บทที่ 111
ยามโฉ่ว เป็นเวลาที่ทุกคนในค่ายหลับนอน มีทหารเฝ้ายามไม่ถึงสิบคนเฝ้ายามรอบค่าย โชคดีที่คืนนี้มีแสงสว่างจากดวงจันทร์ เสียงฝีเท้าจำนวนมากจากบนเขาพุ่งทะยานลงมาด้านล่าง เนี่ยฟงที่นั่งโคจรลมปราณอยู่บนกิ่งไม้แสยะยิ้มปลุกหยางเวยให้ตื่น พร้อมกับชี้ไปที่ด้านล่าง มองเห็นกลุ่มคนสี่สิบกว่าคนด้านล่าง จ้องมองทหารยามในค่ายอย่างไม่วางตา ชั่วน้ำเดือดสัตว์อสูรหลายสิบชนิดก็ปรากฏกายออกมา ทั้งหมดพุ่งทะยานเข้าไปในค่ายอักขระศักดิ์สิทธิ์สีแดงปรากฏออกมาจากกระโจมใหญ่ มันขยายครอบคลุมไปทั่วทั้งค่าย กลุ่มคนและสัตว์อสูรที่บุกเข้าไปถูกผลักจากอักขระศักดิ์สิทธิ์สีแดงจนกระเด็นออกมาด้านข้าง ไฟในกระโจมถูกจุดให้แสงสว่าง เหล่าผู้อาวุโสและศิษย์สำนักมังกรผยองราชันรีบพุ่งออกมาตั้งขบวนโจมตี
ทั้งสองฝ่ายยืนจ้องมองกันโดยไม่มีฝ่ายไหนเอ่ยวาจาใดๆขึ้น ท้องฟ้ายามค่ำคืนเริ่มมีเสียงร้องคำราม ช้ำน้ำเดือดปราณฝ่ามือขนาดใหญ่สีทองก็พุ่งลงมาจากฟากฟ้า เปรี้ยง มันปะทะกับวงอักขระศักดิ์สิทธิ์สีแดงเช่นสัญญาณเริ่มการต่อสู้ เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งดังมาจากกลุ่มโจร สัตว์อสูรหลายสิบตัวพุ่งทะยานเข้าหาศิษย์สำนัก ปราณดาบและปราณกระบี่ปลิวว่อนไปทั่วบริเวณ เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เสียงหัวเราะดังลั่นจากบนเขา ค่อยๆดังขึ้นมาเรื่อย ๆ ผู้อาวุโสหลายคนโบกสะบัดมือเรียกอาวุธคู่ใจมาถือไว้ในมือ ฟาดฟันเข้าหาสัตว์อสูรด้านหน้า
เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง ฝุ่นควันปลิวว่อน การเผชิญหน้าระหว่างยอดฝีมือระดับสีแดง หัวหน้าโจรเงามายาและเจ้าสำนักหานเจิ้งเปารุนแรงไม่น้อย เสียงปะทะกันของฝ่ามือดังสนั่น ปราณฝ่ามือพุ่งไปมาบางครั้งถูกฝ่ายเดียวกันเอง หลายคนเลือกหลบหนีมากกว่าการเข้าปะทะ และมีบางกลุ่มทำเพียงแค่ยืนมองปล่อยให้พวกโจรสังหารศิษย์สำนักอื่น
“หยางเวยถึงเวลาที่เราต้องเข้าร่วมแล้วละ เพราะหากปล่อยไว้เช่นนี้คนของฝ่ายเราคงจบสิ้นแน่ เพราะแต่ละคนต่างเห็นแก่ตัวเช่นนี้”
หยางเวยรีบนำถุงมือผ้าไหมออกมาสวม เช่นเดียวกับเนี่ยฟงที่ถือมีดสั้นคู่ใจไว้ในมือ
“สังหารอย่างรวดเร็วอย่าปล่อยให้ผู้ใดรอด”
สิ้นเสียงกล่าวของเนี่ยฟง ทั้งสองก็พุ่งทะยานลงจากกิ่งไม้ใหญ่เข้าสู่สนามรบด้านหน้า เนี่ยฟงโคจรลมปราณไปที่เท้าทั้งสองเข้าพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ท่าเท้าเหยียบนภาถูกนำมาใช้ถึงขีดสุด มีดสั้นวาดผ่านลำคอของโจรผู้หนึ่ง ไม่ทันทีเลือดจะพุ่งออกมาเนี่ยฟงก็พุ่งเข้าหาอีกคนแล้ว เป็นการสังหารอย่างรวดเร็วและเฉียบคมยิ่ง ส่วนหยางเวยทันทีที่พุ่งเข้าประชิดตัว หมัดขวาถูกต่อยออกไปก่อนที่จะปะทะวงอักขระศักดิ์สิทธิ์ก็ปรากฏออกมาทุกครั้ง เพื่อเพิ่มความรุนแรงของการปะทะ เปรี้ยง ติดตามมาด้วยเสียงกระดูกแตกพร้อมกับเสียงร้องโหยหวน
