
สิ้นเสียงชายหนุ่มผู้นั้น ทหารก็แหวกทางเป็นช่องทางเดินชายผู้หนึ่งสวมชุดขุนนางด้านหลังมีทหารฝีมือดีหกนายเดินติดตามอยู่ด้านหลัง เย่เตาถึงกับหันมามองเนี่ยฟง
“เนี่ยฟง ช่วงเวลาที่เจ้าเดินทางกับหยางเวยมักมีปัญหาแบบนี้หรือไม่”
“ไม่หรอกเย่เตา ว่าแต่เจ้าเตรียมพร้อมแล้วหรือยัง”
“เตรียมพร้อมสิ่งใด”
หยางเวยหันมามองเย่เตาด้านหลัง
“เตรียมตัวหนีสิ จะอยู่ให้โง่รึ”
เมื่อกล่าวจบหยางเวยก็รีบโคจรลมปราณซัดฝ่ามือลงพื้นดิน เปรี้ยงควันพิษสีม่วงฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณทหารหลายสิบนายได้รับพิษ นอนตัวสั่นสะท้านอยู่บนพื้น บางคนร้องเสียงโหยหวนด้วยความหวาดกลัว ทันทีที่ควันพิษสีม่วงจางหายไป ชายหนุ่มทั้งสามก็หายไปเสียแล้ว เสียงตะโกนดังลั่นออกมาด้วยความโกรธ
“จับพวกมันทั้งสามมาให้ได้ บังอาจนัก คิดปล้นชิงของจากบุตรชายข้าในเขตที่ข้าปกครอง ทหารทั้งหลายกระจายตัวออกไปติดตามไอ้สารเลวทั้งสามนั้น”
ทหารจำนวนมากต่างกระจายตัวออกไปค้นหาชายหนุ่มทั้งสามที่เป็นเป้าหมาย แท้จริงแล้วทั้งสามหาได้ไปที่ไหนยังคงยืนอยู่ที่เดิม เนี่ยฟงใช้อักขระศักดิ์สิทธิ์สร้างเป็นม่านพลังบดบังทั้งสามเอาไว้ หลังจากพวกทหารพากันออกไปจากพื้นที่หยางเวยก็มีความคิดบางอย่างออกมา
“ก่อนจากเมืองนี้ ข้าขอมอบบางอย่างให้แก่เจ้าเมืองเป็นของขวัญก่อนได้หรือไม่”
เย่เตากล่าวถามหยางเวยด้วยความสงสัย
“เจ้าคงไม่ใช้คิดปล้นคลังหลวงของเมืองหรอกนะหยางเวย”
หยางเวยแสยะยิ้มหันมามองเย่เตา ด้วยสายตาขอบคุณ
“ทำตามที่เย่เตากล่าวเถอะ เนี่ยฟงนำทางด้วยข้ารู้ว่าเจ้ารู้ว่าที่พักของเจ้าเมืองอยู่ที่ไหน”
ทั้งสามรอให้มืดเสียก่อน พุ่งทะยานไปหลังคาบ้านไม่นานก็มาถึงที่พักจวนเจ้าเมือง เนี่ยฟงนำเม็ดยาออกมาจากขวดยาหลายเม็ดขยี้ในมือแล้วปล่อยให้ลอยตามกระแสลมที่พัดผ่านเข้าไปในบ้าน ไม่ถึงหนึ่งเค่อทุกอย่างก็เงียบเสียงลง ผู้คนด้านในต่างหลับใหลโดยหารู้ไหมว่าอันตรายกำลังจะมาเยื่อน ไม่รีรอหยางเวยพุ่งทะยานเข้าไปในจวนบ้านพักของเจ้าเมือง เข้าตรวจค้นในแต่ละห้องไม่เว้นห้องคนรับใช้ สิ่งใดที่มีค่าภายในจวนเจ้าเมืองถูกหยางเวยเก็บกวาดลงแหวนจนหมด ก่อนจาก หยางเวยสลักอักษรด้วยมีดอันแปลกประหลาดในมือที่ประตูจวนเจ้าเมือง
“ขอบคุณท่านเจ้าเมืองมากที่มีน้ำใจยกสมบัติจำนวนไม่น้อยให้แก่ข้า เช่นเดียวกับบุตรชายของท่าน”