ตอนที่ 48 สถานการณ์อันน่าอัศจรรย์
ตอนที่ 48 สถานการณ์อันน่าอัศจรรย์
มู่อี้เป็นเหมือนดวงอาทิตย์ขนาดย่อมๆและแสงสว่างที่ออกมาจากร่างกายของเขาก็สว่างไปทั่วบริเวณนี้
ในห้องโถงของตระกูลซูนั้นมีคนกำลังนั่งอยู่ หากเป็นในวันปกติซูจงซานคงจะนอนหลับไปแล้วด้วยช่วงอายุที่แก่ชราของเขา แต่ในวันนี้ไม่ได้มีเพียงแค่เขาที่อยู่ที่นี่แต่ซูจุนและซูจินหลุนก็มาอยู่ภายในห้องนี้ด้วยเช่นกัน
พวกเขาทั้ง 3 คนนั่งอยู่ในห้องรับแขกแต่ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมา แม้ว่าประตูห้องจะถูกปิดสนิทแต่ลมหนาวก็สามารถพัดเข้ามาจนทำให้แสงเทียนหรี่ลงไปได้
ในตอนนี้ดูเหมือนว่าความสนใจของทั้ง 3 คนจะไม่ได้อยู่ที่นี่แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกหนาวก็ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาเลย ดูเหมือนทุกๆคนกำลังจดจ่ออยู่กับความคิดของตนเอง
ซูจงซานไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆออกมาแต่ในส่วนลึกของดวงตาของเขานั้นมีความกังวลที่แสดงให้เห็น
ซูจุนก็ดูเป็นกังวลอย่างยิ่ง
สำหรับซูจินหลุนบางทีอาจเป็นเพราะด้วยช่วงอายุของเขาเขาจึงไม่อาจเก็บอารมณ์ได้เหมือนกับท่านปู่และท่านพ่อ เขาจ้องมองออกไปนอกประตูอยู่ตลอดเวลาและความกังวลบนใบหน้าของเขานั้นแสดงออกมาอย่างชัดเจน
ในเมืองเดียวกันนั้นก็มีอีกสถานที่หนึ่งที่มีสถานการณ์คล้ายคลึงกับตระกูลซู
เผิงซ่งหลายเดินวนรอบห้องไม่หยุด ภรรยาและลูกสาวของเขาก็นั่งอยู่เคียงข้างกันในห้องนี้
เผิงมี่เงยหน้าขึ้นมามองบิดาของตนเองอยู่บ่อยครั้ง แต่ส่วนใหญ่นั้นนางจะก้มหน้าด้วยความโศกเศร้า นางรู้ดีว่าสามีของตนเองนั้นจากไปแล้ว
ซ่งฉี เซี่ยเจิ้งและเซี่ยเหมี่ยวก็ยังไม่ได้ออกไปจากที่นี่ เพราะในตอนนี้ฆาตกรของคดีนี้ยังไม่ถูกจับกุมตัว พวกเขาก็ทำได้เพียงพักอยู่ที่นี่ต่อไปเท่านั้น
ในตอนนี้ทั้ง 3 คนรวมตัวกันอยู่ในห้องเล็กๆแห่งหนึ่ง บนโต๊ะมีจานอาหารมากมาย ซ่งฉีและเซี่ยเจิ้งกำลังดื่มสุรากัน เซี่ยเหมี่ยวกำลังนั่งอยู่ด้วยสีหน้าที่บูดบึ้งแต่ไม่ได้ดื่มสุราเพียงแค่เติมถ่านลงไปในเตาไฟด้านหน้าเท่านั้น
"เหล่าเซี่ย ท่านคิดว่าฆาตกรจะเป็นใครงั้นหรือ?" ซ่งฉียกจอกสุราขึ้นมาดื่ม จากนั้นก็ใช้ตะเกียบคีบถั่วลิสงโยนเข้าไปในปากของตนเอง
เซี่ยเจิ้งจ้องมองมาที่ซ่งฉีและตอบกลับมาด้วยความไม่พอใจ "ขนาดท่านซ่งฉียังไม่ทราบ แล้วข้าจะทราบได้อย่างไรกัน?"
