ตอนที่ 27: คนเรามันก็ต้องมีเรื่องที่ตัวเองไม่เก่งกันทั้งนั้นแหล่ะ
รูปร่างของทวีปโฟเกลนั้นบางครั้งก็ถูกบอกว่าเหมือนนกกำลังสยายปีก
แผ่นดินที่แผ่ขยายออกไปทั้งซ้ายและขวาโดยเชื่อมกับส่วนที่ยื่นออกไปทางฝั่งเหนือและใต้เล็กน้อยทำให้มันดูเหมือนกับปีก, ศรีษะ, และหางของนกจริงๆ
ที่ตรงกลาง(ลำตัว)ของทวีปโฟเกลก็คือจักรวรรดิอาเดรเชีย
ส่วนสถานที่ที่ลีโอกับฉันถูกส่งไปนั้นตั้งอยู่ที่ส่วนหาง
ชื่อของประเทศนั้นก็คือราชรัฐรอนดิเน่ มันคือหนึ่งในสองประเทศที่ตั้งอยู่ตรงส่วนหางของทวีป
“หนึ่งในสองประเทศที่รอดมาจากยุคสงครามภายในเขตใต้สินะ.....”
ฉันกำลังอ่านเอกสารเกี่ยวกับประเทศที่ว่านี้อยู่บนเรือ
มันคือกองเรือเอกอัครราชทูตของจักรวรรดิที่นำโดยลีโอซึ่งมาทำภารกิจในฐานะทูตที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ
มันประกอบไปด้วยเรือสองลำ, และแต่ละลำก็ขนของขวัญที่นำมาให้รอนดิเน่ด้วย
เพื่อป้องกันการเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น, ฉันกับลีโอจึงนั่งเรือคนละลำกัน แต่ก็นะ, ทะเลเขตนี้ค่อนข้างสงบดังนั้นมันไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้นหรอก
อย่างไรก็ตาม, มีอยู่คนนึงที่ตอนนี้กำลังตัวสั่นอยู่บนเรือของฉันตลอดเวลา
“ถ้าอยู่บนทะเลที่สงบแบบนี้เธอยังตัวสั่นได้ขนาดนี้, เธอก็คงไปทะเลแถบอื่นไม่ไหวหรอกรู้รึเปล่า?”
“ข้า, ข้าไม่อยากไปทะเลแถบอื่นมาตั้งแต่แรกแล้ว......”
คนที่พูดถึงอยู่นี้ก็คือเอลน่าที่กำลังขลุกอยู่ในฟูกบนเตียงของเธอ
ยัยนี่มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงแล้วทำไมถึงตัวสั่นขนาดนี้?
ถ้าให้อธิบาย, เรื่องมันก็ค่อนข้างยาวอยู่
โดยปกติ, ทูตที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จนั้นจะต้องมีสมาชิกของภาคีอัศวินหลวงตามมาคุ้มกันด้วย ซึ่งเหตุผลที่เอลน่ามาอยู่ที่นี่ก็แค่เพราะพวกพี่ๆเสนอชื่อของเธอ ส่วนสาเหตุที่พวกเขาตั้งใจทำแบบนี้ก็เพื่อแยกคนที่สนับสนุนพวกเราออกมาจากเมืองหลวงของจักรวรรดิ แต่ก็นะ, ฉันคิดเอาไว้แล้วหล่ะว่าจะเป็นแบบนี้ก็เลยสั่งลินเฟียเอาไว้ล่วงหน้าให้คอยดูแลฟีเน่ดังนั้นมันน่าจะไม่มีปัญหาอะไร
แต่ถึงอย่างนั้น, การส่งคนจากบ้านผู้กล้าหาญที่สามารถใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์ได้ออกนอกจักรวรรดินั้นค่อนข้างจะเป็นปัญหาอยู่ แต่ว่ามันก็ยังมีประโยชน์ตรงที่มันช่วยแสดงให้เห็นว่าความปราถนาดีของเรานั้นจริงจังขนาดไหน
