ตอนที่ 26 : ปัญหาของผู้ลี้ภัย
หลังจากที่พวกเรากลับมาถึงปราสาท, ฉันก็เชิญลินเฟียมาที่ห้อง
ฉันนั่งลงบนโซฟาตรงข้ามเธอแล้วเริ่มการสนทนา
“ก่อนอื่นขอขอบคุณอีกครั้งนะลินเฟีย ถ้าเจ้าไม่อยู่ที่นั่นข้าก็คงจะตายไปแล้ว”
“ข้ามีข้อสงสัยอยู่ นักฆ่าคนนั้นไม่ได้พยายามฆ่าท่านนี่ ในเมื่อเป็นแบบนั้น, พ่อบ้านที่ยืนอยู่ข้างหลังท่านก็น่าจะมาช่วยทันไม่ใช่หรอ?”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ, ถ้าไม่มีเจ้าข้าก็คงไม่สามารถเอาตัวรอดจากเหตุการณ์นั้นได้โดยไม่มีบาดแผล ขอบใจนะ”
“ข้าทำเพื่อตัวเองค่ะ แล้วข้าก็ไม่อยากให้ท่านขอบคุณข้าอย่างเดียวด้วย”
ลินเฟียพูดแบบนั้นออกมาโดยสีหน้าไม่เปลี่ยนเลย
เป็นเด็กสาวที่ดูสงบเสงี่ยมจังเลยนะ น้ำเสียงของเธอราบเรียบและเธอก็ไม่ปล่อยให้มีอารมณ์อะไรแสดงออกมาทางสีหน้าด้วย ในฐานะนักผจญภัยแบบลุยเดี่ยว, ฉันคิดว่าเธอขาดเสน่ห์ไปหน่อย แต่ก็เอาเถอะ, ถึงอย่างนั้นเธอก็มีความสามารถมาทดแทนตรงจุดนี้
“ก็ได้ ไหนลองว่ามาซิ”
“ขอบคุณมากค่ะ ข้าเกิดในหมู่บ้านที่พรมแดนทางใต้ของจักรวรรดิ ถ้าข้าบอกว่ามาจากหมู่บ้านผู้ลี้ภัย, ท่านก็น่าจะพอเดาเรื่องราวได้ใช่ไหมคะ?”
หมู่บ้านผู้ลี้ภัย
ฉันขมวดคิ้วในทันทีที่คำนี้หลุดออกมา ฉันคิดว่ามันน่าจะมีปัญหาแต่นี่มันดูท่าจะยุ่งยากกว่าที่ฉันคิดเอาไว้ซะแล้ว
หมู่บ้านผู้ลี้ภัยที่ว่านี้หมายถึงสถานที่ที่ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาในจักรวรรดิด้วยกันจนก่อตั้งเป็นหมู่บ้าน แต่เดิมนั้นพวกเขาไม่ใช่ประชาชนของจักรวรรดิ คนพวกนี้ย้ายมาจากบ้านของตัวเองเนื่องจากสงครามหรือไม่ก็วิกฤตการณ์มอนส์เตอร์
“แน่นอนว่าข้าพอจะเดาได้อยู่ มันคงเป็นปัญหาที่แม้แต่ข้าเองก็คงจะจัดการได้ยากสินะ เอาเถอะ, ข้าจะฟังเรื่องราวให้จบก่อน”
“ค่ะ คิดว่าท่านคงรู้อยู่แล้ว, มีผู้คนจากหลากหลายที่อยู่ในหมู่บ้านผู้ลี้ภัยแต่ส่วนใหญ่นั้นจักรวรรดิไม่ได้รับรู้ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ พวกเขาเข้ามาในจักรวรรดิและก่อตั้งหมู่บ้านขึ้นมาตามใจชอบ ข้าไม่มีความตั้งใจที่จะบ่นในเรื่องนี้ เพราะข้าเองก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นเหมือนกัน แต่ว่า....ตอนนี้พวกเราต้องการความช่วยเหลือจากจักรวรรดิค่ะ”
“มีปัญหาเกิดขึ้นสินะ?”
