ตอนที่ 43 การตอบรับ
ตอนที่ 43 การตอบรับ
มู่อี้กลับขึ้นไปบนภูเขาหลังจากที่เขาเข้าไปในร้านขายกระดาษและน้ำหมึกตามที่เผิงมี่พูดถึงและก็จากไปอย่างเงียบๆโดยไม่รบกวนใคร
เขาบอกกับเผิงซ่งหลายว่าต้องกลับไปบนภูเขาเพื่อเตรียมบางสิ่งบางอย่างและในตอนนี้เขามีตัวเลือกในใจแล้วว่าฆาตกรเป็นใคร
มู่อี้กลับไปที่ภูเขาเพราะต้องการหาสิ่งที่สามารถช่วยเหลือเขาได้เพราะเขารู้ดีว่าฆาตกรไม่ใช่คนที่อ่อนแอเลย มู่อี้จึงต้องหาสิ่งที่สามารถช่วยเหลือเขาได้และเขาไม่เคยคิดจะต่อสู้อย่างยุติธรรมกับใคร สำหรับเขาแล้วชีวิตของเขาสำคัญที่สุดเพราะหากเขาตายไปก็ไม่สามารถโทษใครได้นอกจากตัวเองเท่านั้น
โชคดีที่มู่อี้ไม่ใช่คนหยิ่งยโส เขาไม่คิดว่าตนเองจะสามารถฟันฝ่าอุปสรรคทุกๆอย่างได้เพียงลำพังดังนั้นเขาจึงตัดสินใจพาเนี่ยนหนิวเอ้อร์ไปกับเขาด้วย
แม้เนี่ยนหนิวเอ้อร์จะเป็นเพียงวิญญาณเด็กสาวตัวเล็กๆแต่ก็เป็นวิญญาณอาฆาต ถ้าเขาต้องต่อสู้กับนางแม้ว่าจะมีตะเกียงทองแดงก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าเขาจะเอาชนะนางได้ แต่ในตอนนี้มู่อี้และนางมีความผูกพันกันอย่างมากและจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นแน่นอน
หากศัตรูเป็นวิญญาณเขาอาจจะรู้สึกดีกว่าด้วยซ้ำ ตราบใดที่วิญญาณไม่แข็งแกร่งจนเกินไปก็ไม่สามารถต้านทานพลังจากตะเกียงทองแดงของเขาได้ แต่คราวนี้คู่ต่อสู้ของมู่อี้เป็นมนุษย์ที่โหดเหี้ยมและมากด้วยเล่ห์เหลี่ยมดังนั้นมู่อี้จึงไม่สามารถประมาทได้
ยิ่งกว่านั้นจนถึงตอนนี้มนุษย์ที่เขาเคยต่อสู้มีเพียงฉือกุยเท่านั้น และเขาเป็นฝ่ายโจมตีก่อนโดยที่ฉือกุยไม่รู้ตัวทำให้ฉือกุยได้รับบาดเจ็บสาหัสและพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว แต่ถึงกระนั้นอีกฝ่ายก็สามารถหลบหนีไปได้ดังนั้นคราวนี้มู่อี้จะไม่ทำผิดพลาดอีกครั้ง
หลังจากกลับไปที่ภูเขามู่อี้ก็เล่าสิ่งที่เขาคิดให้เนี่ยนหนิวเอ้อร์ฟังในทันที เนี่ยนหนิวเอ้อร์มีความสุขมากที่ได้ช่วยเหลือมู่อี้และนางอยากจะลงจากภูเขาไปตอนนี้เลย
อย่างไรก็ตามในตอนนี้เป็นเวลากลางวันจึงไม่เหมาะสำหรับเนี่ยนหนิวเอ้อร์มันเป็นการดีที่สุดที่จะรอจนถึงกลางคืน หลังจากมู่อี้บอกทุกอย่างกับนางไป เขาก็กลับไปที่ห้องของตนเอง วางน้ำหมึกที่ซื้อมาไว้บนโต๊ะและศึกษามันอย่างเงียบๆ
มู่อี้ใส่ผงชาดและเลือดบนหินฝนหมึก หลังจากผสมให้เข้ากันสีก็ยิ่งสวยขึ้นเรื่อยๆ เมื่อผสมเป็นเนื้อเดียวกันอย่างสมบูรณ์ก็มีแสงเงาลึกลับปรากฏขึ้น สีที่เกิดจากการผสมของเลือดและผงชาดสวยสดงดงามเกินคำบรรยาย
จากนั้นมู่อี้ก็หยุดและหยิบพู่กันที่ตั้งอยู่ข้างๆขึ้นมา มันเป็นพู่กันพิเศษที่สร้างขึ้นเพื่อวาดอักขระโดยเฉพาะ ด้ามจับของพู่กันทำมาจากหยก ขนแปรงทำมาจากขนพังพอนสีเหลือง พู่กันมีน้ำหนักที่พอดีไม่เบาหรือหนักจนเกินไปและขนแปลงไม่นุ่มหรือแข็งกระด้างซึ่งมีความลงตัวอย่างมาก
ก่อนหน้านี้มู่อี้สามารถวาดยันต์สายฟ้าได้โดยบังเอิญและตั้งแต่นั้นเป็นต้นมามูอี้ไม่เคยที่จะหยุดฝึกวาดมันอีกเลย อย่างไรก็ตามเขาก็ยังไม่สามารถวาดยันต์สายฟ้าได้อย่างสมบูรณ์ราวกับว่ามีบางสิ่งที่ขาดหายไป
