บทที่ 109
เม็ดยาสีแดงถูกป้อนเข้ามาในปาก วงอักขระศักดิ์สิทธิ์หมุนรอบกายอย่างช้าๆ ไม่นานก็พุ่งเข้าไปในตันเถียนของชายหนุ่มชุดสีน้ำตาล ตัวสั่นสะท้านเสียงกัดฟันแว่วออกมาให้ได้ยินเต็มไปด้วยความเจ็บปวด จ้องมองชายหนุ่มด้านหน้าที่จ้องมองไปที่ตันเถียนของตน ชั่วน้ำเดือดชายหนุ่มด้านหน้าก็เอ่ยวาจาออกมาตัวสั่นสะท้านยิ่งกว่าเดิม
“ทนเจ็บหน่อยนะพี่ชาย ข้าจะสกัดธาตุพลังธาตุเย็นออกจากตัวท่าน”
สิ้นเสียงกล่าววงอักขระศักดิ์สิทธิ์ในจุดตันเถียนก็ส่องแสงสีฟ้าพุ่งออกมาจากร่างกายของชายหนุ่มชุดสีน้ำตาลอย่างรวดเร็ว ความเจ็บปวดสุดจะทนทำให้หมดสติไป เนี่ยฟงไม่รอช้าโคจรลมปราณขับเม็ดยาที่กลืนเข้ามาก่อนสลายพุ่งเข้าไปรักษาที่ตันเถียน ตันเถียนที่ถูกทำลายค่อยๆฟื้นตัวอย่างช้าๆ พลังปราณหายไปกับวงอักขระศักดิ์สิทธิ์ที่พุ่งออกมาจนหมด หลังจากนั้นไม่นานทั้งสองก็จากไป ทิ้งให้ชายหนุ่มชุดสีน้ำตาลนอนอยู่ที่พื้นเช่นเดิม
“เราจะไปที่ไหนกันต่อ”
“จากเบาะแสที่ได้จากศิลาจารึกมันชี้นำไปที่อาณาจักรใหม่ที่ก่อตั้งขึ้นทางใต้ หากว่าดูจากทิศทางแล้วคาดว่าคงมุ่งหน้าไปทางเขตดินแดนแห่งป่า”
“เจ้าจะนำหลันเซ่อไปด้วยหรือไม่”
“คงไม่ต้อง ข้าให้มันดูแลท่านปู่ที่ร้านยา ข้าปลดอักขระศักดิ์สิทธิ์ออกจากตัวมันแล้ว อีกอย่างหากนำหลันเซ่อไปด้วยข้าไม่อยากเป็นจุดเด่นมากนัก เจ้าเองก็น่าจะรู้”
หลังจากนั้นทั้งสองก็มุ่งหน้าลงใต้ ระหว่างทางก็หาซื้อรถม้าคันเล็กเอาไว้เดินทางไกล ทั้งสองสลับกันพัก ผ่านไปสองวันทั้งสองก็พ้นเขตไฟเข้าสู่เขตป่า สองข้างทางมีต้นไม้ขนาดใหญ่ขึ้นอยู่เต็มสองข้างทาง พอเห็นเหล่าพ่อค้ามากมายเดินทางไปมาตามเส้นทาง ทั้งสองยังคงเดินทางกันอย่างช้าๆไม่เร่งรีบค่ำไหนพักนอนที่นั่น ไม่นานก็พบเจอกับเมืองแรก เป็นเมืองขนาดใหญ่พอสมควร กำแพงหินใหญ่สูงหลายจั้ง ทหารเดินวนไปมาบนป้อม เหล่าพ่อค้า ชาวบ้านต่างยืนต่อแถวเข้าเมือง ทั้งสองก็ทำตามเช่นกัน เกือบหนึ่งชั่วยามทั้งสองก็เข้ามาในเมือง ด้านในถูกวางแปลนเมืองออกมาผสมกับต้นไม้ใหญ่ ทำให้ทั่วทั้งเมืองดูร่มรื่นไม่น้อย
ทั้งสองฝากรถม้ากับเสี่ยวเอ้อ หลังจากนั้นก็นั่งจิบน้ำชารออาหารสองสามอย่าง เช่นเดิมทั้งสองนั่งฟังผู้คนในโรงเตี๊ยมพูดคุยกันเหมือนเดิม แต่ทว่าไม่มีข่าวใดน่าสนใจ ในระหว่างนั้นเป็นหยางเวยที่เอ่ยสอบถามบางอย่างกับเสี่ยวเอ้อ หลังจากนั้นไม่นานหยางเวยก็ชวนเนี่ยฟงไปสถานที่สอบถามจากเสี่ยวเอ้อ แน่นอนว่าเพียงแค่เนี่ยฟงเห็นป้ายร้านก็ทราบแล้วว่าเป็นที่ใด เมื่อหันไปมองรอบด้านเนี่ยฟงก็ยกยิ้ม
“หยางเวยเจ้าเข้าไปเถอะ ข้าจะอยู่ที่ร้านขายตำราด้านนี้รอก็แล้วกัน”