“ตามนั้นค่ะ หมู่บ้านของพวกเรากลายเป็นเป้าหมายของพวกค้ามนุษย์ มีผู้หญิงกับเด็กหลายคนถูกลักพาตัว ส่วนเหตุผลที่พวกเราตกเป็นเป้าหมายนั้นก็เพราะว่าหมู่บ้านของเราก่อตั้งขึ้นมาด้วยความร่วมมือจากคนหลายเชื้อชาติ รวมทั้งตัวข้าด้วย, มีผู้คนอีกมากมายในหมู่บ้านของข้าที่เป็นลูกครึ่ง”
ลูกครึ่งไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติขนาดนั้น
ถ้าพวกเรากำลังพูดถึงเรื่องนี้ฉันเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน
สำหรับจักรวรรดินั้นผมสีดำไม่ใช่ของแปลกอะไร แต่ว่านัยตาสีดำมันค่อนข้างแปลกนิดหน่อย เอาเถอะ, บางทีมันก็ทำให้ผู้คนคิดว่าเป็นคนจากฝั่งตะวันออกรึเปล่านะ
พูดอีกนัยนึงก็คือ, นี่ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้คนของเธอถูกลักพาตัว
“ลูกครึ่งในหมู่บ้านของเจ้ามีความพิเศษบางอย่างด้วยใช่ไหม?”
“......พวกเขามีม่านตาสองสีค่ะ”
ในตอนที่ได้ยินประโยคนี้, คำว่า ‘ว่าแล้วเชียว’ ก็ผุดขึ้นมาในหัวของฉัน เหตุผลที่ลูกครึ่งถูกลักพาตัวนั้นมีแค่เรื่องเดียวพวกเขามีสายเลือดของเผ่ากึ่งมนุษย์
ฉันเดาะลิ้นแล้วนั่งไขว่ห้างโดยไม่รู้ตัว
มันเป็นหัวข้อสนทนาที่ค่อนข้างอ่อนไหว ดวงตาสองสีคือปรากฎการณ์ที่คนๆนึงจะมีสีของม่านตาแต่ละข้างแตกต่างกัน ปัญหามันอยู่ตรงที่ว่าพวกเขาสามารถนำไปขายได้ในราคาที่สูงมาก ซึ่งสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะพวกเขาหายากและส่วนใหญ่มักจะมีพลังเวทย์สูง
“ข้าไม่สามารถมองข้ามเรื่องการค้ามนุษย์ได้แต่พรมแดนทางใต้นั้นมีการจัดการค่อนข้างดี แทนที่จะดั้งด้นมาขอความช่วยเหลือถึงเมืองหลวงของจักรวรรดิมันจะไม่ดีกว่าหรอถ้าเจ้าไปติดต่อลอร์ดท้องถิ่นในเมืองใหญ่ๆที่อยู่ในระแวกใกล้เคียงหรือไม่ก็เจ้าหน้าที่ทหารที่ดูแลเขตนั้น?”
“ข้าลองดูแล้วค่ะ แต่ไม่มีใครยอมเคลื่อนไหวเลย พวกเขาบอกว่าไม่มีหลักฐานหรือไม่ก็มันไม่มีหมู่บ้านแบบนั้นในจักรวรรดิหรอก.... และเพราะแบบนี้เองข้าก็เลยออกจากหมู่บ้านเพื่อมาขอความช่วยเหลือจากคนใหญ่คนโตในเมืองหลวง มันเป็นโชคดีของข้า, ที่ไม่ได้มีดวงตาสองสี จากนั้น, ในตอนที่ข้ารับคำขอให้กำจัดมอนส์เตอร์ทางเขตตะวันตก, ข้าก็ได้ไปเจอกับซิลเวอร์ที่นั่น เนื่องจากมีข่าวลือมาว่าซิลเวอร์นั้นติดต่อกับราชวงศ์อยู่ภายใต้เหตุผลบางอย่าง, ข้าก็เลยมาที่เมืองหลวงของจักรวรรดิโดยหวังที่จะติดต่อเขา แต่ในท้ายที่สุด, ก่อนที่ข้าจะได้เจอเขา, ข้าก็มาเจอท่านก่อน”
“ช่างเป็นการพบกันที่บังเอิญจริงๆ แต่ว่า, พวกเขาไม่ยอมเคลื่อนไหวงั้นสินะ.....”
สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเข้ามาในหัวของฉัน และปัญหานี้ก็เป็นสถานการณ์ที่ยุ่งยากที่สุดด้วย
สถานการณ์ที่ว่านี้ก็คือลอร์ดท้องถิ่นกับทหารในพื้นที่เป็นหุ้นส่วนกับองค์กรค้ามนุษย์ และถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆนี่ก็จะไม่ใช่แค่เรื่องของหมู่บ้านผู้ลี้ภัยอีกต่อไป
มันจะกลายเป็นปัญหาเรื่องการทุจริตของขุนนางและกองทัพ
และถ้าเป็นแบบนั้น, ฉันคนเดียวก็คงจะมีเวลาไม่พอที่จะจัดการเรื่องนี้
“ท่านอาร์โนลด์ครับ, ต่อให้เป็นคำขอของผู้ช่วยชีวิต, แต่ท่านคงต้องยอมรับตั้งแต่ที่ท่านรู้แล้วนะครับว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับท่าน”
“เซบาส.....”
“ทำไมหล่ะคะ?”
“ท่านอาร์โนลด์กับน้องชายของเขาท่านลีโอนาร์ดจะถูกส่งไปประเทศอื่นในเร็วๆนี้ในฐานะทูตและผู้ช่วยทูตครับ เขาจะไม่สามารถกลับมาที่จักรวรรดิได้เป็นเวลาอย่างน้อยที่สุดก็ครึ่งเดือน, หรืออย่างนานที่สุดก็หลายเดือน ต่อให้เขาอยากจะช่วย, เขาก็ไม่มีเวลามากพอที่จะจัดการเรื่องนั้นหรอกครับ”
“เป็นอย่างนี้นี่เอง........ถ้างั้นอย่างน้อยก็ช่วยเรื่องเงินทุนหน่อยได้ไหมคะ? ข้าจ้างนักผจญภัยที่ไว้ใจได้ไปปกป้องหมู่บ้านแล้ว หมู่บ้านคงจะปลอดภัยไปได้สักพักนึงแต่ในเร็วๆนี้พวกเราก็จะมีเงินไม่พอสำหรับจ้างนักผจญภัย ข้าได้มอบเงินที่ข้ามีให้พวกเขาไปด้วยเป็นค่าใช้จ่ายล่วงหน้าแต่มันก็ยังไม่พอที่จะให้พวกเขาอยู่หมู่บ้านไปตลอด....”
อย่างนี้นี่เอง นี่คือเหตุผลที่เธอมาเป็นนักผจญภัยสินะ
คอยเก็บเงินไปด้วยในขณะที่เสาะหานักผจญภัยที่ไว้ใจได้ การทำแบบนี้ถือว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการทำสองเป้าหมายพร้อมกัน
เธอเข้าใจคิดใช้ได้เลยนะเนี่ย
ว่าแต่, จะเอายังไงดีนะ
เรื่องมันจะง่ายขึ้นถ้าฉันเลือกที่จะทิ้งเธอ ในช่วงเวลาแบบนี้ฉันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหาปัญหามาใส่ตัวเพิ่ม
ต่อให้เธอบอกว่าเป็นคนช่วยชีวิตฉัน, นั่นมันก็แค่ผิวเผิน ฉันไม่ได้เป็นคนขอให้เธอช่วย ยิ่งไปกว่านั้น, คำขอมันก็มีทั้งที่สามารถทำให้ได้และทำให้ไม่ได้
และไม่ว่าจะคิดยังไง, นี่มันก็เป็นอย่างหลังชัดๆ
อย่างไรก็ตาม, ถ้าฉันเลือกทิ้งเธอก็คงจะมีคนตำหนิ ฉันไม่สนใจที่จะถูกตำหนิหรอกแต่มันจะเป็นปัญหาเอาได้ถ้าพวกเขาเริ่มเคลื่อนไหวด้วยตัวเอง
ดูเหมือนว่าจะไม่มีทางเลือกแล้วสินะ
“ลินเฟีย ข้าเข้าใจสถานการณ์ของเจ้านะ เจ้าจะว่าอะไรไหมถ้าข้าจะขอให้ยอมรับการประนีประนอม?”