ในท้ายที่สุดแล้ว, พ่อก็ยอมรับข้อเสนอเรื่องที่จะส่งเธอมากับพวกเราแต่ตัวท่านพ่อเองต้องรู้อยู่แล้วแน่ๆว่ามันเป็นหนึ่งในแผนการของพวกพี่ๆ
ไหนๆก็พูดแล้วขอเข้าเรื่องปัญหาด้วยละกัน, คนจากบ้านผู้กล้าหาญที่สามารถใช้ดาบศักดิ์สิทธิได้นั้นคือหนึ่งในแสนยานุภาพที่สำคัญที่สุดของจักรวรรดิ การส่งคนระดับนี้ไปยังประเทศอื่นจะเป็นการลดตัวเลือกของจักรวรรดิลงในกรณีที่ต้องปกป้องตัวเองเมื่อมีประเทศอื่นเลือกที่จะโจมตีพวกเรา นี่คือปัญหานึง ส่วนอีกปัญหาก็คือว่าบ้านผู้กล้าหาญนั้นไม่สามารถใช้พลังของดาบศักดิ์สิทธิ์ข้างนอกอาณาเขตของจักรวรรดิได้ถ้าไม่ได้รับคำอนุญาตจากจักรพรรดิ มันคือมาตรการรักษาความปลอดภัยเผื่อในกรณีที่บ้านผู้กล้าหาญทรยศจักรวรรดิและมันก็ได้รับการยอมรับจากหัวหน้าตระกูลรุ่นแรกของพวกเขา
ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องนี้ซักเท่าไหร่ เพราะถึงยังไงมันก็เป็นเรื่องหายากที่คนจากบ้านผู้กล้าหาญออกนอกอาณาเขตของจักรวรรดิ
“ข้าจะสาปแช่งไอ้พวกนั้น.......! ข้าจะไม่มีวันลืมความแค้นนี้.....! ข้าจะไม่มีวันยกโทษให้ไอ้พวกสามคนนั่นเด็ดขาด.....!”
“พอเห็นเธอตัวสั่นแบบนี้แล้วมันดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไหร่เลยนะ”
และเหตุผลที่เธอตัวสั่นแบบนี้ก็เพราะเธอกลัวทะเล
เอลน่าไม่มีปัญหากับการอาบน้ำแต่เธอเป็นประเภทที่จะกลายเป็นพวกไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ในแม่น้ำหรือมหาสมุทร ฉันคิดว่ามันคือสิ่งที่น่าจะเรียกว่าโรคกลัวน้ำ สำหรับเอลน่าที่เรียกได้ว่าเกือบสมบูรณ์แบบนั้น, คงต้องบอกเลยว่านี่คือจุดอ่อนเพียงอย่างเดียวของเธอ แม้ว่าตัวเอลน่าเองจะเกลียดความพ่ายแพ้, แต่นี่คือจุดอ่อนที่เธอไม่สามารถเอาชนะได้
ในตอนที่เห็นทะเล, เธอจะเริ่มรู้สึกคลื่นไส้มวนๆท้องและมีอาการหัวหมุนเนื่องจากความกังวลและในตอนที่ขึ้นมาบนเรือร่างกายของเธอก็จะไม่สามารถหยุดสั่นได้เนื่องจากความกังวลที่ไม่สามารถอธิบายได้ของเธอ ถ้าเธอออกไปที่ดาดฟ้าเรือตอนนี้เธอน่าจะเป็นลมจากความตกใจได้เลย
“แต่ก็นะ, จนถึงตอนนี้เธอก็ปิดเรื่องนี้เอาไว้ได้ดีอยู่ไม่ใช่หรอ? ถึงข้าจะคิดว่ามันถูกเปิดเผยแล้วก็เถอะ”
“คนจากบ้านผู้กล้าหาญที่สามารถใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์ได้นั้นจะไม่ค่อยได้ออกนอกจักรวรรดิ......ตั้งแต่ตอนที่ข้ารู้ว่าดินแดนส่วนใหญ่ของจักรวรรดิเป็นพื้นบก, ข้าก็พยายามอัญเชิญดาบศักดิ์สิทธิ์ออกมาอย่างเอาเป็นเอาตายในตอนที่อายุสิบสอง.....เพราะไม่ว่ายังไงข้าก็ไม่อยากขึ้นเรือนี่หน่า........”