"มันไม่เหมือนกัน แม้ว่าข้าจะเชี่ยวชาญในงานสายนี้และเคยประสบพบเจอกับเรื่องราวที่แปลกประหลาดมามากมาย แต่วิญญาณจริงๆมีรูปร่างหน้าตาเป็นยังไงนั้นข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย" ซ่งฉีตอบกลับมา
"ไม่ว่าฆาตกรเป็นใครนั้น หลังจากผ่านคืนนี้ไปพวกเราคงได้รู้แน่นอน" เซี่ยเจิ้งพูดพร้อมกับยกจอกสุราขึ้นมาดื่ม
"ท่านลุงสาม ในโลกใบนี้ไม่มีภูตผีวิญญาณแน่นอนข้าคิดว่ามันคงเป็นเรื่องราวที่แปลกประหลาดบางอย่างเท่านั้น ทำไมท่านไม่ให้ข้าออกไปด้วย? พวกเรา 3 คนร่วมมือกันจะเอาชนะศัตรูไม่ได้เลยหรือ?" ในตอนนี้เซี่ยเหมี่ยวที่กำลังเติมถ่านลงไปในเตาไฟก็พูดขึ้นมาทันที
"ไอ้เด็กเวร เจ้าลืมไปแล้วหรือไงว่าข้าเคยสอนอะไรให้เจ้าไปบ้าง?" เซี่ยเจิ้งหันมาจ้องมองเซี่ยเหมี่ยวด้วยสายตาที่ดุร้ายทันที
เซี่ยเหมี่ยวเห็นสายตาของท่านลุงสาม เขาก็ก้มหน้าลงทันทีและบ่นพึมพำออกมาเบาๆจนคนข้างๆไม่อาจเข้าใจได้ว่าเขาพูดอะไรอยู่
"เอาล่ะ เอาล่ะ คนหนุ่มสาวย่อมมีความกล้าไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใดอยู่แล้วใช่ไหม? นึกถึงตอนที่พวกเรายังอายุน้อยสิพวกเราก็เป็นแบบนี้เหมือนกันไม่ใช่หรือ? จนกว่าเขาจะได้เผชิญเรื่องราวต่างๆด้วยตัวเองไม่มีทางที่เขาจะเข้าใจที่ท่านพูดได้หรอก มันไม่ใช่ว่าท่านสอนเขาไม่ดีแต่เขาคงอยากจะเรียนรู้สิ่งต่างๆด้วยตนเองมากกว่า" ซ่งฉีรีบเข้าไปขัดจังหวะการทะเลาะกันของลุงหลานคู่นี้ทันที เขาย่อมรู้ดีว่าเซี่ยเจิ้งตั้งความหวังกับหลานชายของตนเองเอาไว้สูงแค่ไหน
แต่ก็อย่างที่เขาพูดไปในตอนนี้ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเติบโตขึ้นโดยไม่มีประสบการณ์ชีวิต
เมื่อได้ยินคำพูดของซ่งฉี เซี่ยเจิ้งก็ไม่พูดอะไรและทานอาหารต่อจากนั้นเขาก็ส่ายศีรษะพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆขึ้นมา เรื่องนี้เขาอาจจะเป็นคนผิดจริงๆ
ในช่วงชีวิตที่ผ่านมาของเขาเซี่ยเจิ้งมีเรื่องที่ไม่อาจเข้าใจได้มากมาย แต่เมื่อมันเป็นเรื่องสำคัญของหลานชายของเขา เขากลับพยายามทำให้หลานชายของตนเองเป็นไปอย่างที่เขาต้องการ
ในตอนที่อยู่ในวัยเดียวกับเซี่ยเหมี่ยวนั้น เมื่อเขาไม่อาจหลบหนีไปได้หรือพ่ายแพ้แล้วเขาก็จะสู้จนถึงที่สุดและเขาไม่เคยหวาดกลัวต่อสิ่งใดเลย เขาเป็นแบบนั้นแม้ว่ามันจะทำให้เขาต้องเดือดร้อนมากเพียงใดก็ตาม
ในตอนนี้อายุของเขาเพิ่มมากขึ้นแล้วและเขาไม่อยากให้เซี่ยเหมี่ยวเป็นเหมือนกับตนเองในอดีต แต่ความคิดของชายอายุ 20 และชายที่มีอายุ 50-60 ปีจะเหมือนกันได้อย่างไร?
หลังจากได้คิดเรื่องนี้เซี่ยเจิ้งก็เลิกเป็นห่วงเซี่ยเหมี่ยวทันที เขาคิดในใจว่าควรยอมในเรื่องนี้และถึงเวลาปล่อยให้อีกฝ่ายทำในสิ่งที่เขาต้องการแล้วใช่ไหม? เพราะไม่ว่าวิหคตัวไหนก็ตามไม่อาจหลบอยู่ใต้ปีกของแม่มันได้ตลอดเวลาต้องมีช่วงเวลาที่บินออกไปใช้ชีวิตของตนเอง
"อะไรกัน!"