“ประนีประนอมหรอคะ?”
“ใช่, ข้ากับลีโอจะต้องไปต่างประเทศ นี่เป็นเรื่องที่หลักเลี่ยงไม่ได้ แต่ว่า, ในตอนที่กลับมาแล้วข้าจะพยายามช่วยเจ้าในขอบเขตความสามารถของข้า ข้าอยากให้เจ้ารอจนกว่าจะถึงตอนนั้น และแน่นอนว่า, ข้าจะส่งคำขอไปให้นักผจญภัยที่ข้าไว้ใจได้เพื่อรับรองความปลอดภัยของหมู่บ้านเจ้าไปสักพักนึง พวกเรามีเงินพอสำหรับเรื่องนั้นอยู่แล้ว ว่าไงหล่ะ?”
“แบบนั้นจะดีหรอคะ.....?”
“ท่านอาร์โนลด์......นี่มันค่อนข้างอันตรายนะครับ ท่านก็รู้ไม่ใช่หรอว่าพวกเรากำลังอยู่ในช่วงสงครามผู้สืบทอด? ถ้าตอนนี้ท่านเอาตัวเองไปยุ่งกับปัญหาอื่นท่านจะสร้างช่องโหว่วขึ้นมานะครับ สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้จะต้องเกิดขึ้นอีกในอนาคตอย่างแน่นอน”
“ถ้าเป็นแบบนั้นข้าเองก็จะให้ความช่วยเหลือเหมือนกันค่ะ แบบนี้โอเคไหมคะ?”
พอพูดจบ, ลินเฟียก็เอาดาบมาวางไว้บนโต๊ะ
ถ้ามองผ่านๆมันก็เป็นแค่ดาบบางๆเล่มนึงแต่จากที่เห็นมาก่อนหน้านี้, นี่คือดาบเวทมนตร์ มันสามารถเปลี่ยนรูปร่างเป็นหอกหรือโล่ได้ ถ้าตัดสินจากพลังที่ฉันเห็นกับหอก, แต่ละรูปแบบนั้นน่าจะมีความสามารถของตัวเอง
ลินเฟียแสดงมันให้เราเห็นโดยที่สีหน้าของเธอไม่เปลี่ยนเลย
“ถ้าท่านยอมปกป้องหมู่บ้านเพื่อข้า, ข้าเองก็จะคอยปกป้องท่านค่ะ รวมถึงข้าจะปกป้องในสิ่งที่ท่านอยากปกป้องด้วย แบบนี้พอจะตกลงกันได้ไหมคะ? ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ได้มีความมั่นใจมากมายนัก, แต่ข้าคิดว่าตัวเองค่อนข้างเก่งเรื่องปกป้องคนสำคัญในระดับนึง”
“ขอบคุณสำหรับข้อเสนอนะแต่ถ้าเจ้าไม่อยู่ที่หมู่บ้านจะไม่เป็นอะไรหรอ?”