การปรากฏกายของทั้งสองเริ่มทำให้ฝ่ายโจรร้ายเริ่มเสียเปรียบ ไม่นานทั้งสองก็ถูกประกบคู่ปะทะกับโจรที่คาดว่าจะมีฝีมือพอสมควร หยางเวยปะทะกับชายหนุ่มผู้หนึ่งร่างกายมีมัดกล้าม ส่วนเนี่ยฟงปะทะกับชายชราผู้หนึ่ง ทั้งสี่พุ่งเข้าปะทะกันอย่างรวดเร็ว มีดสั้นถูกนำมาจ้วงแทงตวัดไปมา ชายชราทำได้เพียงแสยะยิ้มโยกตัวหลบพร้อมกับซัดฝ่ามือออกมาอย่างรวดเร็วในบางครั้ง ส่วนหยางเวยก็ยืนแลกหมัดกันอยู่กลางสนามรบ เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เสียงร้องโหยหวนดังมาจากชายหนุ่มผู้มีมัดกล้าม แขนขวากระดูกแตกหักโผล่ออกมาให้เห็นเลือดสีแดงสดไหลหยดลงพื้น ทันทีที่ชายชราหันไปมองในจังหวะหนึ่ง มีดสั้นก็กลายเป็นดาบ วาดผ่านลำคอของชายชราไป
เสียงตะโกนโห่ร้องจากบนเขายังดังมาเป็นระยะพวกโจรยังคงทยอยลงมาอย่างต่อเนื่อง อสรพิษดำถูกเรียกออกมากลืนกินพวกโจรและสังหาร หยางเวยกระโดดเข้าไปในกลุ่มของพวกโจรที่พุ่งเข้ามา พร้อมกับระเบิดปราณพิษออกมาอย่างสุดกำลัง ตูม ควันพิษสีม่วงฟุ้งกระจาย หยางเวยซัดฝ่ามือออกรอบทิศทาง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง หลายสิบคนร้องออกมาอย่างหวาดกลัวเพราะพิษร้ายเริ่มทำงาน บางคนนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น ปราณดาบสีฟ้าพุ่งออกมาหลายสิบเล่มรอบตัว เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง
หลายคนออกมาร่วมต่อสู้เพราะละอายปล่อยให้ชายหนุ่มอายุสิบห้าสิบหกจัดการกับพวกโจร เสียงโห่ร้องดังออกมาจากในค่าย ผ่านไปเกือบชั่วยามแล้วสถานการณ์เริ่มรุนแรงมากขึ้น เหล่าคนที่อยู่ในค่ายเริ่มอ่อนแรง ส่วนพวกโจรยังคงมีเข้ามาปะทะอย่างต่อเนื่อง เพราะกำลังคนที่น้อยกว่าทำให้ฝ่ายสำนักมังกรผยองเริ่มเสียเปรียบอีกครั้ง แต่ทว่าไม่นานเหล่าทหารที่เดินทางมาก็มาถึง เคร้ง เคร้ง เคร้ง เคร้ง เคร้ง ทันทีที่พวกทหารเข้ามา เหล่าศิษย์ทั้งหลายที่ได้รับบาดเจ็บ เริ่มถูกขนย้ายออกมารักษาด้านนอก
การปะทะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆจากหัวหน้าโจรเงามายาและเจ้าสำนักหานเจิ้งเปา ต่างฝ่ายต่างระเบิดพลังปราณสีแดงขั้นต้นปะทะกัน ฝุ่นควันถูกแรงลมจากการปะทะฟุ้งกระจายไปทั้วบริเวณ บรรดาผู้อาวุโสต่างพากันถอยหนีเช่นเดียวกับกลุ่มโจรที่อยู่ใกล้จากการปะทะ เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง ปราณฝ่ามือขนาดใหญ่ปลิวว่อน หลายคนหยุดการต่อสู้เพื่อจ้องมอง แต่มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ยังคงทำหน้าที่เดิมของตนคือสังหารโจรร้ายให้หมดสิ้น เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เสียงตะโกนเสียงร้องโหยหวนยังคงดังอย่างต่อเนื่องจากการถูกโจมตีโดยไม่มีหยุดพัก