ทันใดนั้นซ่งฉีก็มองออกไปที่ประตูในขณะที่เขากำลังถือจอกสุราเอาไว้ในมือพร้อมกับพูดออกมา
แม้ว่าประตูห้องจะปิดอยู่ในตอนนี้แต่ถ้าหากมองผ่านออกไปทางหน้าต่างก็จะสามารถมองเห็นท้องฟ้าข้างนอกได้อย่างชัดเจน
"เกิดอะไรขึ้นกัน?" เซี่ยเจิ้งก็เห็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ในตอนนี้ด้วยเช่นกัน เขาลุกขึ้นและเปิดประตูออกไปทันที
สายลมที่หนาวเย็นพัดเข้ามาภายในห้องทำให้ร่างกายของเขาสั่นขึ้นมาแต่ในตอนนี้เซี่ยเจิ้งไม่สนใจเรื่องพวกนี้อีกต่อไป เขาก้าวออกไปข้างหน้าพร้อมกับจ้องมองท้องฟ้าที่กำลังสว่างไสว
แม้แต่ซ่งฉีและเซี่ยเหมี่ยวก็ก้าวตามหลังออกมาด้วยเช่นกัน พวกเขารีบออกมาจากห้องอย่างรวดเร็วและมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
"ท่านพ่อดูนั่นสิ" ทันทีที่เผิงซ่งหลายกลับมานั่งลงบนเก้าอี้ของเขา เสียงของลูกสาวเขาก็ดังขึ้นทันที จากนั้นเขาก็หันไปมองแสงสว่างที่เกิดขึ้นในตอนนี้ตามสัญชาตญาณ
เผิงซ่งหลายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ก่อนหน้านี้ก็กระโดดขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขารีบวิ่งไปที่ประตูบ้านและเปิดออกพร้อมกับจ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
"นี่มัน นี่มันอะไรกัน ..." เผิงมี่ก็ตามหลังบิดาของนางมาติดๆ แต่นางก็เหมือนกับเผิงซ่งหลายที่ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในตอนนี้
ในตระกูลซูก็มีการตื่นตัวเช่นเดียวกัน ซูจงซาน ซูจุน และซูจินหลุนต่างก็รีบวิ่งออกมาที่สวนหลังบ้านพร้อมกับจ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
"ท่านปู่ มันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ" ซูจินหลุนพูดออกมาด้วยเสียงที่กำลังสั่น
"ใช่แล้วมันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ" ซูจงซานพยักหน้าแต่สายตาของเขายังคงจ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
แม้ว่าเหตุการณ์นี้จะไม่ได้เกี่ยวข้องกับตระกูลของเขาแต่ในใจของซูจงซานมันสำคัญยิ่งกว่าตระกูลของเขาเสียอีก ไม่ใช่แค่เผิงซ่งหลายที่ต้องเป็นหนี้บุญคุณเขาแต่ยังมีลูกเขยคนโตของเขาที่เป็นผู้พิพากษาของมณฑลด้วยเช่นกัน
แต่เรื่องนี้ก็เกิดขึ้นได้เพราะว่าตระกูลซูสร้างความสัมพันธ์กับมู่อี้
แม้ว่ามันจะไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่เหมือนกับคนในครอบครัวแต่มู่อี้ก็ถือว่ามีความสัมพันธ์กับตระกูลซูอย่างลึกซึ้ง ยิ่งมู่อี้แข็งแกร่งขึ้นมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งเป็นผลดีต่อตระกูลซูมากเท่านั้น
"น่าเสียดายที่เราไม่อาจมองเห็นได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในตอนนี้" ซูจินหลุนพูดออกมาด้วยความรู้สึกเสียดาย
"จินหลุน" ซูจงซานพูดออกมาทันที
"ขอรับ" ซูจินหลุนรีบรับคำสั่ง
"จงไปเตรียมของกำนัลเอาไว้ให้พร้อม พรุ่งนี้ข้าจะขึ้นไปที่ภูเขาฟุเนียว" ซูจงซานพูดขึ้นมาทันที
"ท่านปู่ ท่านจะขึ้นไปบนภูเขาหรือขอรับ? แต่ ..." ซูจินหลุนไม่ได้พูดอะไรต่อ
"แม้ว่าข้าจะต้องปีนภูเขาข้าก็จะปีน ตราบใดที่ข้าสามารถไขว่คว้าโอกาสครั้งนี้เอาไว้ได้ตระกูลซูจะสามารถโบยบินขึ้นไปบนท้องฟ้าได้อย่างแน่นอน" ซูจงซานบ่นพึมพำกับตนเอง ในสายตาของเขาเต็มไปด้วยเปลวเพลิงแห่งความปรารถนาที่อยู่ข้างใน ในวันนี้ตระกูลซูได้พบโอกาสที่จะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่งแล้ว
ในตอนท้ายของการต่อสู้ที่เกิดขึ้นนั้น เมื่อมู่อี้ระเบิดพลังออกมาสถานการณ์ก็พลิกผันในทันที