เอลน่าเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาเล็กน้อย
คนๆแรกที่อัญเชิญดาบศักดิ์สิทธิ์ออกมาด้วยเหตุผลโง่ๆแบบนี้น่าจะเป็นเอลน่า และยิงไปกว่านั้น, ความพยายามที่สูญเปล่าเช่นนี้มันก็ทำให้ฉันหลุดขำออกมา
“มะ, เมื่อกี้เจ้าพึ่งหัวเราะใช่ไหม.....!? นั่นคือสิ่งที่เจ้าทำในตอนที่เพื่อนสมัยเด็กของตัวเองกำลังสั่นกลัวแบบนี้หรอ.....!?”
“ถ้าคนอื่นรู้ว่าเธอกลัวน้ำขนาดนี้ก็คงจะเป็นเหมือนกันนั่นแหล่ะ โดยเฉพาะข้า”
“อะ อัล, เจ้าเองก็มีส่วนรับผิดชอบกับเรื่องนี้นะ, รู้ตัวไหม.....!? ที่ข้ารู้สึกกลัวขนาดนี้มันมาจากการที่ข้าได้เห็นสภาพของเจ้าในตอนที่จมน้ำยังไงหล่ะ......!”
ใช่แล้ว, มันคือเหตุการณ์ในตอนที่ฉันอายุแปดขวบ ฉันกำลังอาบน้ำกับเอลน่า, ในตอนนั้น, ดูเหมือนว่าฉันจะไปพูดอะไรบางอย่างที่ไปยั่วโมโหเธอเข้าแล้วก็จบลงที่การถูดอัดเข้าที่ลำตัว หลังจากนั้น, ฉันก็หมดสติไปและจมอยู่ในอ่างน้ำ ตอนนั้นฉันเกือบจะจมน้ำตายแล้วด้วยซ้ำ
และในตอนที่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเธอก็รู้สึกกลัวด้วยเหตุผลบางอย่างและจบลงที่เป็นโรคกลัวน้ำจนถึงตอนนี้
นี่คือสาเหตุที่ดูไร้เหตุผลที่สุดเท่าที่เคยมีมา ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ที่โหดร้ายคนไหนก็คงจะเอาชนะความไร้เหตุผลของเธอไม่ได้
“เจ้าก็แค่กรรมตามสนองนี่ เอาจริงๆนะ, มันคงจะไม่แปลกอะไรหรอกถ้าคนที่กลายเป็นโรคกลัวน้ำคือข้า มันคือการลงโทษจากสวรรค์ยังไงหล่ะ, ใช่แล้วนี่มันการลงโทษจากสวรรค์แน่ๆเลย
“ฮืออ.....เจ้าดูมีความสุขกับเรื่องนี้เกินไปแล้วนะ......”
เอลน่าน้ำตาคลอด้วยความรู้สึกอ่อนแออย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
พูดตามตรง, ถ้ากลัวขนาดนั้นจะปฏิเสธไปตั้งแต่ตอนที่ถูกเสนอชื่อก็ได้นี่
ทำไมถึงต้องฝืนตามฉันมาด้วย
“ข้าคิดว่าถ้าเธอไปคุยกับท่านพ่อ, เขาก็น่าจะยอมพิจารณาหาคนอื่นมาแทนเธอไม่ใช่หรอ?”
“ถ้าผู้คนรู้ว่าลูกสาวของบ้านผู้กล้าหาญเป็นโรคกลัวน้ำแบบนั้นมันก็จะกลายเป็นข่าวฉาวได้หน่ะสิ........! และยิ่งไปกว่านั้น, ถ้าข้าบอกฝ่าบาทว่ากลัวการออกทะเลมันก็ให้ความรู้สึกเหมือนแพ้เลยไม่ใช่หรอ......”
“เอาจริงดิ, นี่เจ้าคิดว่าตัวเองกำลังแข่งกับอะไรเนี่ย.....”