และสิ่งที่ขาดหายไปนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถวาดยันต์สายฟ้าได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตามด้วยการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาที่ผ่านมาทำให้มู่อี้เกือบจะเข้าใจความรู้สึกในตอนนั้น ตราบใดที่เขาพบความรู้สึกนั้นอีกครั้งเขาก็จะสามารถวาดยันต์สายฟ้าได้อย่างสมบูรณ์
มู่อี้เป็นผู้ที่มีจิตใจสงบอยู่เสมอ เขาปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติไปไม่รีบร้อนอะไร เขารู้ว่าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมเขาก็จะสามารถวาดมันออกมาได้เอง
แต่ตอนนี้เขาอยากวาดยันต์สายฟ้าให้สำเร็จอย่างยิ่งเพราะนี่เป็นยันต์ที่ทรงพลังที่สุดของเขาในตอนนี้
ศัตรูในครั้งนี้คือมนุษย์ดังนั้นยันต์สะกดวิญญาณไม่มีประโยชน์เลย ยันต์ประเภทโจมตีทั้งสองของเขามุ่งเน้นไปที่การต่อสู้กับวิญญาณมากกว่า ยันต์ปราบปีศาจนั้นมีผลต่อมนุษย์แต่มันก็ไม่ได้ทรงพลังมากและมีประสิทธิภาพน้อยกว่าการใช้กับวิญญาณ
ยันต์ที่มู่อี้สามารถวาดได้ในปัจจุบันมีเพียงยันต์สายฟ้าเท่านั้นที่เหมาะสมที่สุด ไม่เพียงมีพลังโจมตีที่รุนแรงและรวดเร็ว แต่ยังยากที่จะป้องกันอีกด้วย
เมื่อฉือกุยใช้ธงราชันย์แห่งวิญญาณของเขาเพื่อปกป้องตัวเองจากยันต์สายฟ้า ธงราชันย์แห่งวิญญาณก็หักออกเป็นสองส่วน แม้ว่าธงราชันย์แห่งวิญญาณจะแข็งแกร่งอย่างมาก แต่พลังของยันต์สายฟ้าก็สามารถทำลายมันได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้นมู่อี้จึงหวังที่จะสามารถวาดยันต์สายฟ้าให้สำเร็จก่อนการต่อสู้เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขาเอาชนะฆาตกรได้
มู่อี้ทำจิตใจให้ว่างเปล่า จับพู่กันและยืนอยู่กับที่อย่างเงียบๆโดยปราศจากการเคลื่อนไหว
เขาพยายามนึกถึงความรู้สึกในตอนที่วาดยันต์สายฟ้าสำเร็จ ในตอนนั้นเขาติดอยู่ระหว่างการฝึกก้าวแรกและก้าวที่สองมันจึงเป็นเรื่องยากที่จะวาดยันต์สายฟ้าได้สำเร็จ แต่หลังจากไม่สามารถเขียนยันต์สายฟ้าได้สำเร็จและมีความคิดที่วุ่นวาย เขาก็ทำใจให้สงบและเข้าสู่สมาธิ จากนั้นก็สามารถวาดยันต์สายฟ้าได้สำเร็จ
และหลังจากที่เขาวาดยันต์สายฟ้าเสร็จแล้ว เขาก็สามารถก้าวสู่ขั้นที่ 2 ได้สำเร็จเช่นกัน
"สวรรค์และมนุษย์รวมกันเป็นหนึ่ง?" มู่อี้อดไม่ได้ที่จะนึกถึงความรู้สึกในตอนนั้นแต่เขาก็ไม่แน่ใจด้วยเช่นกัน เขาจำได้ว่าในอดีตท่านปู่เคยพูดถึงเรื่องนี้แม้ว่าความทรงจำที่มีอยู่จะเลือนลางแต่เขาจำได้ว่าชายชราเคยกล่าวถึงสวรรค์และมนุษย์รวมกันเป็นหนึ่ง แต่ในตอนนั้นมู่อี้ไม่เข้าใจในสิ่งที่ท่านปู่กล่าวถึงอาจเป็นเพราะเขายังฝึกฝนตัวเองไม่เพียงพอ
ยิ่งไปกว่านั้นสวรรค์และมนุษย์รวมกันเป็นหนึ่งนั้นกล่าวกันว่าเป็นสิ่งที่ลึกลับอย่างยิ่งและผลของมันย่อมไม่ใช่เรื่องเล็ก อย่างน้อยที่สุดช่วงเวลาที่เกิดขึ้นมันก็ทำให้เขาติดอยู่ในภวังค์และยกระดับพลังของเขาในชั่วพริบตา
และจากนั้น ...