“ตราบใดที่ท่านยอมส่งนักผจญภัยไปปกป้องพวกเขามันก็ไม่มีปัญหาหรอกค่ะ คนขององค์กรค้ามนุษย์ไม่ได้เก่งอะไรนัก ในตอนที่ข้ายังอยู่ที่หมู่บ้าน, ข้าคนเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะจัดการพวกมัน ถ้ามีนักผจญภัยแรงค์ A สักคนอยู่ในหมู่บ้าน, ความปลอดภัยก็ค่อนข้างจะแน่นอนแล้วค่ะ”
การที่ยอมพูดถึงขนาดนี้ก็แสดงว่าเธอเป็นเด็กที่รู้คุณคนและยังมีความรอบครอบด้วย
ถ้าพิจารณาจากความเป็นไปได้ที่ว่าฉันอาจจะไม่รักษาคำพูด, ลินเฟียก็คงกำลังบอกว่าเธออยากจะอยู่ข้างกายฉันเพื่อรับรองข้อตกลงทางฝั่งฉัน
อันที่จริง, ฉันได้ลำดับสถานการณ์เอาไว้ในหัวแล้ว นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมฉันถึงพูดว่า [ในขอบเขตความสามารถของฉัน] ตั้งแต่ตอนที่ยื่นข้อเสนอ
นี่มันเหมือนกับสิ่งที่ได้มาโดยที่คาดไม่ถึงยังไงไม่รู้สินะ?
ขอลองทดสอบเธออีกซักหน่อยแล้วกัน
“ลินเฟีย, สมมุติว่าข้าผิดสัญญากับเจ้า, เจ้าจะทำยังไง?”
“ข้าจะหนีไปหาผู้มีอำนาจกลุ่มอื่นพร้อมกับเอาสิ่งที่สามารถทำให้เสียเปรียบไปด้วย แล้วข้าก็จะขอให้พวกเขาช่วยหมูบ้านของข้าโดยแลกกับสิ่งนั้น”
ฉันกลับเซบาสมองหน้ากันในเวลาที่แทบจะพร้อมกัน
นักผจญภัยแรงค์ A ที่มีทักษะการต่อสู้ที่สามารถจัดการกับสถานการณ์ได้หลากหลายแถมยังสร้างข้อต่อรองแบบนี้ขึ้นมาได้อีก และเนื่องจากเธอใช้ชีวิตในฐานะนักผจญภัยแบบลุยเดี๋ยว, เธอต้องมีความรู้ด้านอื่นด้วยแน่ๆ
ฉันไม่สามารถฝากฟีเน่เอาไว้กับเอลน่าได้ตลอด ถึงยังไงเอลน่าเองก็มีภารกิจของตัวเองเหมือนกัน
ในเมื่อเป็นแบบนี้ลินเฟียก็คือทรัพยากรที่จะมาเติมเต็มช่องว่างนั้นได้
ถ้าให้พูดจริงๆ, ทั้งนิสัยและความสามารถของเธอนั้นมันดูเหมาะสมกว่าเอลน่าซะอีก
“แล้วจะเป็นยังไงถ้าข้ายกเลิกข้อตกลงตอนนี้เลย?”
“ข้าไม่มีปัญหาอยู่แล้วค่ะ ข้าก็แค่จะเอาเรื่องนี้ไปเจรจากับผู้เข้าแข่งชิงตำแหน่งจักรพรรดิคนอื่นๆ ถ้าข้าบอกพวกเขาว่าท่านปฏิเสธที่จะช่วยข้า, พวกเขาก็น่าจะยอมรับข้านะคะ”
“โฮ่......”
นี่เธอมีความสามารถในการมองภาพรวมด้วยหรอเนี่ย
ในสถานการณ์แบบนี้, แม้กระทั่งความเยือกเย็นที่แสดงออกจากการไม่ขยับกล้ามเนื้อบนใบหน้าก็ถือเป็นหนึ่งในจุดให้ประเมินแล้ว ตอนนี้สำหรับลินเฟีย, มันก็เหมือนกับการที่เธอกำลังเดินอยู่บนเชือกเส้นเดียว
ถ้าฉันปฏิเสธเธอตรงนี้, ลินเฟียก็จะตกที่นั่งลำบากไม่ผิดแน่ และฉันก็นึกไม่ออกเลยว่าพวกพี่ๆจะยื่นข้อเสนอให้เธอเหมือนกับที่ฉันเสนอ เธอบอกว่าจะเข้าร่วมขุมอำนาจอื่นถ้าฉันไม่ยอมช่วยเธอแต่นั่นก็แค่สิ่งที่เธอพูดให้ตัวเองดูแข็งแกร่งขึ้น, มันคือการบลัฟดีๆนี่เอง
แต่ถึงอย่างนั้น, ตัวลินเฟียเองก็ไม่ได้ทำตัวเร่งรีบหรือพยายามประจบประแจงฉัน
ซึ่งนี่เป็นเพราะเธอรู้ตัว เธอรู้ว่ากำลังถูกทดสอบอยู่
“เซบาส คิดว่าไง?”