ในตอนที่ฉันตกตะลึงกับคำพูดของเธอ, เรือก็โคลงเคลงเล็กน้อย
มันไม่ใช่การสั่นสะเทือนที่รุนแรงอะไรแต่ดูเหมือนว่าเอลน่าจะรับผลกระทบเข้าไปเต็มๆ
“ไม่น้า!!!?? โอ๊ย!?”
เธอกลิ้งไปมารอบเตียงเล็กๆของเธอ, จนศรีษะไปกระแทกและตอนนี้ก็กำลังขดตัวด้วยความเจ็บปวด
นี่คือฉากที่คงไม่มีวันได้เห็นในตอนที่อยู่บนบกดังนั้นมันจึงค่อนข้างรู้สึกสดชื่นในตอนที่เห็นเธออยู่ในสภาพแบบนี้
“พออยู่บนน้ำแล้วเธอนี่ไร้ประโยชน์จังเลยนะ ถ้าเกิดมีโจรสลัดโจมตีเข้ามาพวกเราก็คงจะจบสิ้นแน่ๆเลยใช่ไหมเนี่ย?”
“หยะ, อย่ามาดูถูกข้านะ.....! ถ้าถึงเวลาจริงๆเข้าหล่ะก็.....! ม่ายยยยย!!?? เมื่อกี้สั่นแรงเลยใช่ไหม!? มันทำให้เรือเป็นรูรึเปล่า!?”
“ถ้าถึงเวลาเข้าจริงๆเจ้าก็จะไร้ประโยชน์อย่างสมบูรณ์สินะ ข้าคิดว่ามันคงจะไม่เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นหรอกแต่มันคงจะเป็นหนังคนละม้วนถ้าเกิดมีมังกรทะเลโผล่มา”
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในทะเลก็คือมังกรทะเล, ราชาแห่งท้องทะเล
มันคือมังกรที่ปรับตัวให้เข้ากับทะเลและมอนส์เตอร์คลาสสูงสุดที่อาละวาดในมหาสมุทร ความน่ากลัวนั้นยิ่งกว่าอยู่บนบก มีลูกเรือนับไม่ถ้วนที่ตายจากการถูกจมเรือกลางทะเล
มีบางครั้งที่กองเรือของสองประเทศที่เป็นอริกันกำลังทำสงครามกันอยู่แล้วถูกมันจมเรือทั้งสองฝ่าย แน่นอนว่า, เอลน่าต้องเคยได้ยินเรื่องราวที่น่ากลัวแบบนี้มาเหมือนกัน
ในตอนที่เธอได้ยินคำว่ามังกรทะเล, สีหน้าของเธอก็ดูเหมือนกับกำลังจะบอกว่าสติของเธอพังไปหมดแล้ว
“นี่ข้า....จะต้องมาตายที่นี่หรอ?”
“ยัยโง่, เธอไม่ตายหรอกหน่า ตอนนี้เธอดูเหมือนกับเป็นคนละคนเลยนะ นี่คือสีหน้าของอัศวินหลวงหรอ ต่อให้เธอเจอปัญหาในภารกิจของตัวเอง, แต่มันก็ยังเป็นภารกิจที่เธอรับมาไม่ใช่รึไง”
“แต่นี่มัน.....”
“เห้อ.....”
เอาเถอะ, มันก็ไม่ใช่ว่าฉันจะไม่เข้าใจเรื่องที่เธอไม่อยากแสดงความอ่อนแอของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น, มันดูไม่มีทีท่าว่าพวกเราจะต้องทำศึกกลางมหาสมุทรด้วย แถมฉันเองก็นึกภาพไม่ออกเลยว่าจะมีโจรสลัดที่เจาะจงเลือกโจมตีกองเรือที่มีการคุ้มกันแน่หนาแบบนี้
ถ้าพวกเราไปถึงแผ่นดิน, เอลน่าก็จะกลับมาอยู่ในสภาพปกติ ตอนนี้คงได้เวลาหยุดแกล้งเธอแล้วหล่ะ
ด้วยความรู้สึกสดชื่นหลังจากที่ได้ระบายความแค้นไประดับนึง, ฉันก็แอบร่ายบาเรียรอบตัวเอลน่าอย่างลับๆ มันคือบาเรียที่จะตัดขาดเธอจากโลกภายนอก ด้วยสิ่งนี้, การสั่นของเรือที่เธอต้องเผชิญอยู่ก็จะดีขึ้นมาเล็กน้อย โดยปกติแล้ว, ฉันคงจะใช้มันโดยที่เธอไม่รู้สึกตัวไม่ได้แต่นี่คงจะไม่เป็นไรเพราะเอลน่าในสภาพนี้คงไม่ทันรู้สึกถึงบาเรียหรอก”
“ระ, เรือสั่นเบาลงหน่อยแล้วใช่ไหม.....”