หลังจากที่หยางเวยหาเข้าไปในบ่อนพนันเนี่ยฟงก็หันหน้าไปยังร้านขายตำราของอีกฝั่ง เป็นร้านขายตำราขนาดใหญ่มีชายชราผู้หนึ่งผมสีขาวนั่งอยู่ด้านในของร้าน เนี่ยฟงเดินวนไปมาตามชั้นหนังสือ อ่านพอผ่านๆก็เก็บไว้ที่เดิม เกือบหนึ่งชั่วยามที่เนี่ยฟงเดินวนไปมาตามชั้นหนังสือ ชายชราจ้องมองชายหนุ่มอยู่ก็เอ่ยวาจาออกมา
“พ่อหนุ่มน้อยเจ้าสนใจตำราประเภทไหนรึ ข้าเห็นเจ้าเลือกอยู่นานแล้ว”
“เรียนท่านปู่ ข้าสนใจเกี่ยวกับการย้ายถิ่นฐานของอาณาจักรโบราณจากเขตไฟขอรับ”
“โอ้ เจ้าสนใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์รึ ดี ดี ชายหนุ่มสมัยนี้หาได้สนใจเรื่องพวกนี้แล้ว ส่วนใหญ่สนใจแต่วิชาฝีมือ”
ชายชราโบกสะบัดมือขวา ปรากฏหนังสือเล่มใหญ่หน้าปกทำด้วยหนังสัตว์อสูร โยนมันให้กับเด็กหนุ่มด้านหน้า
“เจ้ารับไปเถอะ มันเป็นข้อมูลเก่าแก่จากอาณาจักรโบราณที่ปกครองเขตพื้นที่ต่างๆในอดีตที่ข้าเก็บรวบรวมไว้หลายสิบปีมาแล้ว บางครั้งข้อมูลมันก็เป็นเพียงเรื่องเล่าที่เล่ากล่าวขานมา เจ้าลองพิจารณาดูก็แล้วกัน ส่วนค่าหนังสือไม่ต้อง ถือว่าข้ามอบให้เพราะโชคชะตาก็แล้วกัน”
เนี่ยฟงก้มศีรษะคารวะชายชราผู้นั้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับเก็บหนังสือไว้ที่แหวน ในขณะนั้นเองหยางเวยก็เอ่ยวาจาเรียกเนี่ยฟงเสียงดังลั่น
“ไปเถอะเนี่ยฟงวันนี้ข้าจะเลี้ยงเจ้าอย่างเต็มที่”
เนี่ยฟงหันไปมองหยางเวย
“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
เนี่ยฟงคิดจะร่ำลาชายชราอีกครั้งแต่ทว่าเมื่อหันกลับไปมองก็พบว่าชายชราหายตัวไปเสียแล้ว เนี่ยฟงจึงเดินเข้าไปหาหยางเวย
“เนี่ยฟงเจ้าหันไปคุยกับผู้ใด ข้าไม่เห็นมีผู้ใดอยู่ในร้านตำรานั้น”
เนี่ยฟงถึงกับขมวดคิ้วทั้งสองข้างขึ้นหันไปมองหยางเวยอย่างรวดเร็ว
“เจ้าออกตั้งแต่เมื่อไร”
“เกือบหนึ่งเค่อแล้ว ข้าออกมาก็เห็นเจ้าหันไปคุยกับใครบางคน เพียงแค่ข้าจ้องมองก็ไม่เห็นผู้ใด หลังจากนั้นข้าก็เห็นหนังสือเล่มหนึ่งจากชั้นบนสุดลอยเข้ามาอยู่ในมือเจ้า”
“ช่างเถอะว่าแต่วันนี้เจ้าคงร่ำรวยมาไม่น้อย”
“แน่นอนวันนี้ข้าจะเลี้ยงเจ้าให้หนำใจไปเลย”
หยางเวยเดินนำเนี่ยฟงเดินกลับโรงเตี๊ยมเดิม ระหว่างทางเนี่ยฟงก็ครุ่นคิดบางอย่างไปด้วย
“เจ้าไม่ต้องคิดมากไปไอ้หนู ชายผู้นั้นเป็นเพียงวิญญาณสถิตทิ้งเจตนารมณ์ไว้ที่หนังสือเล่มนั้นเท่านั้น”
“ขอรับท่านลุ่ยกง”
ด้านชายหนุ่มผู้สวมชุดสีน้ำตาล ทันทีที่ตื่นขึ้นมาก็รับตรวจสอบตันเถียนของตนทันที พบว่าตันเถียนกลับมาหายดีเช่นเดิมเพียงแต่ว่ามีขนาดเล็กลง พลังลมปราณหดหายเหลือเพียงระดับสีขาว ชายหนุ่มหันไปมองรอบด้านพบว่าไม่มีผู้ใดก็ได้แต่ส่ายศีรษะไปมา หลังจากนั้นก็ค่อยๆพยุงตัวเองเดินออกจากห้องโถงอีกทาง เมื่อออกมาก็มุ่งหน้าไปที่ภูเขาไฟ ชายหนุ่มใช้เวลานานพอสมควรก็มาถึงด้านบน ชายหนุ่มรีบนั่งโคจรลมปราณเพื่อดูดซับพลังความร้อนจากภูเขาไฟแปรเปลี่ยนเป็นลมปราณเข้าสู่ร่าง ตันเถียนในร่างค่อยๆดูดซับพลังปราณอย่างช้าๆ