แสงอรุณเริ่มทอแสงการปะทะก็จบลง คนของค่ายโจรที่มีชีวิตรอดต่างพุ่งหลบหนีขึ้นเขาพร้อมกับหัวหน้าโจรที่ได้รับบาดเจ็บ พลาดท่าถูกซัดฝ่ามือเข้าที่หน้าอกกระเด็นออกมา เจ้าสำนักหานเจิ้งเปาสั่งห้ามคนติดตาม ให้ช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บก่อน ตลอดเวลาช่วงเช้าทั้งหมดช่วยกันจัดการพื้นที่ค่าย ซากศพของพวกโจรถูกนำออกมากองรวมกันแล้วเผาทำลาย แหวนถูกเก็บโดยคนของสำนักมังกรผยองราชัน ส่วนคนของสำนักที่เสียชีวิตถูกขนกลับสำนักของใครของมัน หยางเวยกับเนี่ยฟงหลังจากจัดการช่วยเหลือที่นี่เสร็จก็ออกไปสำรวจด้านนอกค่าย โดยหาได้สนใจประชุมร่วมกับผู้อาวุโสท่านอื่น
ทั้งสองพุ่งทะยานไปตามกิ่งไม้สะกดรอยตามทางของพวกโจรที่ขึ้นมาบนเขา มีบางอย่างผิดปกติหลายจากที่ตรวจสอบรอยเท้าพุ่งหายเข้าไปในต้นไม้ใหญ่ ไม่นานเนี่ยฟงก็ยกยิ้มหลังจากครุ่นคิดอยู่นาน โบกสะบัดมือขวาประกายสายฟ้าพุ่งออกมาด้านหน้า วงอักขระศักดิ์สิทธิ์สีแดงก็ปรากฏออกมา ประกายสายฟ้าพุ่งเข้าหาวงอักขระศักดิ์สิทธิ์สีแดงอีกครั้ง อักษรด้านในเริ่มเปลี่ยนรูปร่างและจากสีแดงเปลี่ยนเป็นสีฟ้า เกือบหนึ่งเค่อทุกอย่างก็เสร็จสิ้น วงอักขระศักดิ์สิทธิ์จากสีแดงเปลี่ยนเป็นสีฟ้า ภาพที่เห็นเป็นต้นไม้ใหญ่กลายเป็นทางเดินมุ่งขึ้นเขา
“เจ้าจะติดตามขึ้นไปบนค่ายรึ”
“ไม่ ข้ายังไม่ทราบว่าข้างบนยังมีกับดักอะไรซ่อนอยู่หรือไม่ เพราะจากที่แก้ไขวงอักขระศักดิ์สิทธิ์เมื่อครู่ ผู้ที่ร่ายวงอักขระศักดิ์สิทธิ์มีความเก่งกาจอยู่เช่นกัน ข้ามีแผนการบางอย่าง ไม่รู้ว่าเจ้าสนใจหรือไม่”
“เจ้าว่ามาเถอะ”
“ข้าคิดว่าข้าจะแก้ไขวงอักขระศักดิ์สิทธิ์เป็นเหมือนป้ายหยกที่ให้กับเจ้า”
หยางเวยทำหน้าตางุนงงจ้องมองเนี่ยฟงด้วยความสงสัย
“เอาเป็นว่า หากพวกโจรหลบหนีผ่านมาทางนี้ พุ่งผ่านวงอักขระศักดิ์สิทธิ์ไป ร่างกายจะโผล่อีกทีหนึ่ง เมื่อนั้นเราก็จัดการพวกมันได้จนหมด ป้องกันการหลบหนี”
หยางเวยคิดตามในสิ่งที่เนี่ยฟงกล่าวพร้อมกับยกยิ้มดีใจ
“หากเป็นเช่นนั้นเจ้าจะใช้สิ่งใดในการสลับตัวพวกโจร”
“ก้อนหินพวกนี้มีเยอะแยะข้าสามารถใช้พวกนี้ได้”
หยางเวยแสยะยิ้มพร้อมกับยกมือทั้งสองขึ้นมาถู
“เจ้าวางใจเถอะ หากพวกโจรถูกสลับตัวมา ข้าจะเป็นคนสังหารพวกมันเอง”
หยางเวยและเนี่ยฟงช่วยกันเก็บก้อนหินก้อนขนาดเท่าฝ่ามือมาจำนวนมาก หลังจากนั้นช่วงบ่ายหลังจากทานอาหารเสร็จเนี่ยฟงก็แอบสลักวงอักขระศักดิ์สิทธิ์ลงไปในก้อนหินที่เก็บมา ส่วนหยางเวยนั่งโคจรลมปราณบนกิ่งไม้เช่นเดิม มีหลายคนที่คิดเข้าไปพูดคุยกับทั้งสองเรื่องเหตุการณ์เมื่อคืน แต่ทว่าก็ไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามา
( ยามโฉ่ว ตีหนึ่งถึงตีสองห้าสิบเก้า )