“มันก็ไม่ได้สั่นแรงมาตั้งแต่แรกแล้วนะ”
“อะ, อัล, เจ้าจะทำตัวหย่อนยานเกินไปแล้วนะ......ถ้าเกิดเรือล่มขึ้นมาเจ้าจะทำยังไง?”
“ในประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของจักรวรรดิ, มีอยู่แค่สองเหตุการณ์เท่านั้นที่กองเรือล่ม”
“แต่นี่มันก็ช่วยรับประกันไม่ได้ไม่ใช่หรอว่าวันนี้จะไม่ใช่ครั้งที่สาม......?”
ไม่เหมือนกับปกติ, เธอกลายเป็นพวกคิดลบจนน่ารำคาญ ขนาดบอกข้อมูลที่ทำให้สบายใจได้แล้วทำไมยังทำให้กลัวได้อีกหล่ะ?
ไม่ว่าฉันจะพูดอะไรก็คงไม่มีประโยชน์สินะ ถ้าชอบนักเดี๋ยวจะทำให้กลัวอีกสักหน่อยแล้วกัน
ในตอนที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา, ฉันก็ได้ยินเสียงเคาะประตูที่ฟังดูนุ่มนวล
เอลน่าตอบสนองด้วยความกลัวแม้กระทั่งกับเสียงเคาะประตู และเนื่องจากเธอไม่มีทีท่าว่าจะขานตอบ, ฉันจึงทำหน้าที่นี้แทนเธอ
และในตอนที่ฉันทำ, อัศวินวัยกลางคนที่เป็นลูกน้องของเอลน่าก็เข้ามา
“เข้ามาสิ”
“ขออนุญาตครับ..... เอ่อว่าแต่, หัวหน้าไปไหนหรอครับ?”
“ยะ, ยังมีลมหายใจอยู่.......”
“ท่านช่วยไปที่ดาดฟ้าเรือหน่อยได้ไหมครับ?”
“นี่เจ้าจะบอกให้ข้าไปตายหรอ....!? ขืนไปที่นั่นข้าได้ถูกลมพัดตกจากดาดฟ้าเรือแล้วต้องจมน้ำตายแน่ๆ.....!”
“นี่เธอคิดว่าเราอยู่ท่ามกลางพายุหรืออะไรเทือกนั้นรึไง? ก็เห็นอยู่นี่ว่าวันนี้ฟ้าโปร่ง ให้ตายเถอะ.....หัวหน้าของเจ้าก็เป็นอย่างที่เห็นเนี่ยแหล่ะ”
ในตอนที่ฉันมองอัศวินด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ, อัศวินคนนั้นก็ยิ้มกลับมาอย่างขมขื่น ตามที่คาดเอาไว้, ดูเหมือนว่าลูกน้องสายตรงของเธอนั้นจะรู้เรื่องอาการของเธอ ก็นะ, ถึงยังไงเธอก็น่าจะปกปิดเรื่องนี้ได้ไม่มิดหรอก
“ถ้างั้นข้าขอรายงานอย่างเดียวแล้วกันครับ มีเรือจากราชรัฐอัลบราโทรมาขอเจรจา เมื่อสักครู่นี้, ทั้งเรือของเราและขององค์ชายลีโอนาร์ดได้ทำการทอดสมอแล้วแต่ว่าพวกเราจะเอายังไงต่อไปดีครับ?”