เนี่ยฟงเมื่อทานอาหารจนอิ่มก็ขอตัวขึ้นมาพักบนห้องก่อน เสียงโบกสะบัดมือดังขึ้นพร้อมกับหนังสือที่ได้จากชายชราปรากฏบนมือขวา เนี่ยฟงนั่งบนโต๊ะไม้ภายในห้องเปิดอ่านข้อความด้านในอย่างช้าๆ เวลาค่อยๆหมุนผ่านห้าวันที่เนี่ยฟงเก็บตัวอยู่ในห้อง เมื่อออกมาจากห้อง สิ่งแรกคือตามหาแผนที่ของเขตดินแดนแห่งป่า เกือบครึ่งค่อนวันก็ได้แผนที่ตัวสมบูรณ์เพราะส่วนใหญ่มีขายเป็นแผนที่เฉพาะเมืองเท่านั้น รุ่งเช้าของอีกวันทั้งสองก็ออกจากโรงเตี๊ยมขับรถม้าออกจากเมือง
“หวังว่าครั้งนี้ข้าคงได้พบเจอสมบัตินะ”
“เหอะ ระหว่างที่ข้าเก็บตัวอยู่ในห้องเจ้าคงร่ำรวยมากสินะถึงว่าวันสุดท้ายทันทีที่เดินผ่านบ่อนพนันคนของบ่อยมองเจ้าอย่างไม่วางตา”
“ไม่มากไม่น้อย พอให้เจ้าจับจ่ายซื้อสมุนไพรได้อีกเยอะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
เส้นทางที่ทั้งสองมุ่งหน้าไป สองข้างทางยังคงเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ แสงแดดอันอบอุ่นสัมผัสกาย ตลอดระยะเวลาสองวัน น่าแปลกที่ระหว่างเดินทางหาได้พบเจอสัตว์อสูรโจมตี แต่ทว่าก็หาได้ไม่มีอันตรายเพราะด้านหน้าชายหนุ่มทั้งสองเจอกลุ่มคนปิดล้อมเส้นทางอยู่หลายสิบคน เนี่ยฟงรีบบังคับหยุดรถม้าก่อนถึงกลุ่มคนที่ปิดล้อมด้านหน้า
“หยางเวย ดูเหมือนว่าเจ้าจะโชคดีอีกแล้ว”
“มีสิ่งใดรึ”
หยางเวยกล่าวตอบพร้อมกับเปิดผ้าม่านด้านหน้ารถม้าออกมาดู เมื่อเห็นกลุ่มคนด้านหน้าก็ยกยิ้มออกมาอย่างดีใจ ทั้งสองรีบลงจากรถม้า หยางเวยพยักหน้าให้แก่เนี่ยฟงพร้อมกับโยกตัวเอนไปให้เนี่ยฟงพยุงประดุจคนได้รับบาดเจ็บ เป็นเนี่ยฟงเอ่ยวาจาออกไป
“รบกวนพี่ชายทั้งหลาย เปิดทางให้แก่ข้าน้อยได้หรือไม่ขอรับ เพื่อนข้าได้รับบาดเจ็บหนักต้องการหมอรักษาด่วน”
เสียงตะโกนดังลั่นออกมาจากกลุ่มชายฉกรรจ์ด้านหน้า
“ได้สิไอ้หนูขอเพียงเจ้านำสมบัติออกมาให้พวกข้ารับรองว่าข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป อีกอย่างจากที่สืบข่าวมาพวกเจ้าหาได้มีใครได้รับบาดเจ็บ อย่าอ้างว่าพวกเจ้าไม่มีสมบัติ ชายหนุ่มที่เจ้าพยุงฟาดเงินจากบ่อนพนันไปไม่น้อยหลายล้านตำลึงทองทีเดียว”
เนี่ยฟงรีบหันไปมองหยางเวยที่กำลังพยุงอยู่
“ไม่เอาน่าอย่าจ้องมองข้าเช่นนั้นสิ มือมันขึ้นข้าก็เลยแทงหนักมือไปหน่อย”
“เหอะ เอาเป็นว่ากลุ่มคนด้านหน้าเจ้าจัดการเองก็แล้วกันข้าไม่ขอยุ่งด้วยก็แล้วกัน คุณชายหยางเวย”
เมื่อกล่าวจบเนี่ยฟงก็แสยะยิ้มขึ้นไปนั่งบนรถม้า หยางเวยทำได้เพียงยิ้มแห้งๆโบกสะบัดมือนำถุงมือผ้าไหมมาสวมใส่พร้อมกับยกยิ้มให้กลุ่มชายหนุ่มด้านหน้าพร้อมกับเดินเข้าหา
“ข้าหวังว่าพวกท่านทั้งหลายคงจะพกสมบัติติดตัวมาไม่มากก็น้อยนะขอรับ”