“ข้าไม่มีอะไรจะคัดค้านครับ ถ้าท่านเลือกให้ความร่วมมือกับเธอ, เธอก็จะกลายมาเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งของเราอย่างแน่นอน แต่ว่า, ท่านจะต้องแก้ปัญหาเรื่องหมู่บ้านของเธอให้ได้ก่อนนะครับ”
“ตัดสินใจยากแฮะ....เอาเถอะ, ช่วยไม่ได้หล่ะนะ ข้าไม่มีทางเลือก, ลินเฟีย, ข้าจะรับข้อเสนอของเจ้า จงมาร่วมมือกับข้าแล้วข้าจะร่วมมือกับเจ้า แบบนี้คงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?”
“ไม่มีปัญหาค่ะแต่ว่า....ทำไมท่านถึงบอกว่าไม่มีทางเลือกหรอคะ?”
“น่าจะรู้นี่ว่าน้องชายของข้าเป็นพวกนิสัยดีสุดๆ ลูกสาวของดยุคที่เป็นผู้สนับสนุนหลักของเราก็เป็นคนแบบนั้นเหมือนกัน ถ้าข้าทิ้งเจ้าตอนนี้, พวกเขาก็จะโกรธข้าและพยายามช่วยเจ้าด้วยตัวเองอยู่ดี และถ้าเป็นแบบนั้นมันจะดีที่สุดถ้าข้ายอมตกลงช่วยเจ้าตั้งแต่แรก”
“....พูดตามตรง, ข้าประหลาดใจนะคะ ชื่อเสียงของท่านนี่ก็รู้ๆกันอยู่ว่าหาดีไม่ได้เลย ไร้ความสามารถและเฉื่อยชา เจ้าชายเสเพลที่เอาแต่เล่นไปวันๆโดยไม่ทำอะไรเลย เจ้าชายที่ถูกน้องชายของตัวเองแย่งส่วนดีๆไปทั้งหมด นี่คือคำที่ผู้คนบ่งบอกถึงตัวตนของท่าน แต่ว่า, จากความรู้สึกที่ข้าได้คุยกับท่านในวันนี้มันตรงกันข้ามกันหมดเลย ท่านไม่ได้ไร้ความสามารถหรือเฉื่อยชาย หรือว่าจริงๆแล้วท่านคือเจ้าชายลีโอนาร์ดปลอมตัวมากันแน่คะ?”
ลินเฟียมองฉันด้วยสายตาขี้สงสัยเล็กน้อย
สำหรับเรื่องนี้, ฉันยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
จะว่าไปแล้ว, ดูเหมือนว่าปัญหามันจะยุ่งยากเกินไปจนฉันลืมแกล้งทำตัวเป็นคนไร้ความสามารถสินะ ในเมื่อมันเป็นแบบนี้, การจะปล่อยลินเฟียที่รู้ถึงขนาดนี้ก็คงจะไม่ได้แล้วหล่ะ
“ไม่ต้องห่วง ข้าคืออาร์โนลด์จริงๆ เอาเป็นว่าเราทำข้อตกลงกันแล้วนะ ขอฝากตัวด้วยหล่ะ, ลินเฟีย”
“......ขอฝากตัวด้วยค่ะ”
พอพูดจบ, ฉันกับลินเฟียก็จับมือกัน