“ราชรัฐอัลบราโทรหรอ, แสดงว่าพวกเราเข้ามาถึงน่านน้ำของพวกนั้นแล้วสินะ”
ราชรัฐอัลบราโทรนั้นคือประเทศที่ตั้งอยู่ถัดจากราชรัฐรอนดิเน่ มันคือประเทศแห่งการเดินเรือและเป็นประเทศที่มีการส่งออกทางทะเลอย่างกว้างขวาง ความสัมพันธ์ของพวกเขากับจักรวรรดินั้นค่อนข้างไม่ลงรอยกันซักเท่าไหร่เพราะในยุคสงครามเมื่อครั้งอดีตพวกเขาเลือกเป็นพันธมิตรกับศัตรูของจักรวรรดิ
การที่มาขอเจรจาในครั้งนี้, ก็แสดงว่าพวกเขาไม่อยากให้เรามุ่งหน้าไปที่รอนดิเน่สินะ แทนที่จะเป็นการพูดคุย,ประเด็นหลักจริงๆต้องเป็นการสอบสวนแน่ๆ
“ตะ, ตอนนี้ให้อัศวินไปอยู่ในห้องพักของตัวเองแล้วครับ....การไปกวนประสาทเจ้าพวกนั้นคงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่......”
“ข้าเห็นด้วย แล้วลีโอว่ายังไงบ้าง?”
“ดะ....ดูเหมือนว่าองค์ชายลีโอนาร์ดจะรู้สึกไม่ดีดังนั้นเขาก็เลยส่งข้ามาที่นี่เพื่อขอแนวทางจากหัวหน้าครับ”
“เห้อ....ช่วยไม่ได้หล่ะนะ เดี๋ยวข้าจะแกล้งทำตัวเป็นลีโอแล้วคุยกับพวกนั้นเอง”
พอพูดจบ, ฉันก็ออกจากห้องไปพร้อมกับอัศวินวัยกลางคน
เรือที่จอดอยู่ถัดจากฉันก็คือเรือของลีโอ ถ้าฉันให้สัญญาณว่าพวกเราจะยอมรับการเจรจา, ผู้คนจากราชรัฐอัลบราโทรก็น่าจะขึ้นไปที่เรือลำนั้นสินะ
เอาเถอะ, ในเมื่อพวกนั้นไม่ได้ตรวจสอบกองเรือละเอียดซักเท่าไหร่, ก็คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง
ในตอนที่ฉันย้ายไปที่เรืออีกลำนึง, ฉันก็ตรงไปที่ห้องของลีโอ
ข้างในห้องมีลีโอที่กำลังหน้าซีดอยู่ ตามที่คาดเอาไว้, ฉันจะปล่อยให้เขาไปเจรจาในสภาพนี้ไม่ได้
“ว่าไง, สภาพดูไม่จืดเลยนี่ เมาเรือหรอ?”
“ครับ....ดูเหมือนจะใช่.....”
“ไม่ใช่เอลน่าซักหน่อย ตั้งสติให้ดีๆสิ”
“ขอโทษครับ.....”
“เดี๋ยวข้าจะรับหน้าให้เอง เจ้าไปพักที่เรืออีกลำเถอะ”
“แต่ว่า......”
“ไม่เป็นไรหรอกหน่า, บอกคนอื่นไปว่าองค์ชายอาร์โนลด์รู้สึกไม่ดี”
“แต่ว่า, ถ้าพูดแบบนั้นไป, ชื่อเสียงขององค์ชายก็จะ......”
“เถอะหน่า ถึงพูดไปมันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนหรอก”
ในตอนที่ฉันพูดแบบนั้นกับลูกน้องของเอลน่า, ฉันก็ส่งลีโอไปที่เรืออีกลำนึง แน่นอนว่า, ทุกคนที่อยู่รอบๆคิดว่าเขาคือเจ้าชายอาร์โนลด์
หลังจากนั้น, ฉันก็เซ็ทผมแล้วจัดแต่งเสื้อผ้าของตัวเองก่อนที่จะออกมาจากห้องด้วยสีหน้าหนักแน่น
“ยอมรับการขอเจรจา ไปเตรียมการซะ”
“ครับ, องค์ชาย”
ด้วยประการฉะนี้เอง, ฉันก็สลับตัวกับลีโอกลางทะเล