มู่อี้ขมวดคิ้วขึ้นมาเพราะจิตใจของเขาจดจ่ออยู่กับการความรู้สึกในช่วงเวลานั้น ดังนั้นเขาจึงเพิกเฉยต่อสิ่งที่ต่างๆรอบตัวเขา เมื่อมู่อี้พยายามอย่างหนักที่จะคิดย้อนกลับไปในที่สุดความรู้สึกในช่วงเวลานั้นก็ค่อยๆปรากฏขึ้นมาทีละเล็กน้อย
ในตอนนั้นพลังแห่งจิตใจของเขาก็แผ่กระจายออกมาโดยไม่รู้ตัวราวกับว่ามันมีการตอบรับกับโลกภายนอก
ในตอนนั้นเขาไม่ได้มีความเข้าใจใดๆเลย เพียงแต่วาดยันต์สายฟ้าตามสัญชาตญาณเท่านั้น
ปล่อยมันไปตามสัญชาตญาณ?
เมื่อมู่อี้คิดเช่นนี้ ทันใดนั้นมือขวาของเขาก็เคลื่อนไหวอย่างฉับพลันและจุ่มพู่กันลงในหินฝนหมึก เมื่อเขายกพู่กันขึ้นหมึกสีแดงก็เป็นประกายระยิบระยับภายใต้แสงแดดที่ส่องเข้ามาภายในวัดร้างแห่งนี้
"ฟึบ ฟึบ ฟึบ!"
ในพริบตาอักขระยันต์สายฟ้าก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหน้าของมู่อี้ เขาเห็นแสงที่ปรากฏขึ้นด้านบนของแผ่นยันต์เหมือนเป็นสัญญาณว่ามันกำลังจะสำเร็จแล้ว แต่สุดท้ายแสงก็ค่อยๆเลือนลางและสลายหายไป
ยันต์สายฟ้าที่วางอยู่บนโต๊ะก็ติดไฟขึ้นมาทันทีและกลายเป็นกองขี้เถ้าในพริบตา
ยันต์สายฟ้าที่มีไฟลุกไหม้ขึ้นมานั้นเป็นยันต์ที่เขาวาดไม่สำเร็จ นี่เป็นครั้งแรกที่มู่อี้ได้เห็นสิ่งนี้ เมื่อเขาวาดยันต์สะกดวิญญาณและยันต์ขับไล่ปีศาจแม้ว่าจะล้มเหลวก็ไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น
แต่มันไม่เหมือนยันต์สายฟ้าที่เขาวาดในตอนนี้ เมื่อล้มเหลวมันก็เกิดไฟลุกไหม้ขึ้นมาทันที
แม้ว่าจะเขียนยันต์สะกดวิญญาณได้สำเร็จก็มีเพียงประกายแสงจางๆที่สว่างเล็กน้อยเท่านั้นไม่เหมือนตอนที่วาดยันต์สายฟ้าได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตามยิ่งแสงมีความรุนแรงมากขึ้นเท่าไหร่ก็เท่ากับว่าพลังของยันต์ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
แม้ว่ามันจะล้มเหลวในครั้งนี้แต่ใบหน้าของมู่อี้ไม่ได้ดูสิ้นหวังเลย ในทางตรงกันข้ามใบหน้าของเขากลับมีรอยยิ้มที่มีความสุขเพราะในที่สุดเขาก็สัมผัสได้ถึงกุญแจสู่ความสำเร็จของยันต์สายฟ้า เมื่อเปรียบเทียบกับยันต์สะกดวิญญาณที่ต้องใช้พลังของเขาในการวาดแล้ว การวาดยันต์สายฟ้านั้นต้องใช้พลังแห่งสวรรค์และโลก เพราะเหตุนี้พลังของยันต์ทั้งสองจึงแตกต่างกันมาก
ด้วยเหตุนี้มู่อี้จึงล้มเหลวในการวาดยันต์สายฟ้ามาโดยตลอด
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความสำเร็จในการวาดยันต์สายฟ้า นอกจากจะแสดงให้เห็นว่ามู่อี้มีความแข็งแกร่งที่มากพอแล้ว มันยังแสดงให้เห็นว่าการฝึกฝนระยะสั้นๆได้เติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปของเขาให้สมบูรณ์อีกด้วย